11 สิ่ง “ในวัยทำงาน” ที่คุณควรต้องเรียนรู้ ก่อนอายุ 30

โดยส่วนตัวแล้วผมมีความเชื่อที่ว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราควรเสี่ยงคือก่อนอายุ 30 – เพราะอะไรหรอครับ???
ประสบการณ์จริงจากคนรอบตัวและสังเกตคนโดยส่วนใหญ่แล้วมักมีภาระที่เพิ่มขึ้นอย่างมากก็คือช่วงที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ส่วนใหญ่แล้วก็จะอยู่ในวัยตัวเลข 30+- ซึ่งไหนจะต้องเก็บเงินสำหรับแต่งงานเพื่อสร้างฐานะและความมั่นคง, ซื้อรถ ซื้อบ้าน ค่าเลี้ยงดูลูก เลี้ยงดูพ่อแม่ เงินเก็บฉุกเฉินยามเจ็บไข้ได้ป่วย และอีกหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งล้วนต้องใช้เงินทั้งหมดทั้งสิ้น ทำให้เราตัดสินใจได้ยากและมีความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นช่วงเวลาก่อนหน้านี้จึงเป็นช่วงที่ต้องเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์  วางแผนและลงมือทำสร้างรากฐานให้มีความมั่งคงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    เราลองไปดูกันนะครับว่า 11 สิ่งที่ควรเรียนรู้ “ชีวิตในวัยทำงาน” ก่อนอายุ 30 มีอะไรกันบ้าง

1.    ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่เจอบ่อยมากกว่าความสำเร็จ
คนที่สำเร็จมักเคยเจอปัญหาและอุปสรรคมากกว่าคนทั่วไปอยู่มาก ฉะนั้นอย่ามัวแต่เสียใจจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเพราะความล้มเหลวเป็นเพียงบททดสอบในชีวิต หากคุณแข็งแกร่งพอที่จะฝ่าฝันมันได้ ความสำเร็จก็รอคุณอยู่ข้างหน้า

2.    “ความไม่มี”ไม่เคยทำให้ใครจน แต่คนจะจนมักเกิดจาก “ความอยากมี”
ยิ่งคุณหาเงินได้มากเท่าไหร่ แต่หากไม่รู้จักเก็บออมและยับยั้งความอยากได้อยากมีตามกระแสเหมือนคนอื่น เมื่อนั้นคุณก็จะจนลงอยู่วันยันค่ำ

3.    รู้จักมองไปข้างหน้าและวางแผนชีวิต
บางคนใช้ชีวิตไปวันๆ บางคนก็มัวจมอยู่แต่กับอดีตจนมองลืมไปว่าหนทางข้างหน้านั้นยังอีกยาวไกล การวางแผนชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเปรียบเสมือนการมีเข็มทิศใช้ในการนำทาง หากคุณเตรียมตัวให้ดีแล้วความสำเร็จก็จะไม่คาดเคลื่อนตามที่คุณหวังเอาไว้

4.    อย่าโลกสวย เพราะโลกไม่เคยหมุนตามเรา
หลายๆครั้งสิ่งที่เราคิดว่าดีมักจะแสดงผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่าที่คิดเสมอโดยเฉพาะ “การทำธุรกิจ” จงเผื่อใจและเตรียมแผนสำรองเสมอในกรณีที่ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ (ผิดคาดขึ้นบ่อยมากกกก)

5.    หากคุณภาระยังน้อย ให้ถือซะว่าเป็นโชคดี
เพราะใครอีกหลายๆคนไม่ได้มีโอกาสแบบนั้น ดังนั้นจงอย่าเอาความโชคดีนี้มาทำร้ายตัวเองด้วยการหยุดนิ่ง (บางคน Slow life เป็นเต่ากัดยางเลยก็ว่าได้) หากวันใดคุณเกิดโชคร้ายหรือมีภาระถาโถมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อนั้นคุณจะยิ่งกลัวและไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรอีกเลย

6.    จงคาดหวังและให้น้ำหนัก “เฉพาะ” กับสิ่งที่จับต้องได้
ด้วยวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน มักมีคำสอนที่ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางคนจะคาดหวังหรือบนบานจากสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งไม่รู้ว่าผลจะเกิดเมื่อไหร่?? แต่ในทางกลับกันสิ่งที่สามารถพิสูจน์และเห็นผลได้เร็วที่สุดคือ “การลงมือทำ” (แต่ถ้าสบายใจก็ทำต่อไปเถอะครับ)

7.    จงอ้างให้น้อย แต่ทำให้มาก
อย่ามัวแต่หาข้ออ้างมาเป็นข้อจำกัดในความก้าวหน้าของตัวเรา โดยเฉพาะคำว่า เดี๋ยวก่อน, ยังไม่พร้อม, ไม่มีเวลา, ไม่มีเงิน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จล้วนแล้วไม่เคยมีใครพร้อมและมั่นใจ 100% หากแต่อาศัยการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงลองผิดลองถูก ถึงแม้โอกาสสำเร็จจะน้อยแต่ก็ “ยังมี” แต่หากไม่กล้าลงมือทำแล้วยังไงซะความสำเร็จก็เป็น “ศูนย์” แน่นอน

8.    เงินหมื่นมาจากแรงงาน เงินล้านมาจากความคิด
เพราะการใช้แรงงานเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถทำได้หากมีประสบการณ์และความชำนาญที่มากพอ แต่เรื่องของความคิดเป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่าและไม่สามารถลอกเลียนแบบกันได้ ยิ่งคุณมีความคิดและความสามารถที่ดีกว่าคนอื่นมากเท่าไรก็จะช่วยย่นระยะทางสู่ความสำเร็จของคุณให้เร็วมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
**หมายเหตุ** : ไม่ใช่ว่าการใช้แรงงานไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่าถ้าเราใส่ความคิดดีๆเข้าไปด้วยแล้วจะช่วยให้เราก้าวหน้าเร็วขึ้นเป็นทวีคูณเลยครับ

9.    ใช้อารมณ์ให้น้อย มีเหตุผลให้มาก
เพื่อลดความผิดพลาดในการทำงานและตัดสินใจ เพราะในบางครั้งคุณอาจจะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเป็นครั้งที่สองแล้วก็เป็นได้ (เรื่องความรักก็เช่นกัน….จริงๆนะ)

10.    เรียนรู้วิธีหารายได้ให้มากกว่าหนึ่งช่องทาง
เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตอาชีพที่เราทำอยู่นั้นจะมั่นคงได้ตลอดไปมากน้อยแค่ไหน หรือในบางครั้งอาจมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ เช่น อุบัติเหตุ, โรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งที่เราควบคุมได้ ถ้าหากว่าตอนนี้เรายังมีแรงมีเวลาก็จงใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการมองหาลู่ทางทำธุรกิจ การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ หรือความถนัดของแต่ละคนที่สามารถสร้างรายได้เพิ่ม เพื่อมาลดความเสี่ยงตรงนั้นให้น้อยลงและปูทางสู่อิสรภาพทางการเงินในอนาคตได้อีกด้วย

11.    ระวัง “ดาบสองคม” เพราะคำพูด
โดยเฉพาะการทำงานไม่ว่าคุณจะสนิทกับคนนั้นมากน้อยแค่ไหนก็ตามแต่ จงดูความเหมาะสมคิดก่อนพูดให้มากเพราะในบางเวลาคำพูดเพียงไม่กี่คำอาจทำลายความสัมพันธ์อันดีหรือส่งผลต่อหน้าที่การงานก็เป็นได้

ขอบคุณที่มาจาก https://pantip.com/topic/34508026

เรื่องที่ทุกคนอาจไม่รู้มาก่อน! 10 อันดับบุคคลลึกลับของโลก

หลายศตวรรษที่ผ่านมามีเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลลี้ลับเกิดขึ้นมากมายบนโลกใบนี้ บางเรื่องเป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ชัดเจน ขณะที่หลายเรื่องก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เล่าขานต่อ ๆ กันมาปากต่อปาก และไม่มีวิทยาการใด ๆ สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น วันเวลาที่ล่วงเลยไป ได้ทำให้เรื่องราวเหล่านั้นกลายเป็นตำนานที่ทำให้หลายคนทึ่ง วันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้นำเรื่องราวว่าด้วย 10 บุคคลลึกลับของโลก และเรื่องราวน่าฉงนของพวกเขา ที่เว็บไซต์ listverse.com ได้รวบรวมไว้ มาฝากกัน ไปดูกันว่าบุคคลในตำนานคนไหนบ้างที่ติดอันดับท็อปเท็นนี้

Green Children of Woolpit

1. พี่น้องตัวเขียวแห่งวูลพิต (Green Children of Woolpit)

พี่น้องชายหญิงคู่นี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12 กลางหมู่บ้านวูลพิต ของเมืองซัฟฟอร์คในประเทศอังกฤษ จริง ๆ แล้วทั้งสองคนอาจจะเป็นแค่เด็กต่างถิ่นที่พลัดหลงมาเท่านั้น แต่ทว่าเนื้อตัวสีเขียว เครื่องแต่งกายอันแปลกประหลาด และภาษาที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน เลยทำให้พี่น้องคู่นี้มีความพิเศษออกไป และได้รับความสนใจจากชาวเมืองเป็นอย่างมาก

ในช่วงแรกทั้งสองคนไม่ยอมรับประทานอะไรเลย นอกเสียจากถั่วเขียวสดที่ผู้คนนำมาให้ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็สามารถปรับตัวใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติและพูดภาษาอังกฤษได้พอประมาณจึงเล่าที่มาของตัวเองให้ฟังว่า พวกเขามาจากเซนต์มาติน เมืองที่เต็มไปด้วยความมืดมิด จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งสองคนได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่ว จึงได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเสียงนั้น ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในเมืองวูลพิตเสียแล้ว
Gil Pérez

2. กิล เปเรซ (Gil Pérez)

เขาผู้นี้คือนายทหารสัญชาติสเปนซึ่งประจำการอยู่ที่พระราชวังเดลโกเบอนาดอร์ ในประเทศฟิลิปปินส์ แต่อยู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองเม็กซิโกอย่างน่าฉงนเมื่อวันที่ 26 เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1593 โดยที่เจ้าตัวก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามาอยู่ที่เมืองแห่งนี้ได้อย่างไร รู้แค่เพียงผู้ว่าของเมืองที่เขาประจำการอยู่นั้นถูกลอบสังหารเท่านั้นเอง ซึ่งอีก 2 เดือนต่อมาก็มีข่าวจากเรือฟิลิปปินส์ยืนยันว่าคำพูดที่ถูกนำมากล่าวอ้างนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกันยังมีพยานที่พบเห็นเปเรซ ในวันที่ 23 ในเดือนและปีค.ศ. เดียวกัน ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวในเมืองเม็กซิโกด้วย ซึ่งไม่มีทางที่เขาจะเดินทางไปยังเม็กซิโกได้รวดเร็วในสมัยนั้น

สุดท้ายแล้วเขาก็ได้ก็เดินทางกลับไปยังประเทศฟิลิปปินส์อีกครั้ง และไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเขาอีกเลยนับตั้งวันนั้น จึงทำให้เรื่องของเขากลายเป็นปริศนาที่ได้ไม่มีใครได้ล่วงรู้ว่าเขาเดินทางโดยวิธีใดจนกระทั่งถึงตอนนี้
Man in the Iron Mask

3. ชายผู้สวมหน้ากากเหล็ก (Man in the Iron Mask)

ชายผู้สวมหน้ากากเหล็กคนนี้เป็นนักโทษที่มีชีวิตอยู่ในช่วงของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ก่อนที่จะสิ้นใจในเดือนพฤศจิกายน ของปี ค.ศ. 1703 โดยไม่มีผู้ใดได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขามาก่อนเลย เพราะเขาซ่อนตัวตนภายใต้หน้ากากสีดำอันแสนมืดมิดมาโดยตลอด

อย่างไรก็ดี แท้จริงแล้วเรื่องราวของชายผู้นี้เป็นตัวละครหนึ่งในนิยายที่มีเค้าโครงจากเรื่องจริงส่วนหนึ่ง ซึ่งในเนื้อหามีใจความเกี่ยวกับชีวิตของชายผู้หนึ่งที่ถูกจับกุมโดยข้ารับใช้ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และถูกส่งตัวไปคุมขังเอาไว้ในคุกลับแห่งปิเนรอล เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงตัวได้ พร้อมกันนี้นักโทษคนดังกล่าวยังโดนห้ามมิให้พูดคุยกับผู้ใดนอกจากได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น หากเขาฝ่าฝืนจะถูกฆ่าในทันที ซึ่งหลังจากที่เขาเสียชีวิตลงทางการก็จัดการทำลายข้าวของของเขาทุกชิ้น พร้อมกับฝังศพ และอย่างเงียบ ๆ และระบุชื่อบนป้ายหลุมศพว่า Eustache Dauger เท่านั้น โดยสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทราบที่มาที่ไปอย่างแท้จริงเสียที

Comte St Germain

4. เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน (Comte St Germain)

ข้าราชสำนักผู้นี้มีความสามารถอันหลากหลายทั้งศาสตร์และศิลป์ในฝรั่งเศส เพราะเขาเป็นทั้งข้าราชการ นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักไวโอลิน และนักประพันธ์มือสมัครเล่น ในขณะเดียวก็ยังเป็นบุคคลลึกลับของโลกด้วย ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม Der Wundermann หรือวันเดอร์แมน โดยเขาปรากฏตัวและหายไปอย่างลึกลับ มีเพียงบันทึกเกี่ยวกับตัวเขาที่ถูกเขียนขึ้นในปีค.ศ. 1745 ที่สามารถนำมาใช้ยืนยันการมีอยู่ของเขาได้เท่านั้น ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นกล่าวว่า เขาเข้ามาอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสประมาณ 2 ปี ทั้งในระหว่างนั้นก็ไม่เคยเปิดเผยประวัติของตัวเองให้ใครทราบเลย รู้แค่เพียงว่าเป็นคนเก่งที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง และมั่นใจว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาสามัญชนทั่วไปอย่างแน่นอน แต่อาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์ หรือสายลับที่ถูกส่งตัวมายังฝรั่งเศสก็มิอาจล่วงรู้ที่มาที่ไปของคนผู้นี้ได้
D. B. Cooper

5. ดี บี คูเปอร์ (D. B. Cooper)

ดี บี คูเปอร์ คือนามแฝงของสลัดอากาศที่ทำการบุกยึดเครื่องบินโบอิ้ง 727 และผู้โดยสารทั้งหมดเอาไว้เป็นตัวประกัน ขณะที่กำลังบินอยู่เหนือน่านน้ำแปซิฟิกทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันที่ 24 เดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ.1971 เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินสด 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับร่มชูชีพ ซึ่งหลังจากที่ได้สิ่งของตามที่ต้องการแล้วก็กระโดดร่มหายตัวไปอย่างปริศนา จนกระทั่งในปีค.ศ. 1980 มีเด็กชายพบเงินสดกว่า 5,800 ดอลลาร์สหรัฐถูกฝังอยู่กลางสันทรายในแม่น้ำโคลัมเบีย หมายเลขของธนบัตรตรงกับหมายเลขของเงินที่โดนขโมยไปพอดิบพอดี แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถจับตัวดี บี คูเปอร์มาลงโทษได้อยู่ดี

จากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้สนามบินทั่วโลกมีการจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยเสียใหม่ และเริ่มมีการนำเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจจับและค้นวัตถุต้องสงสัยมาใช้โดยทั่วกัน
Fulcanelli

6. ฟัลคาเนลลี (Fulcanelli)

นักเล่นแร่แปรธาตุผู้เต็มไปด้วยปริศนามากมายที่ไม่เคยมีใครสามารถเปิดเผยหรือล่วงรู้ความจริงมาก่อนทั้งเรื่องส่วนตัวและชีวิตการทำงาน มีเพียงเรื่องเล่าขานที่กล่าวกันมา ซึ่งเรื่องที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงมากที่สุดก็คือ การที่เขาสามารถทำให้ตะกั่วจำนวน 100 กรัมกลายเป็นทองคำได้ โดยใช้ผงสูตรพิเศษที่เขาได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากอาจารย์ นอกจากนี้เขายังมีความรู้ในเรื่องของอาวุธนิวเคลียร์ด้วย โดยเขาได้อธิบายหลักการ ขั้นตอน และวิธีการผลิตอย่างละเอียดให้กับนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งฟังพร้อมทั้งยังทราบว่าอีกไม่นานมนุษย์ในโลกอนาคตจะมีการนำนิวเคลียร์มาใช้เป็นอาวุธต่อสู้ในศึกสงคราม ที่มาของเขามีเพียงคำบอกเล่าของลูกศิษย์เท่านั้น ที่กล่าวถึงอาจารย์ผู้เก่งกาจว่า เขาได้เดินทางไปยังปราสาทที่ตั้งอยู่บนเขาสูงในประเทศสเปนเพื่อพบกับคนสำคัญคนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้พบเห็นอีกเลย และไม่แน่ใจด้วยว่าเขาลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรือใช้ชีวิตอยู่อย่างคนอมตะไปตลอดกาล

Kaspar Hauser

7. คาสปาร์ เฮาเซอร์ (Kaspar Hauser) หนุ่มน้อยที่ปรากฏตัวขึ้นบนถนนแห่งหนึ่งของเมืองนูแรมเบิร์ก ในประเทศเยอรมนี พร้อมกับจดหมายที่จ่าหน้าถึงผู้บังคับบัญชาแห่งกองพันทหารม้าที่ 6 เท่านั้น ซึ่งมีใจความว่า เด็กผู้นี้ถูกนำมาทิ้งเอาไว้ที่บ้านตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ตอนนี้ไม่สามารถเลี้ยงดูได้อีกต่อไป จึงส่งตัวมาเพื่อให้เป็นทหารรับใช้ ท่านจะรับไว้ดูแล หรือแขวนคอเสียก็ได้ แต่ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีใครทราบความจริง ดังนั้น ทางการจึงได้จับตัวเด็กคนนี้ไปขังไว้ในคุก ในระหว่างนั้นเขาก็ได้เรียนรู้การพูดและการเขียนจากผู้คุม จนสามารถเล่าเรื่องที่มาของตัวเองได้ โดยกล่าวว่าก่อนหน้านี้เขาเคยถูกคุมขังไว้ในคุกมืดแคบ ๆ เช่นเดียวกัน ไม่เคยได้พบเห็นหน้าหรือมีโอกาสพูดคุยกับผู้ใดมาก่อนเลย มีเพียงของเล่นไม้ กับถูกฝึกให้เขียนคำว่า ทหารม้า และ คาสปาร์ เฮาเซอร์เท่านั้น ส่วนที่มานอกเหนือจากนั้นก็มีข้อสันนิษฐานแตกต่างกันออกไป บ้างก็ว่าเป็นทายาทของราชวงศ์ บางก็กล่าวว่าเป็นเพียงเด็กเลี้ยงแกะชอบพูดโป้ปดเพื่อเอาตัวรอด จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 2002 นักวิทยาศาสตร์ได้นำดีเอ็นเอที่ได้จากเสื้อผ้าของคาสปาร์ไปพิสูจน์กันอีกครั้ง โดยเทียบกับดีเอ็นเอของแอนตริส เมดินเจอร์ ผู้สืบเชื้อสายจาก สเตฟานี เดอ บัวฮาร์เนส ผู้เป็นมารดาของคาสปาร์ ซึ่งผลที่ออกมาปรากฏว่าคาสปาร์มีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ของกษัตริย์แห่งบาเดนจริง
Babushka Lady

8. บาบุชกา เลดี้ (Babushka Lady)

หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ ในปีค.ศ. 1963 หญิงนิรนามผู้สวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาลพร้อมกับปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมก็กลายเป็นที่สนใจทันที เนื่องจากเธอลักษณะท่าทางของเธอเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่า อาจจะเป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดก่อเหตุการณ์อันน่าสะเทือนขวัญครั้งนี้ขึ้น ซึ่งผู้เกี่ยวข้องและ FBI ก็ได้ออกตามหาตัวเธอเพื่อขอหลักฐานมาใช้ประกอบคดี โดยในปีค.ศ. 1970 มีคนอ้างตัวว่าเป็นผู้หญิงคนดังกล่าว แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่คำโกหก ดังนั้นจนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงคนดังกล่าวเป็นใครจนกระทั่งบัดนี้

The Poe Toaster

9. The Poe Toaster
ชายคนนี้เขาจะมาเยี่ยมเยียนหลุมศพ เอ็ดการ์ อัลเลน โพ นักเขียนเรื่องสั้นฆาตกรรมชื่อดังชาวสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 19 มกราคาของทุก ๆ ปี ซึ่งไม่มีใครทราบข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับตัวตนของเขาเลย นอกจากบรั่นดีครึ่งขวดกับดอกกุหลาบแดงอีก 3 ดอกที่ถูกวางเอาไว้ด้าหน้าหลุมศพ กับภาพของชายคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หมวกกับเสื้อโค้ทสีดำ และปกปิดใบหน้าด้วยผ้าพันคอ
Monsieur Chouchani

10. มองซิเออร์ ชูชานี (Monsieur Chouchani)

อาจารย์เชื้อสายยิวผู้ลึกลับ ที่เคยถ่ายทอดวิชาให้กับลูกศิษย์ระดับสูงชาวยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งลูกศิษย์ที่เคยมีโอกาสได้รับการสั่งสอนล้วนมีหน้าที่การงานที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียง แต่ถ้าหากถามถึงประวัติที่มาของเขากลับไม่มีใครสามารถให้ข้อมูลได้แน่ชัด เพราะทุกอย่างในชีวิตของเขาล้วนเป็นปริศนาทั้งสิ้น ทราบแค่เพียงว่าเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลากด้านจนเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลหนึ่งเลย นอกจากจะมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์แล้ว ยังมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ปรัชญา โดยเฉพาะคัมภีร์โบราณของยิวด้วย

  อย่างไรก็ดี จะสังเกตได้ว่าจริง ๆ แล้ว บุคคลลี้ลับในประวัติศาสตร์โลกเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปเท่านั้น ไม่ใช่บุคคลที่มีอิทธิฤทธิ์อย่างไม่สามารถอธิบายได้แต่อย่างใด ซึ่งพวกเขาก็ได้กลายเป็นตำนานเล่าขานกันไป จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในสมัยก่อน เพียงแค่ไม่รู้ที่มาที่ไป และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาเท่านั้น

 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  listverse.com

พระ”วัดเส้าหลิน”ที่จีนเดี๋ยวนี้ล้ำ!มาก สอนกังฟูให้เหล่าสาวๆน่ารักๆในชุดบิกินี่

ในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของมณฑลกว่างตง สาวๆที่สมัครงานรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยวในการล่องแพจำนวนกว่า 30 คน ได้รับการฝึกซ้อมพิเศษ ซึ่งจะถูกคัดออกหากสอบไม่ผ่าน ส่วนผู้ที่ผ่านเกณฑ์จนได้รับการบรรจุเข้าทำงานจะได้เงินเดือนกว่าหมื่นหยวน ในจำนวนผู้สมัครเหล่านี้ มีบัณฑิตจากวิทยาลัยการกีฬาไม่น้อย ซึ่งแต่ละคนมีกล้ามเนื้อแข็งแรงมาก

41461

รายการฝึกซ้อมที่สาวๆเหล่านี้ชื่นชอบที่สุดคือ การเรียนกังฟูเส้าหลินและการต่อสู้ในน้ำ ตามกำหนด สาวๆเหล่านี้ต้องเรียนมวยเส้าหลินอย่างน้อย 2 ชุดให้เป็น โดยยืนอยู่ในน้ำผู้รับผิดชอบกิจกรรมครั้งนี้ระบุว่า การให้พนักงานเรียนกังฟูเส้าหลินและการต่อสู้ในน้ำนั้น ก็เพื่อเสริมความแข็งแรงของร่างกาย ความเข้มแข็งทางจิตใจ และความสามารถในการช่วยชีวิตหากเกิดกรณีฉุกเฉิน

22292

6923

51283

รู้หรือไม่! ถ้าไม่มีในหลวงรัชกาลที่ 9 คนไทยคงไม่ได้กินปลานิลถึงทุกวันนี้

“ปลานิล” เป็นปลาน้ำจืดที่คนไทยนิยมกินกันเป็นจำนวนมาก ด้วยเพราะมีประโยชน์มากคุณค่า หาซื้อง่าย นำมาปรุงเป็นเมนูอาหารจานอร่อยได้มากหลาย ใครเลยจะรู้บ้างว่า “ปลานิล” ที่กินอยู่ทุกวันนี้นั้น เป็นปลาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานชื่อให้ และให้เป็นอาหารแก่คนไทย

เรื่องราวความเป็นมาของ “ปลานิล” เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2508 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศมกุฏราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น ได้น้อมเกล้าฯ ถวายปลาน้ำจืดในตระกูลทิลาเปีย (tilapia) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tilapia nilotica Linn. จำนวน 50 ตัว แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทรงพระราชทานชื่อปลาชนิดนี้เป็นภาษาไทยว่า “ปลานิล” มีความหมายว่า มีสีดำ คือสีนิล และออกเสียงตามพยางค์ต้นของชื่อชนิด คือคำว่า “nil” มาจาก “nilotica” ซึ่งชื่อพระราชทานนี้เป็นชื่อที่สั้น มีความหมายชัดเจนและง่ายแก่การจดจำสำหรับประชาชนทั่วไป ทรงพระราชทานแนวทาง ในการอนุรักษ์พันธุ์ปลานิล จากการทดลองเลี้ยงด้วยพระองค์เอง

หลังจากทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายปลานิล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้นำปลานิลไปพักเลี้ยงไว้ในบ่อปลาสวนจิตรลดา และได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้กรมประมงเพาะขยายพันธุ์ เมื่อเลี้ยงได้ประมาณ 5 เดือนเศษ ปลานิลได้ขยายพันธุ์มีลูกปลาเป็นจำนวนมาก ทรงเห็นว่าปลาอาศัยอยู่กันอย่างแออัดมาก จึงโปรดให้ขุดบ่อเพิ่มอีกจำนวน 6 บ่อ และทรงย้ายปลาจากบ่อเดิมมายังบ่อใหม่ด้วยพระองค์เอง หลังจากนั้นประมาณปีเศษ ปลานิลได้ขยายพันธุ์เป็นจำนวนมากพอสมควรแล้ว ในวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2509 จึงได้พระราชทานลูกปลานิลขนาด 3-5 เซนติเมตร จำนวน 10,000 ตัวให้แก่อธิบดีกรมประมง เพื่อนำไปเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ที่แผนกทดลอง และเพาะเลี้ยง ในบริเวณเกษตรกลาง บางเขน และสถานีประมงต่าง ๆ อีกจำนวน 15 แห่ง ทั่วราชอาณาจักร

จากนั้นกรมประมงได้ทำการเพาะเลี้ยงปลานิลพระราชทานและปล่อยในแหล่งน้ำทั่วประเทศ จนทำให้ปลาชนิดนี้แพร่หลาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำริให้กรมประมงรักษาพันธุ์แท้ไว้ในสวนจิตรลดา ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าปลาที่พระราชทานให้นำไปแพร่พันธุ์ไม่กลายพันธุ์ไป ต่อมาพระองค์ทรงมีรับสั่งถามนักวิชาการเสมอ ด้วยทรงรู้สึกว่าปลานิลเดี๋ยวนี้มีขนาดเล็กลงเข้าใจว่าจะกลายพันธุ์ ทรงให้เร่งรัดเรื่องการศึกษาวิจัยทางพันธุกรรม ทรงรับสั่งว่าถ้าหาปลานิลพันธุ์แท้ไม่ได้ก็ให้มาเอาที่สวนจิตรลดา ด้วยมีพระประสงค์ให้กรมประมงปรับปรุงพันธุ์ปลานิลให้ดีขึ้น ให้มีตัวโตมีเนื้อมาก ซึ่งจากการศึกษาต่อมาพบว่าสายพันธุ์ปลานิลพระราชทาน เรียกทั่วไปว่า “สายพันธุ์จิตรลดา” เป็นสายพันธุ์ที่มีความบริสุทธิ์ ไม่มีการปะปนของสายพันธุ์ปลาหมอเทศ ซึ่งทำให้ปลามีขนาดเล็กลง ทรงพระราชทานลูกพันธุ์ปลานิลแก่เกษตรกรและพสกนิกรชาวไทย

 

เมื่อกรมประมงได้รับพระราชทานพันธุ์ปลานิล ในวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2509 แล้ว ได้ทำการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ปลานิลเพื่อแจกจ่ายไปยังเกษตรกร นอกจากนี้กรมประมงยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพันธุ์ปลานิลที่ทรงเพาะเลี้ยงได้จากบ่อทั้ง 6 บ่อ ในพระราชวังสวนจิตรลดา และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดบ่อขึ้นใหม่อีก 2 บ่อ รวมเป็น 8 บ่อ ในสวนจิตรลดา เพื่อทำการขยายพันธุ์และนำ ไปแจกจ่ายแก่ราษฎรอีกเป็นประจำทุกเดือน และเมื่อความทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ว่ามีราษฎรต้องการพันธุ์ปลานิลมาก ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุดบ่อขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งบ่อ เป็นบ่อที่ 9 เพื่อช่วยเร่งผลิตพันธุ์ปลานิล ให้เพียงพอแก่ความต้องการของพสกนิกรของพระองค์

จากวันนั้นจนถึงทุกวันนี้ “ปลานิล” จึงกลายมาเป็นปลาเศรษฐกิจที่ชาวบ้านนำมาเลี้ยงเป็นอาชีพสร้างรายได้ และปลานิลก็เป็นอาหารที่สามารถนำมาปรุงเป็นเมนูต่างๆ ที่กินดีมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อาทิ ปลานิลมีโอเมก้า 3 ช่วยเพิ่มการจดจำของสมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อม ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือด และหัวใจ เพราะว่าปลานิลที่มีโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ มีคอเลสเตอรอลและไขมันต่ำ และด้วยเหตุที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นผู้ทรงเลี้ยงปลานิล ทำให้พระองค์ทรงไม่โปรดเสวยปลานิล เวลาที่มีผู้นำปลานิลไปตั้งเครื่องเสวย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะโบกพระหัตถ์ให้ย้ายไปไว้ที่อื่น เมื่อมีผู้กราบบังคมทูลถามพระองค์ว่า เพราะเหตุใดพระองค์จึงไม่โปรดเสวย ปลานิล ท่านทรงมีรับสั่งว่า

“ก็เลี้ยงมันมาเหมือนลูก แล้วจะกินมันได้อย่างไร”

ขอบคุณที่มาจากเว็บkapook

องค์กรสิทธิมนุษยชนสากล เรียกร้องรัฐบาลไทย ห้ามใช้โทษประหารกับผู้ก่อความไม่สงบ

แอมเนสตี้ระบุเหตุระเบิดในศูนย์การค้าที่ปัตตานีเป็นเหตุสะเทือนขวัญ เรียกร้องทางการไทย”ต้อง”สืบสวนอย่างมีอิสระเร่งด่วน และนำตัวผู้ก่อเหตุเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วยการไม่บังคับใช้การลงโทษประหารชีวิต

10 พ.ค. 60 – แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลตอบสนองต่อเหตุการณ์ระเบิด ณ ศูนย์การค้าในจังหวัดปัตตานี โดยแชมพา พาเทล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่า “การโจมตีที่ศูนย์การค้าในปัตตานีนับเป็นการกระทำที่จงใจสร้างความสะเทือนขวัญต่อพลเรือน และยังแสดงให้เห็นว่าผู้ก่อเหตุไม่คำนึงถึงชีวิตของผู้คนแต่อย่างใด”

“ทางการไทยต้องสั่งการให้มีการสอบสวนอย่างอิสระและมีประสิทธิภาพทันที โดยรัฐมีหน้าที่ในการนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ให้มีการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และไม่บังคับใช้การลงโทษด้วยการประหารชีวิต ทุกขั้นตอนที่ทางการไทยดำเนินการเพื่อยุติและป้องกันการโจมตีกรณีดังกล่าวต้องเคารพพันธกรณีที่ไทยมีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ” แชมพา พาเทล กล่าว

เหตุระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นที่ศูนย์การค้าบิ๊กซีในเมืองปัตตานี เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 9 พ.ค. 2560 โดยเป็นเหตุระเบิดสองลูกห่างกันไม่กี่นาที ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 50 คน ซึ่งองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยระบุว่ามีเด็กรวมอยู่ด้วยและได้ออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์ดังกล่าว เช่นเดียวกับองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ อีกหลายแห่ง

 

ขอบคุณข่าวจาก 

สุดประทับใจ! สื่อต่างชาติ ร่วมกันชื่นชมความสามัคคีของคนไทย

ดิฉันเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มาเรียนอยู่อเมริกาค่ะ ได้ติดตามข่าวคลื่นยักษ์ถล่มทางใต้ตลอด ด้วยความเศร้าสลด กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ต้องทำใจค่ะ ว่านี่มันคือภัยธรรมชาติ ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจ กับผู้ที่สูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่สูญเสียคนที่รักไป

ดิฉันได้ดูข่าวทางนี้ ไม่ว่าจะเป็น FOX หรือ ABC News ชาวต่างชาติทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันค่ะ ว่าคนไทยมีความใจประเสริฐมากๆ จนดิฉันอดไม่ได้ค่ะ ที่จะตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อบอกให้เพื่อนๆ หรือประชาชนคนไทยทุกคน ที่ได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้รับทราบ

พวกเขาบอกว่า ถึงแม้จะเศร้ากับเหตุการณ์นี้ แต่ก็ดีใจที่มาประสบเหตุการณ์นี้ที่เมืองไทย เพราะถ้าพวกเขาเกิดไปติดที่ประเทศอื่น อาจจะไม่ได้รับการช่วยเหลือที่มากมายล้นหลามอย่างนี้

มีฝรั่งอยู่คนหนึ่งค่ะ บอกว่าได้วิ่งหนีคลื่นมากับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและคนไทยคนอื่นๆ ตัวเค้าเองขึ้นไปยืนอยู่ข้างบนได้แล้ว และเห็นคนไทยคนหนึ่งที่วิ่งขึ้นมาด้วยกัน กำลังพยายามเอื้อมมือไปคว้า ดึงลูกชาย อายุประมาน 10-12 เห็นจะได้ ให้ขึ้นมาให้ได้ แต่คลื่นก็ซัดลงมาทำให้ลูกชายของเธอหลุดมือ และถูกดูดกลับไปทางทะเลต่อหน้าต่อตา ..แน่นอนค่ะเค้าบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นกรีดร้องแทบเสียสติ แต่ฝรั่งคนนี้ก็เข้าไปปลอบค่ะ ว่าหลุดจากตรงนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะตาย อาจมีคนช่วยเค้าไว้ได้ สักพักหนึ่งผู้หญิงคนนี้ก็สงบลง และหันไปช่วย นักท่องเที่ยวคนอื่นๆค่ะ ที่บางคนบาดเจ็บ หรือบางคนกำลังปีนขึ้นมาก่อนที่คลื่นระลอก 2 จะมา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สื่อต่างชาติ ร่วมกันประโคมชื่นชมความสามัคคีของคนไทย

ฝรั่งคนนี้นั่งมองเธออย่างประหลาดใจ ที่เธอ ช่วยเหลือคนอื่นอย่างทุ่มเทมากๆ จนเขาบอกเธอว่า พักก่อนเถอะ แต่ผู้หญิงคนนี้บอกว่า ไม่หรอก คนบาดเจ็บมีเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา แล้วเธอก็ถามฝรั่งคนนี้กลับว่า แล้วคุณล่ะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

แน่นอนค่ะ เขาเล่าว่า เขาถึงกับตะลึง พูดไม่ออก ในใจรู้สึกพองโต ไม่คิดเลยว่าคำพูดนี้ จะออกมาจากปากของผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ ที่พึ่งพรากกับลูกชายไปเมื่อกี๊ แต่ตอนนี้เธอเข้มแข็ง และจิตใจประเสริฐมาก

และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้มีแค่ผู้หญิงไทยคนนี้คนเดียว ที่ช่วยคนเจ็บ เขาบอกว่า คนไทยที่ขึ้นไปอยู่บนเขานั้น ช่วยเหลือกันทุกคน ให้คนแก่/คนเจ็บขี่คอ โดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แบ่งน้ำกันกินคนละอึก ส่งต่อๆกัน จากมือต่อมือ จากปากต่อปาก

ฝรั่งอีกคนเล่าค่ะ ว่าหลังจากพวกเขาลงมาที่จุดพักผู้ประสบภัยแล้ว ปรากฎว่าอาหารขาดแคลนมากค่ะ มีชาวบ้านคนหนึ่ง เป็นยายแก่ๆค่ะ เดินหอบมะละกอมาตะกร้านึง แล้วค่อยๆปอกมันออก มือของเธอเหี่ยวและเปื่อยมากค่ะ คงเป็นเพราะยางจากมะละกอ แต่เธอก็ไม่บ่นซักคำ นั่งปอกต่อไป ทีละชิ้นๆ ด้วยดวงตาที่ใจดีมาก และเธอก็ส่งเสียงเรียกเชิญชวนทั้งชาวไทยบอกต่อๆไปยังชาวต่างชาติที่ประสบภัย ให้มาหยิบไปทานกันค่ะ คนเล่าบอกว่า ถึงแม้ว่ามันจะไม่อิ่มท้อง แต่ยายคนไทยคนนี้ก็ได้เติมใจของทุกคนที่อยู่ที่นั่น ถึงแม้บางคนจะไม่ได้กิน แต่ทุกคนก็อิ่มใจกันมาก ข่าวนี้ฝรั่งคนเล่าร้องให้ออกมาเลยค่ะ

ยังไม่รวมไปถึง เรื่องที่นักข่าวคนนึงพูดถึง คุณลุงอีกคน ที่เมื่อรู้ว่าลูกและเมียหายไปกับคลื่น ก็ได้เดินเท้าขึ้นไปทางเหนือไปหาญาติอีกเขตนึง 1 วัน 1 คืน และช่วยกันทำอาหารกล่อง กันทั้งคืน พอรุ่งเช้าก็ให้รถรับจ้างเอาอาหารใส่รถ ลงมาที่จุดพักประสบภัย คุณลุงทำอย่างนี้ 3-4 รอบค่ะ เค้าบอกว่าคุณลุงคนนี้จะไม่พูดอะไรกับใครค่ะ มีแต่สายตาที่เศร้าสร้อย พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาตลอดเวลา

และทุกครั้งที่พวกเขาหยิบของ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร ของเครื่องใช้ ขึ้นมาใช้แต่ละชิ้น ในใจมันก็ชื่นใจ และเปี่ยมไปด้วยสุข ที่มันเกิดขึ้นในใจ แม้จะเป็นของเล็กน้อย ของมือสอง แต่มันมีก็ประเมินค่าได้สูงมากต่อจิตใจ และเขาก็ไม่ลืม ที่จะขอพรให้กับผู้ที่บริจาคของมาให้พวกเขา ว่าท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐมาก

ขณะนี้ ชมรมคนไทยที่นี่ก็ได้ตั้งมูลนิธิ ช่วยกันบริจาค ทั้งเงินและของแล้วค่ะ (แต่เน้นเงินมากกว่า เพราะมันแปลงเป็นอะไรได้เยอะ และง่ายต่อการส่งไป) ทุกคนที่งานก็มีแต่คนแสดงความห่วงใย และเป็นห่วงผู้ประสบภัยมากๆ

ที่งาน มีฝรั่งคนนึงค่ะ พูดขึ้นมาว่า

“อาวุธที่ร้ายแรงของคนไทย คือความสามัคคี”

ทุกคนที่ได้ยิน ยืนน้ำตาซึมเลยค่ะ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สื่อต่างชาติ ร่วมกันประโคมชื่นชมความสามัคคีของคนไทย

ดิฉันแค่อยากจะฝากบอกสำหรับผู้ที่บริจาค และช่วยเหลือผู้ประสบภัยทุกท่าน ว่าคุณสุดยอด ขอให้คุณรู้ว่าทุกอย่าง ไม่ว่ามันจะมากมายหลายบาท ไม่ว่าจะ หยดเลือด ของใช้ หรือจะแค่เงิน 1 บาทที่คุณให้เค้าไป มันถึงเค้าค่ะ มันถึงเค้าจริงๆ ถึงไปถึงหัวใจเลยค่ะ

มันแสดงให้ถึงว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น คนไทยก็ยังไม่ทิ้งกัน ซ้ำยังช่วยอย่างสุดๆเลยค่ะ

ถึงตอนนี้ ดิฉันก็ยังติดตามข่าวอยู่ตลอด เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ช่องนี้หมดข่าวก็เปลี่ยนไปช่องอื่น ้ถ้าไม่มีมันใจร้อน ก็ต้องเปิด tv online ดูทางนี้แหละค่ะ

ดิฉันขอให้ผู้ที่เสียชีวิตไปสบายสู่สุขคติ ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องอยู่ต่อไปแบบคนมีชีวิตค่ะ ยังมีคนที่ต้องการคุณนะคะ คุณเป็นคนพิเศษที่โชคดีกว่าคนอื่นมากค่ะ

ขอทุกคนให้รักกันมากๆนะคะ

ที่มาข่าว http://www.mthai.com/webboard/7/52834.html

เชื่อกวิเศษจริงๆ “ตัง สารัช อยู่เย็น” กลับมาเเล้ว

สารัช อยู่เย็น มิดฟิลด์เมืองทอง ยูไนเต็ด บาดเจ็บหนักจากจังหวะปะทะกัน ในเกมโตโยต้า ไทยลีก ที่บุกพ่ายแชมป์เก่า 1-0 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ยืนยันไม่ได้ตั้งใจ ทั้งคู่ปะทะกันทำเอา สารัช อยู่เย็น ถูกหามออกจากสนาม ทำให้ต้องพักรักษาตัวนานพอสมควร เเละวันนี้เขากลับมาเเล้ว เเต่อาการยังอาจจะยังไม่เต็ม 100 เท่าที่ควร

 

SBOBETSH
สมัครเว็บบอล การเงินและบริการดีที่สุดในโลก บริหารงานโดยเฮียตังค์
www.sbobetsh.com/tst
– สมัครสมาชิกใหม่รับโบนัส 20%
– ฝาก-ถอน 5 นาที ไม่จำกัดรอบ ถอนเงินสูงสุดวันละ 1 ล้าน
ทีเด็ดเฮียตังค์บิลล้าน 1 เดือน 20 ล้าน
https://www.facebook.com/groups/sbobet.sh/
แอดเลย!!! LINE @heartang (ใส่@ข้างหน้าด้วย)
หรือคลิก http://line.me/ti/p/@heartang

 

ฮือฮา! ฝรั่งเเห่ชมคลิปบั้งไฟตะไลล้าน เผยอยากมาเที่ยวไทย พร้อมเเซวยิ่งกว่าขีปนาวุธ (มีคลิป)

ฮือฮาหลังในโลกโซเชียล ได้มีการเเชร์คลิปบั้งไฟตะไลล้าน ที่บ้าน กุดหว้า ต.กุดหว้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์

โดยเเฟนเพจ LADbible (เพจชาวต่างชาติ)ได้เเชร์คลิป 1.22 นาที คลิปนี้เป็นคลิปตอนจุดบั้งไฟตะไลล้านกำลังจะขึ้นสู้ท้องฟ้า โดยระบุใต้คลิปว่า “The Thai space program looks interesting…”

ความคิดเห็นของชาวต่างชาติส่วนใหญ่ อยากมาเที่ยวไทย เเละมีแอบเเซว ยิ่งกว่าขีปนาวุธ…. (ดูคลิป)

การแข่งขันบั้งไฟตะไลเริ่มขึ้น โดยทีมช่างทำบั้งไฟตะไลจะช่วยกันแบกผลงานของต้นไปติดตั้งบนฐานที่เตรียมไว้สำหรับจุดตะไล และจุดไฟให้ครบทุกช่องก่อนจะวิ่งไม่เหลียวหลังเข้าหลบในเนินดินหรือ “บังเกอร์” ตะไลที่ติดไฟดีแล้วจะค่อยๆ ปล่อยควันสีขาวออกมา ก่อนจะเริ่มหมุนยกตัวขึ้นจากพื้นและลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

การตัดสินบั้งไฟวัดกันที่ “ความสูง” โดยการจับเวลาตั้งแต่บั้งไฟตะไลลอยขึ้นจากพื้นจนกระทั่งตกลงสู่พื้นอีกครั้ง บั้งไฟตะไลของทีมใดทำเวลาอยู่ในอากาศได้นานที่สุดก็ถือว่าเป็นผู้ชนะ ปัจจุบันบั้งไฟตะไลกุดหว้ามีการเพิ่ม “ร่มชูชีพ” เพื่อให้การตกเป็นไปอย่างนิ่มนวล กรรมการและผู้ชมสามารถมองเห็นบั้งไฟตกได้ง่าย เพิ่มความปลอดภัยและยังช่วยยืดเวลาให้บั้งไฟลอยอยู่ในอากาศได้นานขึ้น

มีบ้างบางครั้ง แทนที่ตะไลจะหมุนควงตรงขึ้นสู่ฟ้า กลายเป็นว่าลอยขึ้นจากพื้นได้ไม่นานก็เกิดเสียง “ตู้ม” ตะไลแตกระเบิดกลางอากาศส่งสะเก็ดไฟและสายควันพุ่งออกไปทุกทิศทาง แม้จะ “พลาด” แต่ก็เป็นความสนุกสนานตื่นตาในอีกรูปแบบ ถ้าถือตามธรรมเนียมที่ว่า “บั้งไฟไม่ขึ้น เอาคนลงตม” ทีมช่างทำตะไลชุดนั้นต้องถูกจับโยนบ่อโคลนเป็นที่ครื้นเครงสำหรับผู้ชม

“ประเพณีบุญบั้งไฟตะไลล้าน” ที่บ้านกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ สะท้อนวิถีชีวิตและประเพณีดั้งเดิมของชาวอีสานที่น่าสัมผัส  โดยงานจะเริ่มตั้งเเต่วันที่ 16-21 พฤษภาคม 2560 นี้ (บั้งไฟตะไลล้านจะจุดในวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2560) เชิญเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่าน ใครที่ไม่เคยเห็นเเนะนำให้มาดู ท่านจะได้สัมผัสบรรยากาศเเห่งความสุขประเพณีของชาวอีสาน

รายละเอียดอื่นๆติดตามได้ที่เเฟนเพจ ประเพณีบุญบั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า (Kut Wa’s Skyrocket Festival)

แชร์ไว้เลย! เผยสรรพคุณพืชใกล้ตัวที่บางคนอาจไม่รู้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพขนาดนี้เลย

ตะไคร้

ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม เป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาประกอบอาหาร โดยตะไคร้แบ่งออกเป็น 6 ชนิด ได้แก่ ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และตะไคร้หางสิงห์ ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมปลูกทั่วไปในบ้านเรา โดยมีถื่นกำเนิดในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย พม่า ศรีลังกา และไทย

ตะไคร้เป็นทั้งยารักษาโรคและยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย เช่น วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ฯลฯ

สรรพคุณของตะไคร้

  1. มีส่วนช่วยในการขับเหงื่อ
  2. เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้เจริญ (ต้นตะไคร้)
  3. มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยในการเจริญอาหาร
  4. ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร (ต้น)
  5. สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  6. แก้และบรรเทาอาการหวัด อาการไอ
  7. ช่วยรักษาอาการไข้ (ใบสด)
  8. ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ (ราก)
  9. น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถบรรเทาอาการปวดได้
  10. ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ
  11. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง (ใบสด)
  12. ใช้เป็นยาแก้อาเจียนหากนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ (หัวตะไคร้)
  13. ช่่วยแก้อาการกษัยเส้นและแก้ลมใบ (หัวตะไคร้)
  14. รักษาโรคหอบหืดด้วยการใช้ต้นตะไคร้
  15. ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบบริเวณหน้าอก (ราก)
  16. ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้องและอาการท้องเสีย (ราก)
  17. ช่วยแก้และบรรเทาอาการปวดท้อง
  18. ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ (หัวตะไคร้)
  19. ช่วยในการขับน้ำดีมาช่วยในการย่อยอาหาร
  20. น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้
  21. มีฤทธิ์ช่วยในการขับปัสสาวะ
  22. ช่วยแก้อาการปัสสาวะพิการและรักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)
  23. ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้)
  24. ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น)
  25. ช่วยรักษาอหิวาตกโรค
  26. ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)
  27. ใช้เป็นยารักษาเกลื้อน (หัวตะไคร้)
  28. น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถช่วยต่อต้านเชื้อราบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี
  29. ช่วยแก้โรคหนองใน หากนำไปผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น

ใบย่านาง

ใบย่านางทางภาคกลางจะเรียกย่านางว่า “เถาย่านาง” เนื่องจากพรรณไม้ชนิดนี้เป็นเถาไม้เลื้อยเกี่ยวพันกับต้นไม้อื่น

ใบย่านาง สรรพคุณนั้นมีหลากหลาย เพราะเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในปริมาณค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็คุ้นเคยกันดี เพราะนิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของอาหาร เช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน เป็นต้น

ใบย่านางสรรพคุณ

สรรพคุณใบย่านาง

  1. ใบย่านาง ในตำราสมุนไพรจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะ
  2. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก จึงช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วและความแก่ชราอย่างได้ผล
  3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคในร่างกาย
  4. ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย
  5. ช่วยฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
  6. ช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย
  7. เป็นสมุนไพรที่ช่วยในการลดความอ้วนได้อย่างเห็นผลและปลอดภัย
  8. ช่วยในการเผาผลาญไขมันและนำไปใช้เป็นพลังงาน
  9. ช่วยป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ
  10. เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งอย่างมาก
  11. หากดื่มน้ำใบย่านางเป็นประจำ ก้อนมะเร็งจะฝ่อและเล็กลง
  12. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  13. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
  14. ช่วยในการบำรุงรักษาตับและไต
  15. ช่วยรักษาและบำบัดอาการอัมพฤกษ์
  16. ช่วยแก้อาการอ่อนล้า อ่อนเพลียของร่างกายที่แม้นอนพักก็ไม่หาย
  17. ช่วยรักษาอาการเกร็ง ชัก หรือเป็นตะคริวบ่อย ๆ
  18. ช่วยแก้อาการเจ็บเหมือนมีไฟช็อต หรือมีเข็มแทง หรือมีอาการร้อนเหมือนไฟ
  19. ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดฝอยในร่างกายแตกใต้ผิวหนังได้ง่าย
  20. ช่วยรักษาอาการตกกระที่ผิวเป็นจ้ำ ๆ สีน้ำตาลตามร่างกาย
  21. ช่วยรักษาเนื้องอก
  22. ช่วยรักษาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม คลื่นไส้ อาเจียนได้
  23. ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ ไอจาม มีน้ำมูก และเสมหะ
  24. รากแห้งใช้ในการแก้ไข้ทุกชนิดและลดความร้อนในร่างกาย
  25. รากของย่านางสามารถแก้ไข้ได้ทุกชนิด ทั้งไข้พิษ ไข้หัด ไข้เหนือ ไข้ผิดสำแดง เป็นต้น
  26. เถาย่านางมีส่วนช่วยในการลดความร้อนและแก้พิษตานซาง
  27. มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย
  28. ช่วยรักษาอาการร้อนแต่ไม่มีเหงื่อ
  29. ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวาน ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
  30. มีส่วนช่วยอาการปวดตึง ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดชาบริเวณต่าง ๆ
  31. ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้
  32. รากของย่านางช่วยแก้อาการเบื่อเมา
  33. ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบอย่างรุนแรงและเรื้อรัง
  34. ช่วยแก้อาการง่วงนอนหลังการรับประทานอาหาร
  35. ช่วยแก้อาการเลือดกำเดาไหล
  36. ช่วยในการบำรุงสายตาและรักษาโรคเกี่ยวกับตา เช่น ตาแดง ตาแห้ง ตามัว แสบตา ปวดตา ตาลาย เป็นต้น
  37. ช่วยรักษาอาการปากคอแห้ง ริมฝีปากแตกหรือลอกเป็นขุย
  38. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น มีสีเหลืองหรือเขียว หรืออาการเสมหะพันคอ
  39. ช่วยบำบัดอาการของโรคไซนัสอักเสบ
  40. ช่วยลดอาการนอนกรน
  41. ช่วยแก้อาการเจ็บปลายลิ้น
  42. ช่วยป้องกันและบำบัดรักษาโรคหัวใจ
  43. ช่วยป้องกันและรักษาโรคหอบหืด
  44. ช่วยรักษาโรคตับอักเสบ
  45. ช่วยรักษาอาการท้องเสีย เพราะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุได้
  46. ช่วยบรรเทาอาการอาการปวดท้องเฉียบพลัน
  47. ช่วยแก้อาการท้องผูก ลดอาการแสบท้อง
  48. ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ
  49. ช่วยลดอาการหดเกร็งตามลำไส้
  50. ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน
  51. ช่วยรักษาไทรอยด์เป็นพิษ
  52. ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี
  53. ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ
  54. ช่วยแก้อาการปัสสาวะมีสีเข้ม ปัสสาวะบ่อย หรือมีอาการปัสสาวะออกมาเป็นเลือด
  55. ช่วยรักษาอาการมดลูกโต อาการปวดมดลูก ตกเลือดได้
  56. ช่วยบำบัดรักษาโรคต่อมลูกหมากโต
  57. ช่วยป้องกันโรคไส้เลื่อน
  58. ช่วยในการรักษาโรคเริม งูสวัด
  59. ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
  60. ช่วยรักษาอาการตกขาว
  61. ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์
  62. ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
  63. ช่วยรักษาอาการผิวหนังมีความผิดปกติคล้ายรอยไหม้
  64. น้ำย่านางเมื่อนำมาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากผสมจนเหลว สามารถนำมาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย
  65. ช่วยป้องกันและรักษาอาการส้นเท้าแตก เจ็บส้นเท้า
  66. ช่วยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าผุ โดยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย หรือในเล็บมีสีน้ำตาลดำคล้ำ อาการอักเสบที่โคนเล็บ
  67. สำหรับประโยชน์ของใบย่านางด้านอื่น ๆ เช่น การนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ยกตัวอย่าง ใบย่านางแคปซูล สบู่ใบย่านาง แชมพูใบย่านาง เครื่องดื่มสมุนไพร เป็นต้น
  68. แชมพูสระผมจากใบย่านาง ช่วยให้ผมดกดำ ชะลอการเกิดผมหงอก จบแล้วสรรพคุณของใบย่านาง

ใบเตยเป็นพืชที่คนไทยทุกคนต่างก็รู้จักกันดี เนื่องจากมีการนำมาใช้กันอย่างหลากหลายตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาปรุงแต่งอาหารอย่างขนมไทยให้มีกลิ่นหอม อร่อย และยังให้สีสันน่ารับประทานอีกด้วย

ประโยชน์ของใบเตย

  1. ใบเตยใบเตยหอม สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น และช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ (น้ำใบเตย)
  2. การดื่มน้ำใบเตยจะช่วยดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี เพราะใบเตยมีกลิ่นหอมเย็น ดื่มแล้วจึงรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย
  3. รสหวานเย็นของใบเตยช่วยชูกำลังได้
  4. การดื่มน้ำใบเตยช่วยแก้อาการอ่อนเพลียของร่างกายได้
  5. ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
  6. ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟนั้น การรับประทานอาหารที่ปรุงจากใบเตยจะช่วยทำให้รู้สึกเย็นสบายสดชื่นได้
  7. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งตามตำรับยาไทยได้มีการนำใบเตยหอม 32 ใบ, ใบของต้นสัก 9 ใบ นำมาหั่นตากแดด แล้วนำมาชงเป็นชาดื่มอย่างน้อย 1 เดือน หรือจะใช้รากประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำดื่มเช้าเย็นก็ได้เหมือนกัน (ใบ, ราก)
  8. ช่วยลดความดันโลหิต (สารสกัดน้ำจากใบเตย)
  9. ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
  10. ใบเตย สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการอาการและดับพิษไข้ได้
  11. ใบเตยช่วยดับพิษร้อนภายในได้เป็นอย่างดี
  12. ประโยชน์ของใบเตยใช้รักษาโรคหืด (ใบ)
  13. สรรพคุณใบเตยใช้เป็นยาแก้กระษัย (ต้น, ราก)
  14. ใช้เป็นยาขับปัสสาวะด้วยการใช้ต้น 1 ต้น หรือจะใช้รากครึ่งกำมือก็ได้ นำมาต้มกับน้ำดื่ม (ราก, ต้น)
  15. สรรพคุณของใบเตยใช้รักษาโรคหัดได้
  16. ใบเตยสดนำมาตำใช้พอกรักษาโรคผิวหนังได้
  17. ประโยชน์ใบเตย มีการนำใบเตยมาใช้แต่งกลิ่นอาหารอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นของหวานต่าง ๆ อย่างเช่น ขนมลอดช่อง ขนมชั้น รวมไปถึงเค้กและสลัด เป็นต้น
  18. มีการนำใบเตยมาทุบพอแตก นำไปใส่ก้นลังถึงสำหรับนึ่งขนม จะทำให้ขนมที่สุกแล้วมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมาก
  19. ใช้ใบเตยรองก้นหวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว เมื่อข้าวสุกแล้วจะทำให้มีกลิ่นหอมมาก
  20. สีเขียวของใบเตยเป็นสีของคลอโรฟิลล์ สามารถนำมาใช้แต่งสีขนมได้
  21. ใช้ใบเตยสดใส่ลงไปในน้ำมันที่ใช้แล้ว ตั้งไฟให้ร้อนแล้วค่อยตักใบเตยขึ้น จะทำให้น้ำมันไม่มีกลิ่นเหม็นหืน ทำให้น้ำมันที่ใช้ทอดมีกลิ่นเหมือนน้ำมันใหม่
  22. ประโยชน์ของใบเตยกับการนำมาใช้ทำเป็นทรีตเมนต์สูตรบำรุงผิวหน้า ด้วยการใช้ใบเตยล้างสะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำมาปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนละเอียด จะได้ครีมข้นเหนียวแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที

กระเทียม

สำหรับในประเทศไทยนิยมปลูกมากในทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่สำหรับกระเทียมที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดี กลิ่นฉุนคงหนีไม่พ้นจังหวัดศรีสะเกษ

สรรพคุณของกระเทียม

  1. กระเทียมประโยชน์ของกระเทียม ช่วยบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง
  2. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย
  3. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
  4. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
  5. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด
  6. ประโยชน์กระเทียม ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
  7. ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ อาการมึนงง ปวดศีรษะ หูอื้อ
  8. ช่วยในเรื่องระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินปัสสาวะ เพราะมีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนทั้งหญิงและชาย ช่วยทำให้มดลูกบีบตัว เพิ่มพละกำลังให้มีเรี่ยวแรง
  9. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต
  10. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
  11. ช่วยต่อต้านเนื้องอก
  12. กระเทียม ประโยชน์ช่วยแก้ปัญหาผมบาง ยาวช้า มีสีเทา
  13. ช่วยป้องกันการเกิดและรักษาโรคโลหิตจาง
  14. ช่วยในการขับพิษและสารพิษอันตรายที่ปนเปื้อนในเม็ดเลือด
  15. กระเทียมสรรพคุณช่วยป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว
  16. สารสกัดน้ำมันกระเทียมมีสารที่มีส่วนช่วยในการละลายลิ่มเลือด
  17. ช่วยป้องกันการเกิดเส้นเลือดอุดตัน
  18. มีสารต่อต้านไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตก
  19. ช่วยบรรเทาอาการไอ น้ำมูกไหล ป้องกันหวัด
  20. ช่วยรักษาโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
  21. ช่วยรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบและไซนัส
  22. ช่วยรักษาโรคไอกรน
  23. สรรพคุณกระเทียมช่วยแก้อาการหอบ หืด
  24. ช่วยรักษาโรคหลอดลม
  25. ช่วยระงับกลิ่นปาก
  26. ช่วยในการขับเหงื่อ
  27. สรรพคุณของกระเทียมช่วยในการขับเสมหะ
  28. ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ
  29. มีสรรพคุณช่วยในการขับลม
  30. ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  31. ช่วยป้องกันโรคท้องผูก
  32. ช่วยรักษาโรคบิด
  33. กระเทียมมีสรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ
  34. ช่วยในการขับพยาธิได้หลายชนิด เช่น พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย พยาธิเข็มหมุด พยาธิไส้เดือน เป็นต้น
  35. ช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรงได้
  36. ช่วยป้องกันการเกิดโรคไต
  37. ช่วยฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ รวมถึงเชื้อราตามหนังศีรษะและบริเวณเล็บ
  38. ช่วยยับยั้งเชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อที่ทำให้เกิดฝีหนอง คออักเสบ เชื้อปอดบวม เชื้อวัณโรค เป็นต้น
  39. ช่วยกำจัดพิษจากสารตะกั่ว
  40. ช่วยรักษากลาก เกลื้อน
  41. ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ บำรุงข้อต่อและกระดูกในร่างกาย
  42. บรรเทาอาการปวดข้อและปวดเมื่อยตามร่างกาย
  43. ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง เพราะมีสารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมายังบริเวณที่นวดยาได้ดีมากขึ้นนั่นเอง
  44. มีสารต้านอาการไขข้ออักเสบ โรคข้อรูมาติสซั่ม
  45. กระเทียมมีกลิ่นฉุนจึงสามารถช่วยไล่ยุงได้เป็นอย่างดี
  46. ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย เพิ่มความยากอาหาร

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ), หางตะเข้ (ภาคกลาง) เป็นต้น

ต้นว่านหางจระเข้ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา โดยจัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกมีอายุหลายปี มีความสูงประมาณ 0.5-1 เมตร ลำต้นเป็นข้อปล้องสั้น มีใบเป็นใบเดี่ยว ใบหนาและยาว อวบน้ำ แผ่นใบมีสีเขียว มีจุดยาวสีขาวอ่อนออกเรียงเวียนรอบต้น โคนใบใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก มีหนามแหลมเล็ก ๆ สีขาวอยู่ห่างกัน ข้างในใบเป็นวุ้นสีเขียวอ่อน ส่วนดอกว่านหางจระเข้ ออกดอกเป็นช่อกระจะที่ปลายยอด ดอกมีสีแดงอมสีเหลือง ก้านช่อดอกยาว โคมเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 แฉก เรียงเป็น 2 ชั้น เป็นรูปแตร ส่วนผลว่านหางจระเข้ เป็นผลแห้งคล้ายรูปกระสวย

 

คำว่า “อะโล” (Aloe) มาจากภาษากรีกโบราณที่หมายถึงว่านหางจระเข้ ซึ่งเป็นคำที่แผลงมาจากคำว่า “Allal” ในภาษายิวที่มีความหมายว่าฝาดหรือขม เพราะเมื่อคนได้ยินคำนี้ก็จะนึกถึงว่านหางจระเข้นั่นเอง ว่านหางจระเข้ปกติแล้วเป็นพืชที่ขึ้นในเขตร้อนและภายหลังได้แพร่ขยายพันธุ์ไปสู่เอเชียและยุโรป จนทุกวันนี้ว่านหางจระเข้ก็เป็นที่นิยมของทั่วโลกไปแล้ว โดยว่านหางจระเข้จะมีมากมายกว่า 300 สายพันธุ์ ซึ่งมีตั้งแต่ขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตรไปจนถึงสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ ลักษณะพิเศษของว่านหางจระเข้ก็คือ มีใบแหลมคล้ายเข็ม มีเนื้อหาและในเนื้อมีน้ำเมือกเหนียว

ดอกว่านหางจระเข้

เมื่อพูดถึง สมุนไพรว่านหางจระเข้ เรามักจะนึกถึงสรรพคุณในการรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลสด ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน ใช้ทาเพื่อป้องรอยแผลเป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งสารที่สามารถใช้รักษาแผลดังกล่าวได้เป็นสาร Glycoprotein ที่มีชื่อว่า Aloctin A เป็น Anti-inflammatory ที่พบได้ในทุก ๆ ส่วนของว่านหางจระเข้ ซึ่งนอกจากสรรพคุณดังกล่าวแล้วยังมีประโยชน์ของว่านหางจระเข้อื่น ๆ อีกมากมาย ไปดูกันเลย…

รูปว่านหางจระเข้วุ้นว่านหางจระเข้

สรรพคุณของว่านหางจระเข้

  1. ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ด้วยการรับประทานเนื้อวุ้น หรือจะทำเป็นน้ำปั่นว่านหางจระเข้มาดื่มก็ได้ ก็จะช่วยบรรเทาอาการและป้องกันโรคเบาหวานได้
  2. ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการตัดใบสดของว่านหางจระเข้แล้วทาปูนแดงด้านหนึ่ง แล้วเอาด้านที่ทาปูนปิดตรงขมับ จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ (ใบ)
  3. วุ้นว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันและลดการเกิดแผลในกระเพาะขณะท้องว่าง ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่าง ๆ
  4. เนื้อว่านหางจระเข้สรรพคุณว่านหางจระเข้ช่วยแก้กระเพาะลำไส้อักเสบ ด้วยการใช้ใบนำมาปอกเปลือกเอาแต่วุ้น นำมารับประทานวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ (เนื้อวุ้น)
  5. ใช้เป็นถ่าย ยาระบาย ที่เปลือกของว่านหางจระเข้จะมีน้ำยางสีเหลือง ในน้ำยางจะมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย หากนำน้ำยางไปเคี่ยวให้น้ำระเหยออกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น ก็จะได้สารสีน้ำตาลเกือบดำ หรือเรียกว่า “ยาดำ” ซึ่งยาดำนี้เองใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแผนโบราณที่ต้องการให้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอยู่หลายตำรับ (ยางในใบ)
  6. ช่วยรักษาอาการท้องผูก ด้วยการกรีดเอายางจากว่านหางจระเข้มาเคี่ยวให้งวด ทิ้งไว้ให้เย็นจะได้ก้อนยาสีดำ (ยาดำ) แล้วตักมาใช้ประมาณช้อนชา เติมน้ำเดือด 1 ถ้วย แล้วคนจนละลาย โดยผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 2 ช้อนชาก่อนนอน แต่ถ้าเป็นเด็กให้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชาก่อนนอน
  7. ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้เนื้อวุ้นจากใบเหลาให้เป็นปลายแหลมเล็กน้อย และนำไปแช่ตู้เย็นหรือน้ำแข็งจนเนื้อแข็ง แล้วนำไปใช้เหน็บในช่องทวารหนัก ควรหมั่นทำเป็นประจำวันละ 1-2 ครั้งจนกว่าจะหาย (เนื้อวุ่น)
  8. ช่วยแก้หนองใน (ราก, เหง้า)
  9. ช่วยแก้มุตกิดหรือระดูขาวของสตรี (ราก, เหง้า)
  10. ทั้งต้นของว่านหางจระเข้มีรสเย็น ใช้ดองกับสุรานำมาดื่มช่วยขับน้ำคาวปลาได้ (ทั้งต้น)
  11. ช่วยบรรเทาและแก้อาการปวดตามข้อ ด้วยการรับประทานเนื้อวุ้นครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้งเป็นประจำ จะช่วยทำให้อาการปวดดีขึ้น (วุ้นจากใบ)
  12. ใบว่านหางจระเข้มีรสเย็น นำมาตำผสมกับสุราใช้พอกรักษาฝีได้ (ใบ)
  13. ช่วยรักษาแผลสด แผลจากของมีคม แผลที่ริมฝีปาก แก้ฝี แก้ตะมอย ด้วยการใช้วุ้นจากใบนำมาแปะบริเวณแผลให้มิดชิดและใช้ผ้าปิดไว้ แล้วหยอดน้ำเมือกลงตรงแผลให้ชุ่มอยู่เสมอ หรือจะเตรียมเป็นขี้ผึ้งก็ได้ (วุ้นจากใบ)
  14. ช่วยรักษาแผลถลอกและแผลจากการถูกครูด (แผลพวกนี้จะเจ็บปวดมาก) ให้ใช้วุ้นว่านหางจระเข้นำมาทาแผลเบา ๆ ในวันแรกต้องทาบ่อย ๆ จะช่วยในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น และทำให้ไม่เจ็บแผลมาก (วุ้นจากใบ)
  15. ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยดับพิษร้อนบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผล ด้วยการใช้วุ้นจากใบสดที่ล้างน้ำสะอาด แล้วฝานบาง ๆ นำมาทาหรือแปะไว้บริเวณแผลตลอดเวลา จะช่วยทำให้แผลหายเร็วมากขึ้นและอาจไม่เกิดรอยแผลเป็นด้วย (วุ้นจากใบ)
  16. ช่วยขจัดรอยแผลเป็น ทำให้แผลเป็นจางลง ป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น (วุ้นจากใบ)
  17. ช่วยรักษาตาปลาและฮ่องกงฟุต ด้วยการใช้วุ้นจากใบที่ล้างสะอาดแล้ว นำมาปิดไว้บริเวณที่เป็นและหมั่นเปลี่ยนบ่อย ๆ จนกว่าจะดีขึ้น (วุ้นจากใบ)
  18. วุ้นจากใบใช้ทาเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด ด้วยการใช้วุ้นจากใบทาก่อนออกแดด หรือจะใช้ใบสดก็ได้ แต่ใบสดอาจทำให้ผิวหนังแห้ง เพราะใบมีฤทธิ์ฝาดสมาน ถ้าต้องการลดการทำให้ผิวแห้ง ก็อาจจะใช้ร่วมกับน้ำมันพืชหรืออาจเตรียมเป็นโลชั่นก็ได้ (วุ้นจากใบ)
  19. ช่วยรักษาอาการผิวหนังไหม้จากแสงแดด หรือไหม้เกรียมจากการฉายรังสี หรือแผลเรื้อรังจากการฉายรังสี โดยนำวุ้นของว่ายหางจระเข้มาทาผิวบ่อย ๆ ก็จะช่วยลดการอักเสบได้ แต่ถ้าไปนาน ๆระวังผิวแห้ง ควรผสมกับน้ำมันพืช เว้นแต่ว่าจะทำให้ผิวเปียกชุ่มอยู่ตลอดเวลา (วุ้นจากใบ)
  20. วุ้นจากใบใช้ทาเพื่อรักษาฝ้า (วุ้นจากใบ)
  21. ช่วยรักษาโรคเรื้อนกวาง (โรคสะเก็ดเงิน) ช่วยลดการตกสะเก็ดและลดอาการคันของโรคเรื้อนกวาง ทำให้แผลดูดีขึ้น (วุ้นจากใบ)

หญ้าหนวดแมว

สมุนไพรหญ้าหนวดแมว ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น อีตู่ดง (เพชรบูรณ์), บางรักป่า (ประจวบคีรีขันธ์), พยับเมฆ (กรุงเทพฯ) เป็นต้น

ลักษณะของหญ้าหนวดแมว

  • ต้นหญ้าหนวดแมว จัดเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มีลำต้นและกิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม มีสีน้ำตาลหรือสีม่วงแดง ต้นมีความสูงประมาณ 0.3-0.8 เมตร ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำและการเพาะเมล็ด

 

  • ใบหญ้าหนวดแมว มีใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปข้าวหลามตัด มีขอบใบหยักเป็นจักคล้ายฟันเลื่อย แผ่นใบบางเป็นสีเขียวเข้ม ปลายใบเรียวแหลม ใบกว้างประมาณ 2-4.5 เซนิเมตร ยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร และก้านใบยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร

สมุนไพรหญ้าหนวดแมวใบหญ้าหนวดแมว

  • ดอกหญ้าหนวดแมว ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุก ปลายยอดดอกลักษณะคล้ายฉัตร มีความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร มีริ้วประดับรูปไข่ ยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ไม่มีก้าน ส่วนกลีบของดอกเชื่อมติดกันเป็นรูประฆังงอเล็กน้อย มีความยาวประมาณ 2.5-4.5 มิลลิเมตร ออกดอกบริเวณปลายยอดและปลายกิ่ง มีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือพันธุ์ที่มีดอกสีขาวอมม่วงอ่อนและพันธุ์ที่มีดอกสีฟ้า ดอกหญ้าหนวดแมวจะบานจากล่างขึ้นบน ดอกมีเกสรตัวผู้ประมาณ 3-4 เส้น เป็นเส้นยาวยื่นออกมานอกกลีบดอก มีลักษณะคล้ายหนวดแมว และที่ปลายเกสรจะมีติ่งสีน้ำเงินอมม่วงอยู่ โดยหญ้าหนวดแมวนี้สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี

ต้นหญ้าหนวดแมวดอกหญ้าหนวดแมว

  • ผลหญ้าหนวดแมว ลักษณะของผลเป็นรูปขอบขนาน กว้าง และแบน มีความยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ตามผิวมีรอยย่น เป็นผลแห้งไม่แตก

สมุนไพรหญ้าหนวดแมว เป็นสมุนไพรที่ขึ้นชื่อและมีการนำมาใช้รักษานิ่วและโรคทางเดินปัสสาวะมานานแล้ว โดยมีผลงานวิจัยต่าง ๆ มากมายที่ต่างก็ยืนยันสรรพคุณของหญ้าหนวดแมวว่ามันสามารถช่วยรักษาอาการดังกล่าวได้จริง แถมยังไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรงเหมือนยาจากต่างประเทศ ที่ทำให้ร่างกายมีอาการอ่อนเพลียและมีอาการเบื่ออาหาร แต่อาจจะมีประสิทธิภาพในการรักษาไม่ดีเท่ากับยาจากต่างประเทศเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้แก่ ใบ ผล เปลือกฝัก ราก และทั้งต้น

สรรพคุณของหญ้าหนวดแมว

  1. ทั้งต้นมีรสจืด สรรพคุณช่วยรักษาโรคกระษัย (ทั้งต้น)
  2. ช่วยลดความดันโลหิต (ใบ)
  3. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน (ใบ)
  4. ช่วยรักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบ (ทั้งต้น)
  5. ผลมีรสฝาด ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ (ผล)
  6. เปลือกฝักช่วยแก้ลำไส้พิการ (เปลือกฝัก)
  7. ช่วยแก้บิด แก้อาการท้องร่วง (ผล)
  8. ช่วยรักษาโรคในทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคนิ่ว สลายนิ่ว หรือช่วยลดขนาดก้อนนิ่ว ด้วยการใช้ต้นกับใบประมาณ 1 กอบมือ (หากใช้ใบสดให้ใช้ประมาณ 90-120 กรัม แต่ถ้าเป็นใบแห้งให้ใช้ประมาณ 40-50 กรัม) นำมาต้มกับน้ำดื่มก่อนอาหารครั้งละ 1 ถ้วยชา หรือประมาณ 75 cc. วันละ 3 ครั้ง หรืออีกสูตรให้ใช้กิ่งกับใบขนาดกลาง (ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป) นำมาล้างให้สะอาดแล้วผึ่งในที่ร่มให้แห้ง ให้ใช้ประมาณ 4 หยิบมือ (ประมาณ 4 กรัม) นำมาชงกับน้ำเดือดประมาณ 750 cc. เหมือนชงชา แล้วนำมาดื่มต่างน้ำตลอดทั้งวัน นานประมาณ 1-6 เดือน จะช่วยทำให้ปัสสาวะใสและคล่องขึ้น ช่วยทำให้อาการปวดของนิ่วลดลงและทำให้นิ่วมีขนาดเล็กลงและหลุดออกมาเอง (ใบ, ราก, ทั้งต้น)
  9. ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศออสเตรเลีย มีการใช้หญ้าหนวดแมวเพื่อรักษาอาการอักเสบของไตและนิ่วในไต (ใบ, ทั้งต้น)
  10. ในอินโดนีเซียมีการใช้ใบนำมาชงเป็นชาดื่ม ช่วยแก้โรคไตและกระเพาะปัสสาวะ (ใบ, ทั้งต้น)
  11. ช่วยแก้โรคไตพิการ (ผล, เปลือกฝัก)
  12. ช่วยลดน้ำขับกรดยูริกจากไต ช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมตกค้างในไต ช่วยขยายท่อไตให้กว้างขึ้น และช่วยบรรเทาอาการปวด (ใบ)
  13. ช่วยขับล้างสารพิษในระบบทางเดินปัสสาวะ ไต และตับ (ทั้งต้น)
  14. ช่วยแก้หนองใน (ทั้งต้น)
  15. ช่วยรักษาโรคปวดตามสันหลังและบั้นเอว (ใบ, ทั้งต้น)
  16. ช่วยรักษาโรคปวดข้อ อาการปวดเมื่อย และไข้ข้ออักเสบ (ใบ)

ขิง

ขิงจัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลาย ๆ ด้าน เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกายของเรา เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยจำนวนมากอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของขิงนั้น เราสามารถนำมาใช้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น และผลก็ได้ทั้งนั้น

ประโยชน์ของขิง

  1. ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด
  2. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก ช่วยชะลอความแก่และชะลอการเกิดริ้วรอย
  3. มีส่วนช่วยในการป้องกัน ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  4. ช่วยลดผลข้างเคียงจากสารเคมีที่ใช้ในการรักษามะเร็ง ดังนั้นควรรับประทานขิงควบคู่ไปกับการรักษามะเร็งจะเป็นผลดี
  5. ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น และช่วยในการขับเหงื่อ
  6. ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นสด ๆ นำมาทุบให้แหลกประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำดื่ม
  7. ช่วยลดความอ้วน ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
  8. ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะและไมเกรน ด้วยการรับประทานน้ำขิงบ่อย ๆ
  9. ช่วยลดความอยากของผู้ติดยาเสพติดลงได้
  10. แก้ตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วนำมารับประทาน
  11. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำดื่ม
  12. ช่วยบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง
  13. ช่วยบรรเทาอาการของโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจขุ่นมัว (ดอก)
  14. ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับมารดาหลังคลอดบุตร ด้วยการรับประทานไก่ผัดขิง
  15. มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดประมาณ 1 องคุลีนำมาต้มกับน้ำดื่ม ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
  16. ใช้กินเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
  17. ใช้บำรุงน้ำนมของมารดา (ผล)
  18. ช่วยทำให้นอนหลับได้อย่างสบาย
  19. การรับประทานขิงจะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
  20. ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้ประมาณครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วนำมาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้
  21. ช่วยแก้หวัด บรรเทาอาการไอ บรรเทาหวัดจับเสมหะ ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือนิดหน่อย
  22. ไอน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
  23. แก้ลม (ราก)
  24. ในผู้ป่วยที่มีอาการเมายาสลบหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
  25. ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้ขิงสดนำมาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำดื่ม (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
  26. ช่วยแก้ปัญหาผมร่วง หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนอุ่น แล้วนำมาตำให้แหลก นำมาพอกบริเวณที่มีผมร่วง วันละ 2 ครั้งจนอาการดีขึ้น หรืออีกวิธีก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันมะกอกแล้วนำมาหมักผม นวดให้ทั่วศีรษะประมาณ 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมร่วงได้เหมือนกัน แถมยังช่วยให้ผมสวย แข็งแรง มีความนุ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
  27. ช่วยบำรุงสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา และใช้แก้อาการตาฟาง (ผล, ใบ)
  28. ช่วยรักษาอาการตาแฉะ (ดอก)
  29. ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
  30. ใช้แก้อาการคอแห้ง เจ็บคอ (ผล)
  31. ใช้รักษาอาการปากคอเปื่อย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
  32. ช่วยรักษาอาการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาทุบให้ละเอียดคั่วกับน้ำสารส้มจนเกรียม แล้วบดจนเป็นผง จากนั้นนำมาพอกบริเวณฟันที่ปวด
  33. แก้เสมหะ เสมหะขาวเหลวปริมาณมากมีฟอง (ผล, ราก)
  34. ช่วยรักษาภาวะน้ำลายมาก อาเจียนเป็นน้ำใส
  35. ช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นและเกลือเล็กน้อย นำมาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วย
  36. ช่วยบำรุงรักษาฟันและป้องกันการเกิดฟันผุ
  37. ช่วยกำจัดกลิ่นรักแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาทุบให้แหลก แล้วนำมาคั้นเอาน้ำมาทารักแร้เป็นประจำ จะช่วยกำจัดกลิ่นได้
  38. ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำจนแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อย คนจนเข้ากันแล้วนำมาดื่ม
  39. ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดประมาณ 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลแดง นำมาตำจนเข้ากัน แล้วรับประทาน 3 มื้อต่อวัน
  40. ช่วยแก้อาการอาเจียน (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดประมาณ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ นำมาทุบให้แตกแล้วต้มกับน้ำดื่ม
  41. ช่วยลดการคลื่นไส้อาเจียนจากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานบ่อยมากจนเกินไป)
  42. แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในลำไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาทุบพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้ออาหาร
  43. ช่วยรักษาอาการปวดในช่วงก่อนหรือหลังประจำเดือน ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วประมาณ 30 กรัมมาต้มกับน้ำดื่มบ่อย ๆ
  44. ประโยชน์ของขิงช่วยในการย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ดอก)
  45. ช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
  46. ช่วยในการขับถ่าย และช่วยในเรื่องของระบบลำไส้ให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติ
  47. ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกลำไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาดื่ม
  48. ช่วยแก้อาการขัดปัสสาวะ (ดอก, ใบ)
  49. ช่วยรักษาปัสสาวะรดที่นอนในผู้ป่วยที่มีภาวะหยางพร่อง มีความเย็นในร่างกายเป็นเหตุ
  50. ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
  51. ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ใบ)
  52. ช่วยรักษาอาการปวดข้อตามร่างกายด้วยการรับประทานขิงสดเป็นประจำ
  53. มีฤทธิ์ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย
  54. ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
  55. แก้ปัญหาหนังที่มือลอกเป็นขุย ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วนำมาแช่เหล้า 1 ถ้วยชา ทิ้งไว้ 1 วัน แล้วนำแผ่นขิงมาถูบริเวณดังกล่าววันละ 2 ครั้ง
  56. ช่วยรักษาแผลเริมบริเวณหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว นำมาเผาผิวนอกจนเป็นถ่าน คอยปาดถ่านที่ผิวนอกออกไปเรื่อย ๆ แล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูนำมาทาบริเวณที่เป็นแผล
  57. หากถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบาง ๆ นำมาวางทับบริเวณที่ถูกกัดจะช่วยบรรเทาอาการได้
  58. ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง เป็นต้น
  59. ช่วยป้องกันการแพ้อาหารทะเลจนเกิดผื่นคัน ลมพิษ หรืออาหารช็อก
  60. ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกบริเวณแผล เพื่อป้องกันการอักเสบและการเกิดหนอง
  61. ในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้
  62. ในด้านการประกอบอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสชาติอาหารได้เป็นอย่างดี และสามารถช่วยดับกลิ่นคาวของอาหารได้ดีอีกด้วย
  63. ในด้านความงามนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
  64. ช่วยให้ผิวพรรณเรียบเนียนยิ่งขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วนำมานวดบริเวณต้นขา ก้น หรือบริเวณที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความขรุขระของผิวได้อีกด้วย
  65. ผลิตภัณฑ์จากขิงนั้นนำมาแปรรูปได้หลายอย่าง เช่น บัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว เป็นต้น

ชะอม

ผักชะอม มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ผักหละ (ภาคเหนือ), อม (ภาคใต้), ผักขา (ภาคอีสาน อุดรธานี), พูซูเด๊าะ (แม่ฮ่องสอน), โพซุยโดะ (กะเหรี่ยง) เป็นต้น

ลักษณะของชะอม

  • ต้นชะอม เป็นไม้พุ่มขนาดย่อม มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ ลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนามแหลม ส่วนลักษณะของใบชะอมเป็นใบประกอบสีเขียวขนาดเล็ก มีก้านใบย่อยแตกออกจากแกนกลางใบ มีลักษณะคล้ายกับใบส้มป่อยหรือใบกระถิน ใบอ่อนจะมีกลิ่นฉุน ใบย่อยมีขนาดเล็กออกตรงข้ามกัน คล้ายรูปรีประมาณ 13-28 คู่ ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ ใบย่อยจะหุบในเวลาเย็น และแผ่ออกเพื่อรับแสงในช่วงกลางวัน ส่วนดอกชะอม มีขนาดเล็กออกตามซอกใบ มีสีขาวถึงขาวนวล

ชะอม

วิธีการปลูกชะอม ปลูกโดย การปักชำ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง หรือการโน้มกิ่งลงดิน โดยไม่ต้องต่อตาหรือชำกิ่ง การปลูกผักชะอมส่วนมากจะใช้วิธีการเพาะเมล็ด เพราะจะได้ต้นที่แข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อม มีหนามหนากว่าการปลูกด้วยวิธีอื่น

การปลูกชะอม ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด โดยนำมาเมล็ดชะอมมาใส่ถุงพลาสติก รดน้ำวันละครั้ง เมื่อเมล็ดงอกก็ให้ทำการย้ายลงดิน โดยปลูกห่างกันประมาณ 1 เมตร และให้ปุ๋ยสดหรือมูลสัตว์ในการบำรุงต้น ถ้าปลูกในฤดูร้อนแล้วหมั่นรดน้ำจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าการปลูกในฤดูฝน เพราะเมล็ดชะอมมีโอกาสเน่าได้สูง ผักชะอม ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีโรคและแมลงศัตรูพืชมารบกวนเท่าไหร่ หากพบก็ใช้ปูนขาวโรยไว้รอบโคนต้น แต่ถ้าเป็นแมลงมีหนอนกินยอดชะอมก็ให้ใช้ยาฆ่าแมลงฉีดทุก ๆ 8 วัน การเก็บยอดชะอม ควรเก็บให้เลือกยอดไว้ 3-4 ยอดเพื่อให้ต้นได้โต เพื่อความปลอดภัยควรเก็บหลังจากการฉีดยาฆ่าแมลงแล้วไม่น้อยกว่า 7 วัน และสามารถเก็บเกี่ยวจากต้นที่ปลูกกิ่งตอนได้ 10-15 วัน และตัดยอดขายได้ทุก ๆ 2 วัน

ต้นชะอม

ประโยชน์ของชะอม

  1. ประโยชน์ชะอมช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากมีวิตามินเอสูง
  2. สรรพคุณของชะอม ยอดชะอมช่วยลดความร้อนในร่างกายได้
  3. ผักรสมันอย่างชะอมมีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ
  4. ชะอมมีสรรพคุณช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก
  5. รากชะอมนำมาฝนกินช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และช่วยขับลมในลำไส้
  6. ประโยชน์ชะอมสรรพคุณชะอมมีส่วนช่วยบำรุงเส้นเอ็น
  7. ช่วยแก้อาการลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง
  8. ประโยชน์ของชะอม ช่วยฟื้นฟูผมแห้งเสีย แตกปลาย ด้วยสูตรน้ำชะอมหมักผม เพียงแค่นำใบชะอมประมาณ 1 กำมือมาต้มกับน้ำเปล่า 3 ถ้วย จนได้น้ำชะอมเข้มข้น กรองเอาแต่น้ำ เมื่อสระผมเสร็จให้นำผ้าขนหนูมาชุบน้ำชะอมที่เตรียมไว้ บิดพอหมาด นำมาเช็ดผมให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผมแห้ง ๆ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
  9. ชะอม ประโยชน์นำมาทำเป็นเมนูอาหารได้หลากหลายเมนู เมนูชะอม เช่น ไข่ชะอม ไข่ทอดชะอม ชะอมชุบไข่ แกงส้มชะอมกุ้ง แกงส้มชะอมไข่ นำมาลวกหรือนึ่งใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก น้ำพริกกะปิ รับประทานร่วมกับส้มตำมะม่วง ตำส้มโอ หรือจะนำไปปรุงเป็นแกงรวมกับปลา เนื้อ ไก่ กบ เขียด หรือต้มเป็นอ่อม ทำแกงลาว แกงแค เป็นต้น

 

ขี้เหล็ก

สมุนไพรขี้เหล็ก มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ขี้เหล็กแก่น (ราชบุรี), ขี้เหล็กบ้าน (ลำปาง,สุราษฎร์ธานี), ผักจี้ลี้ แมะขี้แหละพะโด (แม่ฮ่องสอน), ยะหา (ปัตตานี), ขี้เหล็กใหญ่ (ภาคกลาง), ขี้เหล็กหลวง (ภาคเหนือ), ขี้เหล็กจิหรี่ (ภาคใต้) เป็นต้น

ลักษณะของต้นขี้เหล็ก เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร ลำต้นมักคดงอ เปลือกมีสีเทาถึงน้ำตาลดำแตกเป็นร่องตื้น ๆ ตามยาว แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแคบ ส่วนลักษณะของผลขี้เหล็ก มีลักษณะเป็นฝักแบนกว้าง 1.4 เซนติเมตร ยาว 15-23 เซนติเมตร มีความหนา มีสีน้ำตาล มีเมล็ดหลายเมล็ด

ขี้เหล็กลักษณะของใบขี้เหล็ก เป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับกัน ใบเป็นสีเขียวเข้ม มีใบย่อยรูปรี 5-12 คู่ กว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ที่ปลายสุดเป็นใบเดี่ยว ปลายใบเว้าตื้น โคนใบมน ขอบและแผ่นใบเรียบ โดยใบขี้เหล็ก 100 กรัมจะมีเบต้าแคโรทีน 1.4 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 156 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 190 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 5.8 มิลลิกรัม, เส้นใยอาหาร 5.6 กรัม, โปรตีน 7.7 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 10.9 กรัม, พลังงาน 87 กิโลแคลอรี

ลักษณะของดอกขี้เหล็ก จะออกดอกเป็นช่อแยกแขนงที่ปลายกิ่ง มีดอกสีเหลือง กลีบเลี้ยงกลมมี 3-4 กลีบ ปลายมน กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายมน โคนเรียว หลุดร่วงง่าย ก้านดอกจะยาว 1-1.5 เซนติเมตร และมีเกสรตัวผู้หลายเกสร และในบรรดาผักผลไม้ไทยทั้งหลาย ดอกขี้เหล็กก็จัดเป็นผักที่มีวิตามินซีสูงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีวิตามินซีมากถึง 484 มิลลิกรัมต่อดอกขี้เหล็ก 100 กรัม และยังมีเบต้าแคโรทีน 0.2 กรัม, ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 1.6 มิลลิกรัม, เส้นใยอาหาร 9.8 กรัม, โปรตีน 4.9 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม และให้พลังงาน 98 กิโลแคลอรี

ขี้เหล็ก เป็นพืชผักสมุนไพรที่หาได้ง่ายตามตลาด นอกจากจะนำมาใช้ทำเป็นอาหารไว้รับประทานแล้ว ในตำราการแพทย์แผนไทยยังได้มีการใช้ประโยชน์ของต้นขี้เหล็กในหลาย ๆ ด้าน เช่น ใช้แก้อาการท้องผูก บำรุงโลหิต บำรุงน้ำดี ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยกำจัดรังแค ทำความสะอาดผมทำให้ผมชุ่มชื่นเงางาม เป็นต้น และนอกจากนี้ขี้เหล็กยังมีสาร “บาราคอล” (Baracol) ที่มีฤทธิ์ในการกล่อมประสาท และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อน ๆ ทำให้นอนหลับสบาย แต่ก็ใช่ว่ามันจะได้ผลอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะในกระบวนการปรุงอาหารให้ปลอดภัยก็ต้องต้มน้ำทิ้งเสียก่อน เพื่อลดความขมและความเฝื่อน ทำให้ความเป็นพิษและฤทธิ์ดังกล่าวลดน้อยลงไปด้วย โดยส่วนที่นำมาใช้และมีสรรพคุณทางยา ได้แก่ ดอก ใบ ใบแก่ ฝัก เปลือกฝัก เปลือกต้น ลำต้น กิ่ง แก่น ทั้งต้น และราก

โทษของขี้เหล็ก การรับประทานขี้เหล็กในลักษณะที่นำใบขี้เหล็กไปตากแห้งแล้วบรรจุเป็นเม็ด อาจทำให้เกิดการเสื่อมและการตายของเซลล์ตับ หรืออาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ ทำให้เกิดโรคตับได้ ซึ่งการรับประทานขี้เหล็กอย่างปลอดภัย ต้องเลือกใบเพสลาดหรือตั้งแต่ยอดอ่อนถึงใบขนาดกลาง และนำไปต้มให้เดือด เทน้ำทิ้งสัก 2-3 น้ำ แล้วค่อยนำมาปรุงอาหารหรือนำไปทำเป็นยา ซึ่งวิธีการแบบพื้นบ้านนี้จะช่วยฆ่าฤทธิ์และทำลายสารที่เป็นอันตรายต่อตับได้ และยังช่วยลดความขมลงอีกด้วย

ขี้เหล็ก

ประโยชน์ของขี้เหล็ก

  1. ใบขี้เหล็กมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง (ใบ)
  2. ดอกขี้เหล็กมีวิตามินที่ช่วยบำรุงและรักษาสายตา (ดอก)
  3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ป้องกันหวัด ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น (ดอก)
  4. ช่วยบำรุงธาตุ (ราก)
  5. แก้ธาตุพิการ แก้ไฟ ทำให้ตัวเย็น (แก่น)
  6. ช่วยเจริญธาตุไฟ (ราก)
  7. ช่วยแก้โรคกระษัย (ราก, ลำต้นและกิ่ง, เปลือกต้น, ทั้งต้น)
  8. ช่วยรักษาอาการตัวเหลือง (ทั้งต้น)
  9. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน (ใบ, แก่น)
  10. ช่วยลดความดันโลหิตสูง (ใบ)
  11. ช่วยรักษาวัณโรค (แก่น)
  12. ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง (ดอก)
  13. ช่วยรักษามะเร็งปอด ปอดอักเสบ มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร (แก่น)
  14. ช่วยแก้อาการชักในเด็ก (ราก)
  15. แก้ไตพิการ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
  16. ช่วยแก้อาการแสบตา (แก่น)
  17. ใบขี้เหล็กมีสารที่ชื่อว่า “แอนไฮโดรบาราคอล” (Anhydrobarakol) ที่มีสรรพคุณช่วยในการคลายความเครียด บรรเทาอาการจิตฟุ้งซ่าน (ใบ)
  18. ช่วยบำรุงสมอง บำรุงประสาท แก้โรคประสาท และช่วยสงบประสาท (ดอก)
  19. ช่วยทำให้นอนหลับสบาย แก้อาการนอนไม่หลับ ผ่อนคลายความกังวล ด้วยการใช้ใบขี้เหล็กแห้ง 30 กรัม (หรือใบสด 50 กรัม) นำมาต้มกับน้ำไว้ดื่มก่อนนอน หรือจะใช้ใบอ่อนทำเป็นยาดองเหล้า โดยใส่เหล้าขาวพอท่วมยา แช่ทิ้งไว้ 7 วันและคนทุกวันให้น้ำยาสม่ำเสมอ เมื่อครบให้กรองเอากากยาออก จะได้น้ำยาดองเหล้าขี้เหล็ก แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนเข้านอน (ใบ, ดอก)
  20. ช่วยแก้ลมขึ้นเบื้องสูง เบื้องบน โลหิตขึ้นเบื้องบน ทำให้มีอาการระส่ำระสายในท้อง (ฝัก)
  21. ต้นขี้เหล็กช่วยรักษาหืด (ดอก)
  22. ช่วยรักษาโรคโลหิตพิการ ผายธาตุ (ดอก)
  23. สรรพคุณของขี้เหล็กช่วยบำรุงโลหิต (ใบ)
  24. ช่วยขับโลหิต (แก่น)
  25. ช่วยขับพิษโลหิต (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
  26. แก้เลือดกำเดาไหล (ต้น, ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
  27. ช่วยถ่ายพิษไข้ แก้ไข้กลับซ้ำ แก้ไข้หนาว ไข้ผิดสำแดง (ราก)
  28. ช่วยดับพิษไข้ (เปลือกต้น, ทั้งต้น)
  29. ช่วยแก้พิษไข้เพื่อน้ำดี พิษไข้เพื่อเสมหะ (เปลือกต้น, ฝัก)
  30. ช่วยแก้พิษเสมหะ (ทั้งต้น)
  31. ช่วยกำจัดเสมหะ (ใบ)
  32. ช่วยขับมุตกิด กัดเถาดาน กัดเสมหะ และกัดเมือกในลำไส้ (เปลือกฝัก)
  33. ขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนใน (ใบ)
  34. ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ดอก)
  35. แก้อาการเบื่ออาหาร ด้วยการใช้ใบขี้เหล็กแห้ง 30 กรัม (หรือใบสด 50 กรัม) นำมาต้มกับน้ำไว้ดื่มก่อนนอน หรือจะใช้ใบอ่อนทำเป็นยาดองเหล้า โดยใส่เหล้าขาวพอท่วมยา แช่ทิ้งไว้ 7 วันและคนทุกวันให้น้ำยาสม่ำเสมอ เมื่อครบให้กรองเอากากยาออก จะได้น้ำยาดองเหล้าขี้เหล็ก แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนเข้านอน (ใบแห้ง, ใบอ่อน)
  36. ช่วยแก้อาการท้องผูก ด้วยการใช้ใบอ่อน 2-3 กำมือ หรือแก่นประมาณ 2 องคุลี ประมาณ 3-4 ชิ้น นำมาต้มกับน้ำครึ่งถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย ใช้ดื่มหลังตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนอาหารเช้าครั้งเดียว (ใบอ่อน, แก่น)
  37. ช่วยรักษาโรคบิด (ใบ)
  38. ใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ด้วยการใช้ใบอ่อน 2-3 กำมือ หรือแก่นประมาณ 2 องคุลี ประมาณ 3-4 ชิ้น นำมาต้มกับน้ำครึ่งถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย ใช้ดื่มหลังตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนอาหารเช้าครั้งเดียว (ดอก, ใบ, แก่น, ลำต้นและกิ่ง, เปลือกต้น, ราก, ทั้งต้น)
  39. ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร (เปลือกต้น)
  40. สรรพคุณขี้เหล็กช่วยบำรุงน้ำดี (ทั้งต้น)
  41. ช่วยขับปัสสาวะ (ใบ, ลำต้น และกิ่ง)
  42. ช่วยรักษานิ่วในไต (ใบ, ลำต้น และกิ่ง)
  43. แกงขี้เหล็กช่วยรักษาโรคหนองใน (แก่น, ทั้งต้น)
  44. รักษาแผลกามโรค (ราก, แก่น)
  45. ช่วยแก้หนองใส (แก่น)
  46. ช่วยขับระดูขาว (ใบ, ลำต้น และกิ่ง)
  47. ช่วยฟอกโลหิตในสตรี (ต้น)
  48. ช่วยขับพยาธิ (ใบ, ดอก)
  49. ช่วยรักษาอาการเหน็บชา (ใบ, ราก)
  50. รากใช้ทาแก้อัมพฤกษ์ให้หย่อน (ราก)
  51. ช่วยทำให้เส้นเอ็นหย่อน (ทั้งต้น)
  52. แก้เส้นเอ็นพิการ (เปลือกฝัก)
  53. ช่วยรักษาโรคผิวหนัง (ลำต้นและกิ่ง)
  54. ช่วยรักษาโรคหิด (เปลือกต้น)
  55. ช่วยรักษาฝีมะม่วง (ใบ)
  56. ทางภาคใต้ใช้รากขี้เหล็กผสมกับสารส้ม นำมาทาแผลฝีหนอง (ราก)
  57. ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ราก, ลำต้น และกิ่ง)
  58. ประโยชน์ของขี้เหล็กช่วยแก้บวม (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
  59. ช่วยรักษารังแค ด้วยการใช้ดอกขี้เหล็กผสมกับมะกรูดย่างไฟ 2 ลูก โดยต้องย่างให้มีรอยไหม้ที่ผิวมะกรูดด้วย ใช้ดอกขี้เหล็ก 2 ช้อนโต๊ะ พิมเสน 1 ช้อนชา นำมาปั่นผสมกันแล้วเติมน้ำปูนใส 100 cc. ปั่นจนเข้ากัน แล้วคั้นกรองเอาแต่น้ำ จากนั้นนำน้ำมันมะกอกเติมผสมเข้าไปประมาณ 60-100 cc. ผสมจนเข้ากันแล้วนำมาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีก่อนการสระผมทุกครั้ง จะช่วยรักษารังแคได้ (ดอก)
  60. ใช้ทำปุ๋ยหมัก (ใบแก่)
  61. ดอกและดอกอ่อนใช้รับประทานหรือทำเป็นแกงขี้เหล็กได้ (ดอก)

แหล่งอ้างอิง : สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), www.pharmacy.mahidol.ac.th

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (MedThai)

สายซุ่ม! แบบนี้ก็ได้หรอ ตำรวจดักจับประชาชน (มีคลิป!)

กำลังเป็นที่วิภาควิจารณ์กันอย่าหนักในโลกโซเชียล หลักมีคลิปตำรวจ2นาย ซุ่มดักจับประชาชนที่กำลังขี่รถไปมา

โดยทางเเฟนเพจ YouLike (คลิปเด็ด) ได้โพสคลิประยะเวลา 23วินาทีลง โดยระบุว่า

#ดักปล้น แบบนี้ไม่เรียกด่านหรอกคะมากัน2คนแอบอยู่หลังต้นไม้ดักหน้าคนหลังคนเป็นใบเสร็จเก็บตังเลยพี่เค้าบอกจะเอาไปจ่ายให้เอง #ตำรวจเป็นสะแบบนี้ ลุง ป้า คนแก่ เด็กนักเรียน โดนกันไป วันละ 40-50คันได้ รวยเลยนะพ่อคุณ
ระวัง หรือ จะมาลองของได้นะคะ อมตะนคร ชลบุรี 3 แยกคะ พูดแล้วขนลุก ยกมือสาธุ แล้วจ่าย200
ช่วยแชร์หน่อยนะคะ ตำรวจขยันแบบนี้ อยากชื่นชมคะ
ช่วยแชร์ให้พี่ตำรวจ.”

ดูคลิปที่วิภาควิจารณ์กันอย่าหนักในโลกโซเชียล หลักมีคลิปตำรวจ2นาย ซุ่มดักจับประชาชนที่กำลังขี่รถไปมา

ยังไงก็เเล้วเเต่ คลิปนนี้ก็ถูกวิภาควิจารณ์กันอย่างหนักเลย ลองมาดูความคิดเห็นของประชาชนคนที่ดูคลิปกันบ้าง