เผย 5 อันดับพระเครื่องไทยที่ควรห้อยเวลาเดินทาง ช่วยให้เเคล้วคลาด ไร้อุบัติเหตุ ศักดิ์สิทธิ์จริง หาบูชาด่วน!!!

พระเครื่องเป็น วัตถุมงคล ที่ช่วยเสริมความมั่นใจสบายใจให้กับผู้ที่ครอบครอง เเละเป็นตัวเเทนเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า คนไทยส่วนใหญ่ชอบสะสมพระเครื่อง เราคงเคยได้ยินข่าวคราวของการเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง เเต่ละครั้งก็ร้ายเเรงถึงขั้นเสียชีวิต เเต่ทุกคนสังเกตไหมว่าบุคคลที่ใส่พระรอดกันเกือบทุกคน อันนี้ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคล เเละสำหรับวันนี้อัพยิ้มขอเอาใจนักเดินทาง เราจึงนำ 5 พระเครื่อง ที่ควรห้อยขณะเดินทางช่วยในเรื่องของความปลอดภัย ให้เราดินทางอย่างเเคล้วคลาด มีองค์ไหนกันบ้างมาดูกันเลยจร้า

 

อันดับ 1 หลวงปู่ทวด

ไม่ว่าจะเป็นพระใหม่ พระเก่า ก็ไม่จำเป็น ขอให้ระลึกถึงท่านก่อนเดินทาง แขวนพระท่านแล้วท่อง นะโม 3 จบ พร้อมด้วย คำอธิษฐาน

“นะโม โพธิสัตโต อะติคันมายะ อติ ภะคะวา”

ขอให้การเดินทางไป …….. อย่าได้พบเจออุบัติเหตุใด ๆ กลับบ้านด้วยความปลอดภัยทั้งไป และ กลับ

 

อันดับ 2 หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

ระลึกถึงท่านก่อนเดินทาง แขวนพระท่านแล้วท่อง นะโม 3 จบ พร้อมด้วย คำอธิษฐาน

“มะอะอุ นะมะพะธะ นะโมพุทธายะ พุทโธ ยานะ”

ขอให้การเดินทางไป …….. อย่าได้พบเจออุบัติเหตุใด ๆ กลับบ้านด้วยความปลอดภัยทั้งไป และ กลับ

 

อันดับ 3 หลวงพ่อโสธร

ระลึกถึงท่านก่อนเดินทาง แขวนพระท่านแล้วท่อง นะโม 3 จบ พร้อมด้วย คำอธิษฐาน

“นะทรงฟ้า โมทรงดิน พุทธทรงสิน ยาทรงสมุทร ยะทรงอากาศ พุทธัง แคล้วคลาด ธัมมังแคล้วคลาด สังฆังแคล้วคลาด”

ขอให้การเดินทางไป …….. อย่าได้พบเจออุบัติเหตุใด ๆ กลับบ้านด้วยความปลอดภัยทั้งไป และ กลับ

 

อันดับ 4 วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

ระลึกถึงท่านก่อนเดินทาง แขวนพระท่านแล้วท่อง นะโม 3 จบ พร้อมด้วย คำอธิษฐาน

“สัมมาอะระหัง”

ขอให้การเดินทางไป …….. อย่าได้พบเจออุบัติเหตุใด ๆ กลับบ้านด้วยความปลอดภัยทั้งไป และ กลับ

 

อันดับที่ 5 หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

เมื่อใดที่คุณต้องเดินทางไกล หรือเดินทางบ่อยๆ อย่าลืมหาพระเครื่องที่แนะนำเหล่านี้มาห้อยคอติดตัวไว้ เพื่อสร้างบารมีให้เกิดขึ้นกับตัวเองทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะเป็นพระใหม่ พระเก่า ก็ไม่จำเป็น ขอให้ระลึกถึงท่านก่อนเดินทาง และขอพรให้เดินทางปลอดภัยเสีย

การห้อยพระถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคลเป็นการสร้างเสริมขวัญกำลังใจเเละมีความมั่นใจในการขับรถ ให้ตัวเองนั้นมีความสบายใจมากขึ้นเเล้ว สิ่งที่จะช่วยคุณได้อีกอย่างหนึ่งคือตัวคุณเอง หากคุณยังมีสติ เเละไม่ประมาทเเล้วยังไงคุณก็ต้องขับรถถึงที่หมายโดยไม่มีอุปสรรค์ใดๆได้เเล้ว

 

ขอขอบคุณที่มาจาก : box.upyim

เพื่อความอยู่รอด! มีเงิน 500 บาท อยู่ได้ 21มื้อ ไม่มีอด ทำได้จริง ลองมากับตัวเองแล้ว!

สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาช่วงสิ้นเดือนทีไร ต้องกินมาม่ากันทุกทีแต่กินไปกินมาหลายคนคงเบื่อ วันนี่้มีสูตรดีๆมาฝาก วิธีบริหารเงิน 500 บาทสำหรับค่าอาหาร 1 สัปดาห์ ( 21 มื้อ)โดยไม่ต้องอดอาหาร ฟังดูบางคนอาจคิดว่าจะเป็นไปได้หรอจริงๆแล้วเงิน 500 บาทถ้าบริหารดีๆ ไม่ใช่แค่พออย่างเดียวนะ อาจเหลือเลยด้วย
เหลือเงิน 500 บาท จะบริหารอย่างไรสำหรับค่าอาหาร 1 สัปดาห์ ถ้าคุณมีตู้เย็นและอุปกรณ์ที่สามารถทำอาหารทานเองได้ 500 บาท นี่เหลือๆเลยล่ะ แถมทำได้หลายเมนูอีกต่างหาก ยิ่งถ้ามีข้าวสารและพวกเครื่องปรุงรสอยู่แล้วก็อยู่ได้สบายเลย เมนูที่แนะนำได้แก่ เมนูไข่ ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ตุ๋น ไข่ต้ม ไก่ผัดกะหล่ำปลีน้ำมันหอย กระเพราไก่ ไข่ดาว กระเพราหมูสับ น้ำพริก ไข่ต้ม (อาจเลือกซื้อน้ำพริกสำเร็จรูป) ไก่กระเทียม ข้าวผัดหมู / ไก่ ใส่ไข่ อกไก่ทอดก อกไก่ย่าง ข้าวต้มทรงเครื่องหมูสับ สุกี้รวมผัก เป็นต้น
เนื่องจากเป็นสัปดาห์ที่เราต้องประหยัด จึงจำเป็นต้องบริหาร 500 บาทอย่างคุ้มค่า แต่ก็ยังได้ทานอาหารครบ 5 หมู่ โดยมีวิธีการเลือกซื้อวัตถุดิบดังนี้ เลือกซื้อผักที่ตลาดเพราะราคาถูกกว่า การเลือกซื้อเนื้อสัตว์ แนะนำให้ซื้อเนื้อไก่ เพราะถูกกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น แถมปริมาณก็ได้เยอะ ทำได้หลายเมนูอีกต่างหาก หรืออาจจะเลือกซื้อหมูบดสัก 5 ขีดก็ได้ค่ะ
การเลือกซื้อผัก แนะนำให้ไปซื้อที่ตลาดจะได้ผักราคาถูกกว่าในห้าง หรือถ้าไม่สะดวกก็เลือกซื้อพวกผักลดราคาในห้าง ประหยัดไปเยอะเลย ส่วนผักที่แนะนำคือ กะหล่ำปลี กระเพรา หอมใหญ่สักหัว พริกสด 10 บาท คะน้า ผักบุ้ง ต้นหอมผักชีรวมกันมัดละ 5 บาท 10 บาท ถ้าซื้อในห้างก็แพงหน่อย และก็วุ้นเส้นไว้ทำสุกี้ค่ะ

ไข่ไก่ เลือกซื้อไข่ไก่ 1 แผง 30 ฟอง ประมาณ 80 บาท ทำได้หลายเมนูเลือกซื้อไข่ไก่เพราะทำได้หลายเมนู นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำเจ๋งๆ อีกหลายคำแนะนำจากสมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ว่าแล้วก็ไปต่อกันเลย
คำแนะนำ1

ถ้าไม่ต้องซื้อข้าวเครื่องปรุง อยู่ได้สบายเลย ซื้อขนมปังแถวนึง 30 บาท ไข่3 ใบ 12 บาท น้ำสลัด 2 ซอง30 บาท ทูน่ากระป๋อง 30 บาท ไก่ 30 บาท มื้อเช้าวันที่ 1 ก็กินขนมปังไส้ไข่ต้มใส่น้ำสลัด 2 ขนมปังไส้ทูน่าใส่น้ำสลัด ทูน่าทำได้สองครั้ง ไว้ทานวันที่ 5 วันที่ 3 ก็ขนมปังไส้ไก่ฉีกใส่น้ำสลัด วันที่ 4 กินแบบวันที่ 1 วันที่ 5 แบบวันที่สอง เวียนไปจนครบอาทิตย์ เฉพาะอาหารเช้ารวม 132 บาท ส่วนกลางวันกะเย็นทำหนเดียวเลย กินสองมื้อ
วันที่ 1 ผัดกระเพราหมู ไข่เจียว

ซื้อหมูสับ 30 บาท กระเพรา 5 บาท พริก 5 บาท ไข่ 4 บาท รวม 44 บาท

วันที่ 2 ผัดพริกไก่ ผัดผักบุ้งจีน

ไก่ 30 บาท หอมใหญ๋ 5 บาท พริก 5 บาท ต้นหอม 5 บาท ผักบุ้ง 10 บาท เต้าเจี้ยว 5 บาท รวม 60 บาท

วันที่ 3 สุกี้

ลูกชิ้นรวม 20 บาท ปลาหมึก 20 บาท กุ้ง 20 บาท ขึ้นไช่ 5 บาท วุ้นเส้น 5 บาท ผักบุ้งเหลือจากเมื่อวาน ผัดกาดขาว 5 บาท รวม 75 บาท

วันที่ 4 ผัดพริกแกงถั่วหมู แกงจืดผักกาดขาว

หมู 30 บาทถั่วฝักยาว 10 บาท พริกแกง 10 บาท แบ่งหมูหน่อยนึงไปแกงจืดผัดกาดขาวที่เหลือจากมะวาน รวม 50 บาท

วันที่ 5 ราดหน้าไก่

เส้น 10 บาท คะน้า 10 บาท ไก่ 30 บาท เต้าเจี้ยวเหลือจากผัดผักบุ้ง รวม 50 บาท

วันที่ 6 ต้มยำขาหมู ไข่เจียว

ขาหมู 30 บาท ไข่ 8 บาท เครื่องต้มยำ 5 บาท มะนาว 5 บาท (เพิ่งซื้อขาหมูที่โลตัสมา 33 บาทกินสองคนได้สองมื้อ) รวม 48 บาท

วันที่ 7 ข้าวผัดแหนม

แหนม 30 บาท ขิงซอย 5 บาท ถั่วลิสง 5 บาท รวม 40 บาท

รวมอาหารเช้า 132

วันที่ 1 รวม 44 บาท

วันที่ 2 รวม 60 บาท

วันที่ 3 รวม 75 บาท

วันที่ 4 รวม 50 บาท

วันที่ 5 รวม 50 บาท

วันที่ 6 รวม 48 บาท

วันที่ 7 รวม 40 บาท

ทั้งหมดเป็นเงิน 499 บาท กับข้าวก็กินได้สองอย่าง


คำแนะนำที่ 2

เข้าร้านสะดวกซื้อตามงบเลย เฉลี่ยตกมื้อละ 24 บาท ได้หลายอย่างอยู่นะ

คำแนะนำที่ 3

ถ้ามีครัว มีหม้อกระทะ มีตู้เย็น แล้วสบายมากครับเหลือๆ ครับ

ข้าวสาร เสาไห้ 35 2 กิโล 40 บาท หาแบบถูกๆ lotus มีขาย

เนื้ออกไก่ กิโล ละ 80 2 กิโล 160 บาท

ผักหาผักถูกๆ เช่นผักคะน้า กะหล่ำปลี อะไรก็ได้ สัก 100 นึง กินได้อาทิตย์นึง พอ

เครื่องปรุง พริก ต่างๆ น้ำมัน 100 นึง

เหลืออีก 100 นึงอยากซื้ออะไรก็ซื้อ ไข่ไก่ ขนม นู่นนี่นั่น 500 เหลือๆ

เมนู ก็ mix and match ผัดๆไป


คำแนะนำที่ 4

-สันในไก่ 95 บาท ประมาณโลนิดๆ

-ไข่ 1 แผง เบอร์ 3 ไม่เกิน 90 บาท

-ข้าวเสาไห้ ซัก 5 โล ไม่เกิน 80 บาท

-ผักก็ถั่วฝักยาว กล่ำปลี ใบกระเพรา ที่ตลาด

(เลือกอย่างใดอย่างนึงหรือคละกันก็ได้คะ)

พริกแกงผัด เอาไว้ผัดพริกแกงใส่แต่น้อยพอหอมๆ

– วุ้นเส้น เอามาทำต้มจืดใส่ไข่ ใส่ไก่ ใส่กะหล่ำ ทานได้หลายวัน

– ถั่วฝักยาวเอามาผัดพริกก็ได้ หรือผัดเฉยๆ ก็อร่อย

หากเงินเหลือซื้อน้ำจิ้มสุกี้ติดไว้ก็ได้ค่ะ เอาวุ้นเส้นใส่ผักใส่ไก่มาต้มเอาไว้ซดเบาๆยามค่ำคืนได้ค่ะ


คำแนะนำที่ 5

ลองไปซื้อในแมคโครจะได้ของถูกนะ ที่ซื้อประจำใน 1 อาทิตย์

มีคะน้าถุงนึง 25 บาท ทำกินได้ 2-3 ครั้ง

ผักบุ้ง 25 บาท ได้ 2-3 ครั้ง

ผักกาดขาว 2 หัวต่อถุง ทำได้ 2-3 ครั้ง

ผักสลัด 1 ถุงกินได้ 1 อาทิตย์

ซื้อปลาทู 1 โล 110 บาททำแกงส้มได้ 2 ครั้ง

ปลากะพง 1 ตัวแบ่งเป็น 3 ชิ้น

หัวปลาแซลมอน 2 หัว 48 บาท มาต้มซีอิ๊วญี่ปุ่นได้ 2 ครั้งใช้เงินประมาณ 5-600 บาท


คำแนะนำที่ 6

ของผม 500 / 1 อาทิตย์ 3 มื้อ 2 คน

ข้าวขาวคัดพิเศษ 5 โล 80 บาท

เส้นใหญ่ 1 ห่อ 30 บาท

เนื้อหมูหมักนุ่ม 1 โล 79 บาท

อกไก่ 1/2 โล 35 บาท

หมูสไลด์สันนอก 1 โล 132 บาท

ผักกาดขาว 20 บาท

แครอท 15 บาท

กระเพรา 5 บาท

คื่นช่าย 5 บาท

กะหล่ำปลี 20 บาท

วุ้นเส้น 12 บาท

คะน้า 10 บาท

ไข่ 15 ฟองเบอร์ 1 ประมาณ 56 บาท

รวม 499 บาท

ไม่รวมพวกเครื่องปรุงนะครับ พวกเนื้อสัตว์ผมซื้อในแม็คโคร ผักตลาดแถวบ้าน แต่ในแม็คโครก็ได้แต่กระเพรากับตั้งโอ๋ในแม็คโครไม่มีแบบกำหละ 5 บาท อย่างอื่นหยิบชั่งเองเอาที่พอใจได้เลย กระเพราะไก่ไข่ดาวขาดไม่ได้เด็ดขาด 500 บาทนี่ทำอะไรได้เยอะเลย ถ้าบริหารดีๆก็อยู่ได้เหลือๆ ใครที่กำลังช็อตช่วงปลายเดือนอยู่ ลองดูไว้เป็นไอเดียนะคะ รับรองว่า 500 ช่วงปลายเดือนจะไม่มีแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ละก็ไข่เจียว ไข่เจียว ละก็ไข่เจียวอีกต่อไป 55555

ขอขอบคุณที่มาจาก : kaiwhan.com

ออกแบบ”เล้าเป็ด”ให้เป็ดออกไข่เยอะๆ ทุน2หมื่น

สวัสดีครับม.. วันนี้เราขอนำเสนอวิธีการออกแบบ เล้าเป็ด ให้อยู่แบบสบาย ออกไข่เยอะๆ เป็ดไม่เครียด ลงทุนไม่มากสามารถทำได้จริงรายได้งามได้จริง มาดูกันเลยครับ ว่าจะมีวิธีการแบบใดมาดูกัน

ณ ศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่หนองสามพราน ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ที่นั่นมี ผู้ใหญ่พิเชษฐ์ เจริญพร เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ได้มีแปลงสาธิตการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ของ “ผู้ว่าหัวใจเกษตร” นายศักดิ์ สมบุญโต และสำนักงานเกษตรจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยเกษตรกรรมที่หลากหลาย ทั้งปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ จัดให้ครบครัน

 

แต่ละส่วนของเกษตรกรรมที่ดำเนินการขึ้นถือว่าน่าสนใจทั้งสิ้น “มีความรู้มากมายให้ค้นหา” และที่จะนำมาบอกกล่าวในครั้งนี้ก็คือ การเลี้ยงเป็ดไข่ โดยเฉพาะการออกแบบโรงเรือน หรือ “เล้าเป็ด” ที่ทำเป็น “ห้องหับ” ให้มีสัดส่วนต่างๆอย่างลงตัว มันโดนใจผู้เขียนสุดๆ ส่วนจะโดนใจผู้อยู่อาศัยคือเป็ดแค่ไหน เดี่ยวไปหาคำตอบกัน…

ได้แรงบันดาลใจหรือว่ามีแนวคิดอย่างไร?

ผมเริ่มจากความคิดที่ว่า ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่… คือเรามาคิดว่า ธรรมชาติของเป็ดชอบอยู่อาศัยอย่างไร ทีนี้พื้นที่ของเราตรงนี้มันขาดน้ำ “น้ำมีน้อย” ทำอย่างไรจึงจะเลี้ยงเป็ดได้ ก็เลยทำเป็นสระน้ำเล็กๆขึ้นมา และคิดต่อว่าน้ำที่ใช้เลี้ยงเป็ดนั้น เราจะต้องเปลี่ยนอยู่บ่อยๆ จะใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง เราเริ่มจากตรงนี้

แบ่งสัดส่วนพื้นที่ใช้สอยอย่างไรบ้าง?

ในการออกแบบเล้าเป็ดหรือโรงเรือนเลี้ยงเป็ดของเรามีขนาดพื้นที่ 12X12 เมตร เลี้ยงเป็ดได้ 350-400 ตัว เราได้ออกแบบให้มีพื้นที่ต่างๆ เป็น 3 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1 เป็นสระว่ายน้ำ ใช้พื้นที่ประมาณ 1 ส่วน (1 ใน 5 ส่วนของพท.ทั้งหมด) ขนาด 4X4 เมตร น้ำลึกประมาณ 40 ซ.ม. โดยจะออกแบบให้มีระบบท่อเติมน้ำและระบบน้ำล้นไว้ จะมีการเปลี่ยนน้ำทุก 3 วัน สิ่งสำคัญได้ออกแบบให้มีท่อน้ำทิ้งที่ต่อท่อไปยังแปลงปลูกพืช วิธีนี้จะทำให้น้ำกลายเป็นปุ๋ยไปในตัว

“น้ำที่เปลี่ยนทุก 3 วัน เราจะนำไปรดพืชผัก และไม้ผลต่างๆ เป็นปุ๋ยไปในตัว”

ส่วนที่ 2 พื้นที่พักอาศัย(ห้องพัก) ใช้พื้นที่ประมาณ 3 ส่วน (3 ใน 5 ส่วนของพท.ทั้งหมด) ในส่วนนี้จะทำเป็นหลังคากระเบื้องลอนใหญ่ ออกแบบเพื่อไว้ให้เป็ดพักผ่อน โดยที่พื้นดินนั้นจะใช้ฟางข้าวปูและเมื่อเกิดความชื้นหรือเปียกก็จะปูทับไปเรื่อยๆ

“ประโยชน์ของฟางข้าวที่ปูทับไปเรื่อยๆนี้ เมื่อเป็ดรุ่นหนึ่งหมดอายุไข่ก็จะรื้อเปลี่ยนทีหนึ่ง และนำฟางข้าวนี้ไปเป็นปุ๋ยต่อไป”

นอกจากนี้ภายในห้องพักนี้ ได้แบ่งพื้นที่มุมหนึ่งที่ติดกับผนังให้มีส่วนของที่วางไข่ โดยใช้อิฐบล็อก 1 ก้อนก่อขึ้นทำเป็นช่องๆ ขนาดกว้าง 40 ซ.ม. สูง 20 ซ.ม. และใช้ไม้กระดานปูด้านบน (ตามภาพ) มีทั้งหมด 10 กว่าช่อง และแต่ละช่องจะทำเป็นแอ่งกระทะมีฟางรองให้เป็ดนอนไข่อย่างสบายใจ ไม่ต้องมีเพื่อนเป็ดตัวใดมารบกวน ซึ่งเป็ดแต่ละตัวจะเข้าไปวางไข่หมุนเวียนกัน

“วิธีการออกแบบที่วางไข่แบบนี้ จะทำให้สะดวกต่อการเก็บไข่ไม่ให้ไปไข่ตรงนั้นตรงนี้ ซึ่งบางทีก็เลอะเทอะ และสิ่งสำคัญที่วางไข่ที่ทำเป็นช่องๆแบบนี้เป็ดจะรู้สึกสงบหลบภัยได้ โดยธรรมชาติเป็ดจะขี้ตกใจง่าย…”

ส่วนที่ 3 พื้นที่เดินเล่นกลางแจ้ง ใช้พื้นที่ประมาณ 1 ส่วน (1 ใน 5 ส่วนของพท.ทั้งหมด) ไว้เพื่อให้เป็ดเดินเล่นออกกำลังกายและรับแสงแดดตามธรรมชาติ ทั้งนี้ ในการทำรั้วล้อมรอบโรงเรือน จะใช้อิฐบล็อกจำนวน 2 ก้อน ก่อสูงขึ้นมา และต่อด้วยตาข่ายพลาสติกแบบหนาสูงขึ้นอีกประมาณ 1 เมตร เพื่อป้องกันเป็ดออกนอกเล้า และที่ต้องใช้อิฐบล็อกก่อตรงพื้นดินก็เพื่อป้องกันสัตว์เลื้อยคลานเข้ามาทำร้ายเป็ด โดยเฉพาะพวกงูที่มักมาเยี่ยมเยือนแบบไม่รับเชิญ เป็ดอยู่กันอย่างมีความสุข…ใครใคร่ทำกิจกรรมอะไรก็จะมีพิ้นที่เป็นสัดส่วน มองไปจากด้านหน้าจะเห็นว่า สมาชิกเป็ดอยู่กันอย่างมีความสุข…ใครใคร่ทำกิจกรรมอะไรก็จะมีพิ้นที่เป็นสัดส่วน

เล้าเป็ดแบบนี้ จะดีต่อคุณภาพชีวิตหรือการออกไข่อย่างไรบ้าง?

เรื่องแรกผมคิดว่า ทำให้การบริหารจัดการง่ายขึ้น เช่น ควบคุมให้เป็ดกินอยู่ด้วยกันไม่ให้ไปไหนไกล ป้องกันอันตรายจากสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ มีที่วางไข่เป็นสัดส่วน ป้องกันเรื่องโรคหรือความสะอาดได้ ฯลฯ

เรื่องที่ว่ามีผลต่อการออกไข่หรือไม่นั้น อาจจะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็คิดว่ามีส่วนอยู่บ้าง มันเหมือนกับว่าเราให้เป็ดอยู่บ้านที่มีความปลอดภัย มีอาหารการกินอย่างดี มีที่ออกกำลังกาย มีที่ว่ายน้ำ ฯลฯ ก็ย่อมจะส่งผลต่อสุขภาพของเป็ด เมื่อเป็ดมีความสุขก็จะทำให้เป็ดออกไข่สม่ำเสมอ อย่างเช่น ตอนนี้เราเลี้ยงเป็ดทั้งหมดจำนวน 300 ตัว ก็จะออกไข่ได้วันละประมาณ 85 % ซึ่งก็ถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เราพอใจ

หากจะสร้างเล้าเป็ดแบบนี้ขนาดนี้ใช้ทุนมากไหม?

ผมใช้ทุนค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงทั้งหมดประมาณ 4 หมื่นกว่าบาท ของเราเน้นความยั่งยืน สร้างแข็งแรงหน่อย แต่ถ้าเกษตรทำเองก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงแบบของเรา ให้ใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่น เช่น ใช้โครงสร้างไม้ หลังคามุงจากหรือแฝก ฯลฯ ก็คิดว่ามีทุน 2 หมื่นก็น่าจะทำได้แล้ว

ลุงพร สอนอาชีพ เกาะติดรั้วเป็ด…และดูการเลี้ยงเป็ดอย่างใกล้ชิด


เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียน (ลุงพร สอนอาชีพ)ได้เกาะติดรั้วเป็ด…ทำให้รู้ว่าทุกงานอาชีพจะต้อง “เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา” นี่คือศาสตร์ของพระราชาที่เรียนรู้ได้ไม่จบสิ้น…ขอบคุณผู้ใหญ่พิเชษฐ์ เจริญพร ที่ได้เดินตามในหลวง ที่ทำให้ได้ความรู้มากมาย

ความคุ้มทุน…เลี้ยงเป็ดไข่ดีอย่างไร?

เป็ดตัวหนึ่งๆจะกินอาหารเฉลี่ยวันละ 150 กรัม ใช้อาหารเป็ดไข่เป็นหลัก ซื้อมาถุงละ 440 บาท และต้นทุนจะอยู่ที่ค่าพันธุ์เป็ด ซึ่งซื้อเป็ดสาวอายุ 18 สัปดาห์ พันธุ์ซุปเปอร์ซีพี ราคาตัวละ 136 บาท เลี้ยงไปประมาณ 3-4 สัปดาห์ก็ออกไข่

สำหรับไข่เป็ดที่ได้จะขายอยู่ที่ศูนย์เรียนรู้ ไม่ต้องไปขายที่ไหนไกล โดยขายฟองละ 4 บาท ซึ่งถือว่าราคาถูก แค่ให้พออยู่ได้ เพื่อเป็นแหล่งเพิ่มโปรตีนให้กับชาวบ้านในย่านใกล้เคียง โดยที่ถ้าไปซื้อที่ตลาดหรือตามห้างก็ตกฟองละ 5 บาทกว่า…

“ผมคิดว่าคุ้มทุนนะ ถ้าอยู่แบบพอเพียง ค่อยๆเลี้ยง และเพิ่มจำนวนเป็ดไข่ ตามความต้องการของตลาด และขยายตลาด หรือทำการแปรรูปเป็นไข่เค็ม ซึ่งก็จะเพิ่มมูลค่าได้ด้วย”

ทั้งหมดนี้ คือเล้าเป็ดในสไตล์ผู้ใหญ่พิเชษฐ์ เจริญพร ซึ่งใครจะมาดูแบบหรือมาดูการเลี้ยงก็เชิญได้ ตามเบอร์โทร. ในภาพด้านล่างนี้ (081 4251163) โดยที่ผู้ใหญ่พิเชษฐ์ พร้อมที่จะให้ข้อมูลหรือแนวทางอย่างเต็มที่ครับ

ขอขอบคุณที่มาจาก : kasetkaoklai.com

ชาวนาเตรียมเฮ! ธ.ก.ส.เดินหน้าช่วยเหลือครัวเรือนละ12,000 บาท

ชาวนาเตรียมเฮ! ธ.ก.ส.เดินหน้าช่วยเหลือครัวเรือนละ 12,000 บาท

1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2560/61 โดยจ่ายสินเชื่อให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเพื่อเก็บรักษาข้าวเปลือกไว้ที่ยุ้งฉางของตนเอง กำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือกที่ความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 สิ่งเจือปนไม่เกินร้อยละ 2 ในอัตราร้อยละ 90 ของราคาตลาด ตามชนิดข้าวเปลือก ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิ และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาตันละ10,800 บาท ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 7,200 บาท ข้าวเปลือกปทุมธานี 1ตันละ 8,500 บาท กำหนดวงเงินกู้สำหรับเกษตรกรสูงสุดรายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกร ไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยไม่คิดอัตราดอกเบี้ยจากผู้กู้ เนื่องจากรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยแทนผู้กู้ทั้งหมด กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน 5 เดือนนับถัดจากเดือนรับเงินกู้ เริ่มจ่ายสินเชื่อแล้วตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2561 ยกเว้นภาคใต้ไม่เกินเดือนกรกฎาคม 2561 เป้าหมาย 2 ล้านตัน วงเงินสินเชื่อ 21,010 ล้านบาท

อกจากนี้รัฐบาลได้สนับสนุนเงินช่วยเหลือเป็นค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือก เพื่อจูงใจให้เกษตรกรได้มีการปรับปรุงคุณภาพโดยผ่านกระบวนการตากลดความชื้น การคัดแยกสิ่งเจือปน ก่อนนำขึ้นยุ้งฉางอีกตันละ 1,500 บาท ซึ่งจะจ่ายพร้อมการจ่ายสินเชื่ออัตราตันละ 1,000 บาท และจ่ายให้อีกตันละ 500 บาท เมื่อเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรนำเงินมาชำระหนี้

“การดำเนินโครงการดังกล่าวคาดว่าจะดูดซับปริมาณข้าวเปลือกไม่ให้ออกสู่ตลาดในปริมาณมากเกินความต้องการ ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวเปลือกมีเสถียรภาพ และปรับราคาเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ขอให้ทำการตากข้าวลดความชื้นและดูแลคุณภาพข้าวก่อนนำข้าวเปลือกขึ้นยุ้งฉาง แล้วจึงไปติดต่อ ธ.ก.ส. สาขาใกล้บ้านท่าน เพื่อดำเนินการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวเปลือก โดย ธ.ก.ส. จะอนุมัติสินเชื่อ พร้อมจ่ายเงินกู้ภายใน 3 วัน” นายนุกูลกล่าว
 2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2560/61 เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับสถาบันเกษตรกรในการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรสมาชิก และรวบรวมข้าวเปลือกเพื่อนำไปจำหน่ายหรือแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม รวม 2.5 ล้านตัน วงเงินสินเชื่อ 12,500 ล้านบาท โดยสถาบันรับภาระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 และรัฐบาลรับภาระดอกเบี้ยแทนสถาบันเกษตรกรไม่เกินร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2560 – 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งปัจจุบันจ่ายสินเชื่อให้สถาบันเกษตรกรไปแล้ว 20 สถาบัน เป็นเงิน 1,314 ล้านบาท

นอกจากการสนับสนุนสินเชื่อดังกล่าว รัฐบาลได้เห็นชอบในการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2560/61 ที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว ฯ ปีการผลิต 2560/61 กับกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 3.9 ล้านราย ไร่ละ 1,200 บาท ตามพื้นที่ที่ปลูกข้าวจริง แต่ไม่เกินรายละ 10 ไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 12,000 บาท เตรียมวงเงินไว้จำนวน 47,273 ล้านบาท ซึ่งพร้อมจะจ่ายเงินดังกล่าวโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ธ.ก.ส. Call Center 0-2555-0555 บริการ 24 ชั่วโมง ทุกวัน
ศุนย์บริการลูกค้า 1593 บริการ ในวันและเวลาทำการ
สำนักงานใหญ่ 0-2558-6555
ข้อมูลจาก : www.zozaup.com

“เชษฐ์” เดินทางมอบเงินบริจาคกว่า 13ล้านบาท จากชาวภาคตะวันออกให้ตูนถึงมือ

วรเชษฐ์ เอมเปีย” หรือ “เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล่” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ขอเป็นส่วนหนึ่งในการทำความดีเพื่อสังคม ด้วยการช่วย “หนุ่มตูน บอดี้สแลม” วิ่งในส่วนที่ตูนวิ่งไม่ถึง คือ ในพื้นที่เขตภาคตะวันออก โดยวรเชษฐ์พร้อมกับทีมงาน “ก้าวให้ถึงอย่างพอเพียง” ได้เริ่มวิ่งขอรับเงินบริจาคจากชาวบ้าน ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 60 – 24 ธ.ค. 60 ที่ผ่านมา ซึ่งตลอดระยะเส้นทางการวิ่ง ก็ได้รับน้ำใจจากชาวบ้านรวมถึงหน่วยงานต่างๆอย่างท่วมท้น จนทำให้มียอดเงินบริจาครวมสูงถึง 13,429,908.75 บาท

ล่าสุด ในวันนี้ (22 ธ.ค. 60) วรเชษฐ์พร้อมทีมงานก้าวให้ถึงอย่างพอเพียง เป็นตัวแทน ของชาวภาคตะวันออก นำสลิปเงินที่โอนเข้า โครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ไปแล้ว จำนวน 13,429,908.75 บาท มามอบให้กับหนุ่มตูน ที่ จ.ลำปาง ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น

ทั้งนี้ วรเชษฐ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “เจอกันแล้วนะครับกับพี่ตูน…กับภาระกิจที่ยิ่งใหญ่ของผม ที่เป็นตัวแทน ชาว ภาคตะวันออก นำเงินร่วมบุญเข้าโครงการ ก้าวคนละก้าว กับพี่ตูน บอดี้แสลม 13,429,908.75บาท และผมรีบกลับไปวิ่งต่ออีก3อำเภอ2จังหวัด..ขอบคุณ คุณตูน คุณก้อย และทีมงาน ก้าวคนละก้าว ทุกๆท่านมากๆๆๆๆคร้าบ ที่ให้เกียรติผมมากๆเลยครับ ระหว่างทางยังได้ฟัง เพลง ดีเกินไป จากเสียงใสๆของคุณก้อย ร้องให้ฟัง เพราะมากๆครับ ซาบซึ้งใจมากๆครับ ผมจะเก็บทุกๆภาพแห่งความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ไปตลอดชีวิตครับ..ขอบคุณครับ…”

ขอขอบคุณที่มาและภาพจาก : วรเชษฐ์ เอมเปีย / ahakorn

นักวิจัยชี้!! คนไม่ชอบอาบน้ำ ‘ผิวพรรณดีกว่า’ คนที่อาบน้ำเป็นประจำ ซะอีก!!

ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กกับการที่คนเราต้องอาบน้ำวันละสองรอบ คือเช้าและเย็น นั่นอาจจะเป็นเพราะสภาวะของอากาศที่ร้อนในเมืองไทย และด้วยการใช้ชีวิตที่ต้องตากแดดอยู่เป็นประจำทำให้มีเหงื่อไหลออกมาเสมอ แต่ในตางประเทศเขาได้มีการวิจัยและทดสอบกันอย่างจริงจังในเรื่องนี้ และคำตอบที่ได้ก็เหลือเชื่อซะจริงๆ ซึ่งจะเป็นอย่างไรต้องตาม  ไปดูด่วนๆ จ้า

Dr.Casey Carlos ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านโรคผิวหนัง จากมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ซานดิเอโก้ แคลิฟอร์เนีย บอกว่าการอาบน้ำทุกวัน และครั้งละนานๆ ไม่ส่งผลดีกับร่างกายคนเราเพราะปกติแล้วผิวหนังของคนเราสามารถทำความสะอาดได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว และการที่เราถูสบู่เพราะเชื่อว่ามันทำให้ร่างกายสะอาดขึ้นนั้น แท้จริงแล้วมันคือตัวทำลายน้ำมันในชั้นผิวหนังของเราต่างหาก

แถมการอาบน้ำบ่อยๆ ยังทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง และเจ้าสบู่ก้อนยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ด้วย ที่สำคัญคือเมื่อเราถูสบู่บนผิวหนังของเรา สบู่ยังไปทำลายแบคทีเรียดีๆ ที่มีไว้ปกป้องผิวของเราโดยธรรมชาติอีกด้วย

ซึ่งเราจะสังเกตุได้เมื่อหลังอาบน้ำจะรู้สึกคันที่ผิวหนัง ก็เพราะผิวหนังของเราเริ่มแตก และนั่นแหละมันคือการเปิดทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และอาจเกิดการติดเชื้อได้มากกว่าเดิม

แต่อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศบ้านเราก็ยังคงไม่เอื้อำนวยให้อยู่แบบไม่อาบน้ำได้ ก็เพราะแค่เดินออกไปหน้าประตูบ้าน แดดก็เร่งเหงื่อให้ออกมาเต็มตัวแล้ว แต่จะว่าไปหากนำมาใช้ในหน้าหนาวก็คงจะไม่เป็นอะไรมากหรอกมั่งเนอะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : buzzfeed.com

เปิดใจ”เอ้ ชุติมา”คบแฟนเด็ก อายุห่าง 31ปีแล้วไง เมินใครแซวเป็นป้า-แม่ ก็ไม่แคร์

สำหรับอดีตนางสาวไทยเอ้ ชุติมา ที่ได้มีการเปิดตัวคบหากับหนุ่มฟรองซ์ เด็กหนุ่มหน้าใสวัย19ปี ซึ่งทั้งคู่อายุห่างกัน31ปี จนกลายเป็นกระแสข่าวโด่งดังมาแล้วนั้น ล่าสุด เอ้ ชุติมา ก็ได้ออกมาสัมภาษณ์เปิดใจในรายการแฉ ที่เผยแพร่ทาง ช่องGMM25 พิธีกรได้มีการถามเอ้ในรายการว่า ตอนที่แฟนแนะนำให้แฟนรู้จักกับแม่ของเค้านั้นแนะนำว่ายังไง แนะนำว่าแม่อันนี้พี่เอ้แฟนผมงี้หรอ? พี่เอ้ก็ตอบว่าใช่แนะนำอย่างงี้เลย เอ้เล่าว่าน้องเด็กกว่า31ปี น้อง19 พี่50 นี่เรื่องจริง

พิธีกร(มดดำ) ก็ได้ถามว่า นึกยังไงเอาเด็ก19มาทำผัว ด้านเอ้ก็ตอบว่า อร๊ายตายแล้วเธอ(พร้อมทำเสียงสูง)ฉันก็มีแฟนอายุยังงี้อยู่แล้ว แล้วฉันนี่นะคบกับน้องมาสองปีแล้ว จริงๆอยากจะบอกพวกที่สาระแนทั้งหลายอีที่เม้าท์ทั้งหลาย อีพวกหน้าปลวกทั้งหลายที่มาลงว่าพี่ในเฟซทั้งหลาย อันนี้ขอด่านิดนึงนะ พี่อ่ะลงในเฟซส่วนตัวพี่ แล้วพี่กับแฟนคบกันมาสองปีไม่เคยออกสื่อเลย ปิดมาเงียบมาตลอดเพราะรู้ว่าวงการบันเทิงเป็นยังไง วันนึงพอจะครบสองปีแฟนบอกว่าจะครบสองปีแล้วนะตัวเองลงรูปคู่สักสองรูปได้มั้ย ลงในเฟซแฟน พิธีกรก็ถามว่าแฟนขอหรือเธอขอ เอ้ก็ตอบว่า ผู้ชายขอ และรูปที่ลงก็ไม่ได้ลงหน้าเกียจ เพราะมีเด็กและเยาวชนดูเยอะ แฟนคลับเยอะ ลงรูปข้างๆกัน แล้วก็รูปกอดคอแค่เนี้ยะ รูปหอมรูปจูบไม่มีเพราะเยาวชนจะตาม ถูกป่ะ ฉันไม่ได้ลงรูปอะไรโจ่งครึ้ม

ด้านพิธีกรก็หยอกล้อว่าเหมือนลงรูปคู่กับพี่แม่หน่ะหรอ ด้านเอ้ก็ตอบว่า พี่แม่แกหน่พสิ พร้อมกับพากันหัวเราะสนุกสนาน ด้านเจ้าตัวก็บอกว่าใครจะเรียกป้า จะเรียกพี่แม่อะไรก็ตาม ฉันบอกเลยฉันไม่แคร์ เพราะเวลาฉันอยู่ ฉันอยู่กันสองคน ด้านเอ้ก็เล่าอีกว่า เอ้คบแฟนเด็กมาตลอด ตั้งแต่เข้าวงการ มีเสี่ยจะเลี้ยงก็ไม่เอา ด้านมดดำก็เสริมว่าถูก เสี่ยจะเลี้ยงก็จะตีีเขา พิธีกรถามว่าแล้วแบบมีคนแก่กว่ามาจีบอ่ะ เอ้ก็ตอบว่าเยอะมาก แต่ไม่ชอบ สมัยเป็นางสาวไทยมีแฟนเด็กป่ะ เอ้ก็ตอบมี และยังเล่าว่ามีแฟนเด็กอายุ19แบบนี้มาตลอด

ด้านพิธีกรถามว่ามี16 17 บ้างมั้ย เอ้ตอบไม่มีๆ มีแต่19 20 อะไรแบบนี้ พร้อมพูดตดตลกว่าไม่อยากไอคุกๆ คบแฟนคนแรกเนี้ยะคบอายุ19 ถึง28 คบมา9ปี คนที่สองก็คบอายุ19 คบมา7ปี อ่ะลองนับไปดู คนนี้ก็สองปีแล้ว ไม่ใช่คนเละเทะ ชีวิตเราไม่ใช่แบบนั้น และบอกด้วยว่าอายุเป็นเพียงตัวเลขขอให้เค้าเข้าใจก็พอ ไม่จำเป็นต้องเอาเงินไปซื้อถูกป่ะ มันคือความสุข ไม่ต้องเปย์ใคร เคยโดนหลอกกับคนเก่าโน้น แล้วก็จำ พธีกรก็ถามว่าคิดยังไงกับการที่คนส่วนใหญ่มองว่าคบแฟนเด็กกลัวเด็กจะมาหลอกเราหรือเปล่า เอ้เลยเล่าว่า น้องเป็นนักแสดงสังกัดค่ายหนึ่ง แล้วก็กำลังเป็นสมาร์ทบอยที่โน่น เผอิญไปเจอเค้าเดินแบบกันในกลุ่มน้องๆเดินแบบ ไอ้เราก็เห็นว่าถูกสเปกที่สุด น่ารักมากเลยเด็กคนนี้ ดูมีราศรี ชอบนิสัยเค้าเค้าเรียบร้อย เป็นเด็กพูดน้อย

ด้านพิธีกรถามว่าเคล็ดลับของพี่คืออะไร เอ้ตอบว่าเราไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเด็กผู้หญิงทั่วไป เราเอานิสัยเรา คุยกันเอาใจใส่ น้องเค้าก็บอกพี่เป็นคนตลกนะ อยู่กับพี่แล้วไม่เครียดเลยอ่ะ และเล่าเพิ่มว่าตนเองนั้นมีเด็กมาจีบตลอด ตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว เข้าวงการก็คบเด็กตลอด ท่านผู้ชมหลายๆท่านอาจจะไม่เข้าใจเอ้ต้องบอกก่อนว่า อายุมันต่างกันอ่ะใช่ แต่วันหนึ่งที่เราอายุมากขึ้นเรื่อยๆเค้าก็จะเพิ่มมากขึ้น เราจะรู้กำหนดตัวเองว่าเราคงจะไม่ได้อยู่กับเค้าตลอดชีวิต เราก็จะบอกเค้าว่า ถึงเวลาแล้วที่ตัวเองจะมีครอบครัว จะบอกแฟนตรงๆอ่ะค่ะ ว่าเค้าจะต้องมีครอบครัว เค้าจะต้องมีผู้หญิงที่เป็นแม่ของลูกได้ เค้าต้องไปจากเรานะ เจ็บนะแต่เราต้องเข้าใจ และต้องทำให้ได้ค่ะ การที่เราคบเด็กต้องทำใจห้าสิบห้าสิบแล้วว่า เค้าจะอยู่กับเราได้นานแค่ไหน เค้ายังจะรักเราอยู่มั้ย ผู้หญิงทุกวันนี้ก็สวยหมดเลยเห็นป่ะ การคบมา7 8 ปีมันผูกพัน แต่เราไม่สมควรไปดึงเค้าไว้กับเราจนเราแก่เรื่อยๆ เหมือนกับน้องฟรองซ์เนี้ยะ เราก็พูดเลยนะ ว่า ฟรองซ์ตัวเอง ถ้าตัวเอง19 เค้า50 วันหนึ่งพอเค้าอายุ60 70 อีกยี่สิบปี ตัวเองก็เท่าไหร่แล้วหล่ะ ตัวเองก็สามสิบกว่าแล้ว ตัวเองควรจะมีครอบครัว มีแม่ของลูก ซึ่งเค้ามีลูกให้ตัวเองไม่ได้ แต่งงานกับตัวเองก็ไม่ได้ ด้วยวัยขนาดพี่แต่งงานไปลุกออกมาก็เอ่อถูกป่ะ เราต้องเข้าใจตัวเอง เข้าใจโลก เอาง่ายๆคือเข้าใจสัจธรรมของชีวิต

เรื่องจริงมันเป็นยังไง คือคนเราอ่ะต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่าวันหนึ่งอ่ะ เด็กเค้าจะไปจะมีชีวิตของเค้าอ่ะ เค้าก็ต้องมีชีวิตที่ดี เราจะให้เค้ามาอยู่แก่ตายกับเราเราก็สงสาร เรารู้ว่าเราเจ็บ แต่เราก็ต้องทำให้เค้ามีอนาคต ถ้าเรารักเค้าจริง เราต้องทำให้แฟนเรามีความสุข ซึ่งเป็นส่งที่พี่บอกกับแฟนตั้งแต่วันแรกที่คบกัน ทั้งนี้ด้านพิธีกร(มดดำ)ก็ได้มีการถามทิ้งท้ายรายการว่า การจะมีแฟนเด็กทำยังไงถึงจะมีความสุข เอ้ตอบว่า 1.มันอยู่ที่คนสองคน 2.ต้องเข้าใจกัน ให้อภัย อย่าไปจุกจิก อย่าไปเอาโทรศัพท์เค้ามาเล่น มาจับผิดทุกอย่างไม่ดี รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา สมมติวันนี้น้องเค้าจะมีโลกส่วนตัวของเค้าจะเที่ยวกับเพื่อนเค้า เราต้องมีวันให้เค้าเที่ยว ไม่โทรตามนะ เชื่อใจกัน เข้าใจกัน ไว้ใจกันมีไรให้บอก บอกกันตรงๆ อย่าโกหก จริงๆความรักมันไม่เกี่ยวกับอายุนะ อายุเป็นเพียงตัวเลข ต้อง ถ้าเข้าใจกัน อายุก็ลืมไปได้เลย และที่สำคัญอย่าลืมดูแลตัวเอง และฝากบอกพวกนักเลงคีย์บอร์ดที่เข้ามาด่ามาว่าด้วยว่า ดาราก็คนจะไม่ทนอีกแล้วนะ ใครด่ามาด่ากลับทันที

(นาทีที่16:00 เป็นต้นไป)

ขอขอบคุณที่มาและภาพจาก : siamstations.com

งานเข้า!! สาวแบงค์ LIVE สด แฉแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทนายดังเผย เจ้าหน้าที่คนนี้ ต้องถูกไล่ออกพร้อมดำเนินคดี(คลิป)

จากกรณีที่มีสาวแบงค์คนหนึ่งใน จ.ราชบุรี แชร์สนั่น!!สาวแบงค์ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรหลอกโอนเงิน…พีคหนักโดนหลอกกลับเจอล้วงข้อมูลครบถ้วน! งานนี้เงิบหนัก ทำฮาทั้งโซเชียล? ซึ่งถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์มาหลอกลวงว่า บัญชีธนาคารของเธอมีปัญหา และพัวพันกับการกู้เงินกับธนาคารแห่งหนึ่งในพื้นที่ ภาคเหนือ พร้อมบอกให้โอนเงินเพื่อทำการตรวจสอบเลขที่ธนบัตร ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ โดยสาวแบงค์คนดังกล่าว ได้ตัดสินใจไลฟ์สดบอกเล่าเหตุการณ์ผ่านเฟซบุ๊ก เพื่อแฉพฤติกรรมของแก๊งดังกล่าว ป้องกันไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ถูกหลอกลวง เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา จากการตรวจสอบทราบว่า หญิงสาวคนดังกล่าวคือ น.ส.มารีนา แสงฉาย พนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสาขาในห้างสรรพสินค้าชื่อดังเมืองราชบุรี เธอเผยว่า ตนเองไม่เคยกู้เงินจากธนาคาร ดังนั้นเมื่อมีโทรศัทพ์ติดต่อเข้ามาเพื่อสอบถามข้อมูล และยังกล่าวอ้างถึงสารวัตรตำรวจนายหนึ่ง จึงเชื่อว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกให้โอนเงินอย่างแน่นอน จึงรวบรวมสติเพื่อหลอกขอหมายเลขบัญชีที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะให้โอนเงิน ก่อนทำทีเดินไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้ได้นำข้อมูลทั้งหมดส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อติดตามจับกุมแก๊งดังกล่าวแล้ว และอยากฝากเตือนประชาชนว่า หากเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้ให้มีสติ และควรพิจารณาข้อมูลให้รอบคอบ

ล่าสุดวานนี้ 30 พ.ย. ว่าที่ ร.ต.รภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน ได้ถ่ายทอดสดกับ ทนายชื่อดัง รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ในประเด็นดังกล่าว โดยทนายบอกว่า ธนาคารเป็นผู้ให้บริการอยู่ภายใต้กฎหมายของการธนาคารแห่งประเทศไทย ควบคุมกำกับดูแลโดยกระทรวงการคลัง และมีประกาศของธนาคารชัดเจนในเรื่องความลับของลูกค้า คนที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ ต้องเป็นคำสั่งศาลเท่านั้น หรือทางเจ้าหน้าที่ราชการทำหนังสือมา กรณีนี้ สาวแบงค์ต้องถูกไล่ออกและถูกดำเนินคดี แม้จะเป็นการหวังดี แต่ผิดกฎหมาย ผิดระเบียบ ความลับของลูกค้า จะเปิดเผยได้ต้องมีคำสั่งศาลให้เปิดเผย จะอาศัยสิทธิ์ความเป็นพนักงานธนาคารไม่ได้ ผิดจริยธรรมและกฎหมายภายใน ธนาคารต้องไล่ออกอย่างเดียว เอาไว้ไม่ได้

การเข้าถึงข้อมูลลูกค้า ไม่ใช่หน้าที่ของสาวแบงค์ ที่จะต้องมาตีแผ่ข้อมูลลูกค้าต่อหน้าสาธารณะ แบบนี้จะทำให้นายจ้างเสียหาย เพราะเปิดเผยข้อมูลลูกค้าออกไป ส่วนถ้าเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นอีก มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรเข้ามา ก็ให้บันทึกเสียงไว้ และทำใจ เนื่องจากไม่มีกฎหมายเอาผิด เมื่อความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ ทนาย รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ยังโพสต์ข้อความเสริมไว้ว่า

พ.ร.บ ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 มาตรา154-155 ห้ามมิให้บุคคลผู้ล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของลูกค้าโดยเหตุที่เป็นผู้มีอำนาจในการจัดการหรือเป็นพนักงาน และเปิดเผยความลับนั้น เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกค้า หรือเข้ากรณียกเว้นอื่นตามที่กฎหมายกำหนด เช่น เปิดเผยเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือพิจารณาคดี เปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการให้สินเชื่อ เปิดเผยให้แก่บริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจทางการเงินเดียวกัน เป็นต้น

ขอบคุณที่มา http://rakaball.com/n/197

เจอของจริง! แก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรหลอกเงินสาวแบงค์ ทนคุยจนได้ชื่อ-ที่อยู่ไปแจ้งความ

เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 60 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า “NaNa Nana Knc” ได้โพสต์คลิป ขณะกำลังพูดคุยกับแก๊งค์คอลเซนเตอร์ผ่านทางโทรศัพท์ โดยอ้างว่าเป็นหน่วยงานจากกองกับการการกระทำความผิด ได้อ้างว่าเหยื่อรายดังกล่าว ได้ไปกู้เงินจำนวน 100,000 บาท ที่ธนาคารกรุงเทพ สาขา เซ็นทรัลเชียงราย โดยทางแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ได้พูดว่า ยุ่งอยู่มั้ยขออนุญาติสอบปากคำนิดหนึ่ง พร้อมแจ้งข้อปฏิบัติที่อ้างว่าเหยื่อต้องปฏิบัติตาม ซึ่งมีอยู่ 3 ข้อ 1.ต้องให้ข้อมูลตามความเป็นจริงเท่านั้น และให้ตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ เท่านั้น 2.ระหว่างสอบปากคำกับผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่จะทำการบันทึกเสียง อย่าให้มีเสียงของบุคคลที่ 3 เพราะว่าการบันทึกเสียงในครั้งนี้ จะถูกนำไปลงบันทึกประจำวันและนำไปยื่นให้กับทางอัยการ 3.คดีความนี้ เป็นคดีที่อยู่ระหว่างขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็สามารถจับกุมได้ 1 ราย และเป็นความลับของทางราชการ พร้อมกับอ้างว่าจากการตรวจสอบเลขบัญชีนี้ เป็นบัญชีที่ใช้ในการฟอกเงิน

จากนั้นได้มีชายอีกหนึ่งคน ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นสารวัตรสอบสวน ได้โทรศัพท์มาสอบถามรายละเอียดต่างๆกับเธอ และแจ้งว่าเหยื่ออาจเป็นผู้เสียหาย ถูกปลอมแปลงเอกสาร จึงต้องอายัดบัญชีของเหยื่อไว้ทำการตรวจสอบก่อน แต่ถ้าเหยื่อไม่ต้องการให้อายัดบัญชี ทางเราก็จะช่วยโดยการ เหยื่อต้องแสดงทรัพย์สิน ว่าในแต่ละบัญชีมีเงินอยู่เท่าไหร่บ้าง และให้เหยื่อโอนเงินไปให้อีกบัญชี ซึ่งเป็นบัญชีของแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ซึ่งหญิงสาวที่คุยกับแกงค์คอลเซนเตอร์ บอกว่าที่ต้องคุย เพราะต้องการทราบเลขที่บัญชีปลายทางที่ต้องการให้โอนเงินไปให้ เพื่อที่จะนำไปแจ้งความดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้เมื่อเรื่องราวดังกล่าวเผยแพร่ออกไปชาวเน็ตก็ต่างพากันวิพากย์วจารณ์กันเป็นจำนวนมาก โดยต่างชื่นชมหญิงสาวที่มีไหวพริบดี โดยหญิงสาวนั้นเป็นพนักงานธนาคารแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี และเรื่องราวนี้ ทำให้ชาวเน็ตได้เห็นพฤติกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ

ชมคลิป

ความคิดเห็นชาวเน็ต

ขอขอบคุณ
ที่มา และคลิปจาก : NaNa Nana Knc

“วิธีทำปุ๋ยหมักมูลวัว ปุ๋ยคอกหมัก สูตรง่ายๆใส่ปุ๋ยให้พืชผักสวนครัว”

การทำปุ๋ยหมักมูลวัว หรือปุ๋ยคอกหมัก

นับจากวันที่ผมเริ่มทำการเกษตรมา สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นอย่างมากในการทำเกษตร นั่นก็คือ ปุ๋ย แต่สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้ ผมให้คำจำกัดความมันว่า ต้องปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและจนส่งถึงมือผู้บริโภค ผลผลิตที่เราปลูก เราต้องทานได้เช่นกัน และผมพบกับคำว่า เกษตรอินทรีย์ ซึ่งมันตอบโจทย์ในความหมายในแบบที่ผมต้องการ

ปุ๋ย คำ ๆ นี้ก็คือ อาหารของพืช ที่เมื่อพืชได้รับไปแล้ว จะทำให้พืชผักผลไม้เจริญงอกงามนั่นเอง การทำเกษตรอินทรีย์ก็ต้องใช้ปุ๋ย ซึ่งปุ๋ยก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้สิ่งอื่นเช่นกันครับ ต้องเป็นปุ๋ยที่มาจากธรรมชาติเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยขี้ไก่ ปุ๋ยขี้หมู หรือแม้กระทั้งปุ๋ยน้ำที่หมักจากเศษใบไม้ เศษพืชผักผลไม้ และปุ๋ยที่หมักจากเศษปลาหรือหอยเชอรี่ แต่ปุ๋ยที่หาได้ง่ายในชุมชนของเราก็คือ ปุ๋ยคอก(ปุ๋ยขี้วัว) นี่เอง

และหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่า เมื่อได้ปุ๋ยคอกมาแล้ว ก็นำไปใส่พืชเลย ทั้งที่ยังเปียกหรือสดอยู่ ไม่ผิดครับ แต่กว่าที่ปุ๋ยคอกจะย่อยสลายต้องใช้เวลานาน กว่าที่พืชจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่วัน

ทั้งนี้ปุ๋ยคอกสด ๆ ที่นำไปใช้โดยที่ยังไม่ผ่านกระบวนการย่อยสลาย มีธาตุอาหารมากก็จริง แต่พืชจะยังไม่สามารถนำไปใช้ได้ เนื่องจากจุลินทรีย์ในดินจะดึงไนโตรเจนจากพืชมาช่วยในการย่อยสลายปุ๋ยคอก จึงทำให้พืชขาดไนโตรเจนในช่วงนั้น จนเป็นสาเหตุให้ใบเหลืองซีดครับ

การทำปุ๋ยคอกหมัก

เพราะเหตุนี้เอง เราจึงจำเป็นต้องทำปุ๋ยคอกหมัก เพื่อให้ผ่านกระบวนการย่อยสลาย และพืชก็จะสามารถนำสารอาหารในปุ๋ยคอกหมักไปใช้ได้เลย ทราบไหมครับว่า ตอนที่ผมทำปุ๋ยคอกหมักแล้วตักใส่กระสอบทิ้งไว้วันแรก ๆ เป็นยังไง ตัวปุ๋ยคอกหมักเองมันร้อนมากเลยครับ

เนื่องจากตอนนี้เองมันจะเกิดกระบวนการย่อยสลาย และถ้าเราไม่หมักก่อน นี่ก็จะเป็นสิ่งที่พืชจะได้รับ แทนที่จะได้ประโยชน์ อาจจะกลายเป็นโทษแทนก็ได้นะครับ

ทั้งนี้ลองสังเกตจากที่เราเคยทำมาได้ครับ เรานำปุ๋ยคอกมาใหม่ ๆ อยากให้พืชเจริญเติบโตดี จัดเต็ม ใส่ไม่ยั้ง หวังว่าพืชจะงอกงาม แต่สุดท้ายใบเหลืองเฉยเลย ทั้งที่เราก็เข้าใจว่าเราใส่ปุ๋ยดี ๆ ให้กับพืชแล้ว

เพราะฉะนั้น ก่อนใช้เราจึงควรหมักปุ๋ยคอกหรือนำไปตากให้แห้งก่อน เพื่อที่พืชจะสามารถนำธาตุอาหารที่อยู่ในปุ๋ยคอกหมักไปใช้ได้เลย การปลูกพืชถ้าเราใส่ใจเขา ดูแลเขาดี ๆ เขาก็จะเจริญเติบโตงอกงามมาให้เราได้ชื่นชมครับ ขอเพียงเข้าใจหลักการของธรรมชาติเท่านั้นก็พอ

   การทำปุ่ยคอกหมัก ที่ผมจะมาแนะนำสำหรับวันนี้ ก็เพื่อที่จะให้เราสามารถนำไปใช้กับพืชเกษตรของเรา ถ้าใครมีปุ๋ยคอกมาก ก็สามารถนำไปใช้ได้กับพืชไร่ก็ได้ครับ หรือจะหมักไว้ใช้เองกับพืชผักสวนครัวของเราก็ได้เช่นกัน

และผมก็ได้สรุปออกมาเป็นขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว ทำง่าย ประหยัดเวลาของคุณ ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกเอง เพราะตอนนี้ผมได้คัดเฉพาะ ลองถูก มาไว้ให้แล้ว ว่าแล้วมาเริ่มกันเลยครับ

ส่วนประกอบของ การทำปุ๋ยคอกหมัก

1.ปุ๋ยคอก          1 ส่วน (1 กระสอบ)

2.แกลบ            1 ส่วน (1 กระสอบ)

3.รำ                1 ส่วน (1 กระสอบ)

4.น้ำ EM ขยาย   1 ลิตร วิธีทำน้ำ EM ขยาย

5.กากน้ำตาล      1 ลิตร

6.น้ำสะอาด       25 ลิตรหรือมากกว่า ซึ่งจะอธิบายในขั้นตอนการทำ

เริ่มกันเลยครับ

ขั้นแรก นำปุ๋ยคอกที่ได้มาตากแดดให้แห้ง

 

เกลี่ยให้โดนแดดทิ้งไว้ 1-2 แดด ถ้าปุ๋ยคอกที่ได้มาแห้งแล้วก็ไม่ต้องตากนะครับ

เมื่อปุ๋ยคอกแห้งแล้ว ก็เตรียมส่วนผสมให้พร้อม ปุ๋ยคอก ,รำ ,ข้าวเปลือก = 1:1:1

เทส่วนผสมทั้งหมดลงพื้น

ใช้จอบเกลี่ยคลุกเคล้าให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาพอสมควรครับ

เมื่อเข้ากันแล้ว จะได้ตามภาพด้านล่าง

เติมน้ำ EM ขยาย และกากน้ำตาลที่เตรียมไว้ ผสมน้ำให้เข้ากัน

นำไปรดที่กองปุ๋ยคอกที่เตรียมไว้ ถ้าไม่มีบัวรดน้ำใช้ขันตักไปก็ได้ครับ

จากนั้นใช้จอบคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใช้เวลาพอสมควรครับ ลองใช้มือบีบดู ไม่แห้งหรือไม่เปียกเกินไป

อย่างที่บอกตอนต้น ถ้ายังแห้งอยู่ เพิ่มน้ำอีกได้เลยโดยไม่จำเป็นต้อง 25 ลิตรเป๊ะ แล้วใช้จอบเกลี่ยไปด้วยเรื่อย ๆ

เสร็จแล้วตักใส่ไว้ในกระสอบ ตั้งไว้ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก ในวันแรกผมปิดปากถุง ปรากฎว่าปุ๋ยคอกร้อนมาก เราจึงจำเป็นต้องเปิดปากกระสอบให้ความร้อนของตัวปุ๋ยระบายออกครับ

ผ่านไป 2 วัน เริ่มหายร้อนแล้ว ตัวปุ๋ยเองเริ่มมีการย่อยสลาย สังเกตจากมีฝ้าขาว ๆ อยู่ทั่วไปครับ

ผ่านไป 3 วัน บางส่วนเริ่มย่อยสลายแล้ว

ผ่านไป 5 วัน ลองใช้มือขยำดูรู้สึกว่าจะเป็นขุย ๆ แล้วครับ

ผ่านไป 7 วัน จับขึ้นมาขย้ำดู สังเกตดูว่าฝุ่นคลุ้งเลยครับ

หลังจากนั้นผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ก็สามารถนำไปใช้กับผลผลิตของเราได้แล้วครับ

ตอนนี้ผมนำกระสอบมาเทนะครับ ที่เป็นก้อนก็ใช้มือขย้ำให้แตก รู้สึกว่าจะแตกง่าย ๆ เลยครับ

ตอนนี้ก็สามารถนำไปใส่ผลผลิตของเราได้แล้ว ของผมจะเป็นกล้วยหอมทอง และพืชผักสวนครับ

ส่วนนี่พืชผัก หรือสตอเบอรี่ก็ใส่ได้ครับ

เป็นยังไงกันบ้างครับ กับการทำและใช้ปุ๋ยคอกหมัก ถ้าเพื่อน ๆ มีข้อสงสัยอะไรเข้าไปสอบถามใน Fanpage ได้นะครับ แล้วเรามาร่วมกันสร้างสังคมที่ยั่งยืน ให้เป็นสังคมเกษตรอินทรีย์ ซึ่งปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคกันนะครับ

และขอให้ทุก ๆ คนมีความสุขกับการทำเกษตรและการทำในสิ่งที่รักนะครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.organicfarmthailand.com/