การปลูกอ้อย ในนาข้าว ผลผลิต 20 ตัน/ไร่ สร้างรายได้ 10,000 บาท/ไร่


“อ้อย” หนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่เกษตรกรนิยมปลูกมากที่สุด เพราะเป็นพืชอาหารและพืชพลังงาน ซึ่งอ้อยนับว่าเป็นพืชสำคัญอันดับ 4 ของโลก รองจากข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าว นอกจากนี้อ้อยยังเป็นพืชที่ปลูกง่าย ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวได้หลายครั้ง อ้อยชอบอากาศร้อนชื้น
อีกทั้ง “ต้นทุน การปลูกอ้อย ” ถ้าเทียบกับการปลูกข้าวแล้ว อ้อยถือว่ามีต้นทุนการปลูกน้อยกว่ามาก เพราะเป็นพืชที่ไม่ต้องดูแลอะไรมากมายเหมือนข้าว การใส่ ปุ๋ยอ้อย แค่ 2-3 ครั้ง/ปี ปัญหาเรื่องโรคและแมลงก็ไม่มากเหมือนในข้าว การจัดการดูแลง่ายกว่า รวมถึงราคาอ้อยที่ดีกว่าราคาข้าวอย่างเห็นได้ชัด

อีกทั้งในสภาวะที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน “อ้อยโรงงาน” ถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่น่าจับตามอง เป็นพืชทนแล้งที่สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ หรือแม้กระทั่งในนาข้าวก็ปรับเปลี่ยนมา ปลูกอ้อย ได้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในยามที่ข้าวราคาถูก และเกิดวิกฤติขึ้นอย่างนี้

ทีมงานนิตยสารพืชพลังงานจึงขอนำเสนอเรื่องราวของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่จังหวัดสุพรรณบุรีนางสาวสุรีพร เพิ่มมงคล หรือ คุณพร ลูกหลานชาวนา โดยมีพื้นที่ในการทำนา 90 ไร่ จนกระทั่งได้ผันตัวเองมา “ทำไร่อ้อย” ในพื้นที่นาเดิมบนพื้นที่กว่า 70 ไร่ ประมาณ 5 แปลง เพื่อป้อนผลผลิตให้กับโรงงานน้ำตาลในพื้นที่

โดยมีผู้ใหญ่ใจดีในพื้นที่ซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อคอยให้คำแนะนำ และให้ความช่วยเหลือในทุกด้าน ที่เน้นให้ ปลูกอ้อย อย่างเป็นระบบภายใต้การบริหารจัดการที่ดี เพื่อทำไร่อ้อยให้มีกำไร ไม่ขาดทุน ให้ผลผลิตปริมาณมากต่อไร่เพื่อรายได้ที่ดี ควบคู่ไปกับการทำนาข้าว “ไรซ์เบอร์รี่” บนเนื้อที่ 20 ไร่ ป้อนผลผลิตให้กับโรงสีในพื้นที่ในราคาประกันที่ 15,000 บาท/ไร่

1.การเปลี่ยนที่นามาทำไร่อ้อย-ผลผลิต-20-ตันต่อไร่

 

การทำไร่อ้อยควบคู่การทำนาข้าวไรซ์เบอรี่ การปลูกอ้อย
การให้น้ำ แบบท่วมร่องอ้อย

ดังนั้น “การทำไร่อ้อย” ของคุณพรที่ได้ปรับเปลี่ยนจากที่นามาเป็นไร่อ้อย จะเริ่มตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ โดยใช้รถแทรกเตอร์ดันโล๊ะคันนาออกให้หมด ก่อนไถพลิกหน้าดิน และไถแปร แล้วค่อยยกร่อง การปลูกอ้อย ทั้งหมด 70 ไร่ ด้วยสายพันธุ์ “ขอนแก่น”

ที่เน้นใช้แรงงาน การปลูกอ้อย ทั้งหมด ตั้งแต่แบกมัดอ้อยไปวางไว้เป็นระยะ ก่อนจะวางอ้อยลงไปในร่อง และสับลำอ้อยให้ขาดเป็นท่อนๆ ก่อนให้คนงานใช้จอบขุดดิบกลบร่องอ้อยทุกร่อง หลังจาก การปลูกอ้อย เสร็จแล้วจะเริ่มฉีดพ่นยาคุมหญ้าวัชพืชทันที (ยาคุมแห้ง)

ต่อมาอีก 3 วันจะเริ่มปล่อยน้ำเข้าในไร่อ้อยให้ท่วมร่องอ้อย เพื่อคุมหญ้าที่หลงเหลือจากการฉีดยาคุมหญ้าแล้วไม่ตาย  เมื่อน้ำเริ่มแห้งอ้อยจะเริ่มแทงหน่อขึ้นมา  หากมีหญ้าขึ้นมาอีกก็จะฉีดพ่นยาฆ่าหญ้าอีกครั้งเป็นรอบที่ 2  เมื่ออ้อยเริ่มแทงหน่อขึ้นมาจนหมดแล้วจะเริ่มให้น้ำอีกรอบ

ซึ่งข้อควรระวัง คือ หากอ้อยยังแทงหน่อขึ้นมาไม่หมด อย่าเพิ่งให้น้ำ เพราะจะทำให้หน่ออ้อยที่กำลังแทงเดือยขึ้นมาเน่าเสียหายได้
การใส่ ปุ๋ยอ้อย

ใส่ ปุ๋ยอ้อย รอบแรก เมื่อต้นอ้อยมีอายุประมาณ 1 เดือนครึ่ง จะเริ่มด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 เพื่อการเจริญเติบโตที่ดี

ก่อนจะใส่ ปุ๋ยอ้อย รอบที่ 2 ให้ห่างจากรอบแรกประมาณ 2 เดือน ด้วยการใช้ปุ๋ยเคมี “ตราพลอยเกษตร” ของ กลุ่มบริษัทปุ๋ยศักดิ์สยาม (ศักดิ์สยามกรุ๊ป) สูตร 16-8-8 ขนาด 50 กก./กระสอบ และ 46-0-0 ขนาด 50 กก./กระสอบ ในอัตรา 2:3 ส่วน โดยมีอัตราการหว่านเฉลี่ย 50 กก./ไร่

ใส่ ปุ๋ยอ้อย รอบที่ 3 เมื่ออายุ 7-8 เดือน เพื่อให้อ้อยเจริญเติบโตดี สมบูรณ์เต็มที่ และเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี มีคุณภาพ ได้ความหวานที่ดี เน้นใส่ ปุ๋ยอ้อย เคมีสูตร 0-0-60 ที่สำคัญการทำไร่อ้อยต้องมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอทุก 15-20 วัน/รอบตลอดอายุการเก็บเกี่ยว

“จุดเด่นของปุ๋ยศักดิ์สยาม”  ที่สำคัญคือมี “แมกนีเซียม” ทุกกระสอบ ประมาณ 3.5-4 กก.กระสอบในขณะที่ปุ๋ยอื่นไม่มี เป็นปุ๋ยที่ครบสูตรทุกกระสอบ เนื้อปุ๋ยเต็มประสิทธิภาพทุกล็อต จึงลดปริมาณการใส่ปุ๋ยของเกษตรกรลงได้ ราคายุติธรรม ใช้แล้วเห็นผลจริง
ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยที่ 3,000-3,500 บาท/ไร่

เพราะการให้น้ำกับไร่อ้อยนี้จะทำให้อ้อยเจริญเติบโตดี แข็งแรง สมบูรณ์ ไม่เป็นโรคหนอนกอ ให้ผลผลิตที่ดี น้ำหนักดี ดูแลง่าย ไม่ต้องใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ลดต้นทุนการผลิตลงได้เป็นอย่างดี  ทำให้คุณพรมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ยที่ 3,000-3,500 บาท/ไร่

ภายใต้การจัดการไร่อ้อยด้วยตนเอง บางส่วนที่ทำได้ และบางส่วนที่ทำไม่ได้ หรือทำไม่ทันก็จะจ้างแรงงาน ทั้งการใส่ปุ๋ย การฉีดยา ที่ต้องจัดการให้เหมาะสมกับเวลาและอายุของอ้อยในแต่ละช่วง  เมื่ออ้อยมีอายุ 9.5-10 เดือนขึ้นไป ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตเข้าสู่โรงงานได้ ภายใต้การใช้แรงงานตัดอ้อยที่ต้องจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับโรงงาน ในขณะที่พื้นที่ 1 ไร่ จะให้ผลผลิตเฉลี่ยที่ 20 ตัน มีราคาผลผลิตอยู่ที่ 1,100 กว่าบาท/ตัน
รายได้ประมาณ 22,000 บาท/ไร่

มีรายได้ประมาณ 22,000 บาท/ไร่ เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วคุณพรจะมีกำไรอยู่ที่ 750-800 กว่าบาท/ตัน หรือมีกำไรไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท/ไร่ ส่งผลให้คุณพรกลายเป็น “เกษตรกรรุ่นใหม่ไฟแรง” และเป็นเกษตรกรตัวอย่างในพื้นที่ด้านการจัดการไร่อ้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.การขอคำแนะนำด้านการใช้ปุ๋ย-ยาในไร่อ้อย-จากร้านหอมกรุ่นการเกษตร


ทำไร่อ้อยในพื้นที่นาน้ำตมแบบไม่ยกร่อง
นอกจากนี้คุณพรยังได้ทดลอง “ทำไร่อ้อยในพื้นที่นาน้ำตมแบบไม่ยกร่อง” ที่มีขั้นตอนเหมือนกับการทำนาทุกอย่าง ซึ่งจะเห็นว่าอ้อยรุ่นที่ปลูกในน้ำตมทั้งหมด 2 แปลง จะโตช้ากว่าการยกร่อง แต่สามารถลดต้นทุนได้ค่อนข้างมาก เพราะไม่ต้องไถพลิกหน้าดิน ไม่ต้องไถแปร ไม่ต้องยกร่อง

ทำให้มีต้นทุนการผลิตเพียง 30,000 บาท/พื้นที่ 10 ไร่  อ้อยมีอัตราการแตกกอดีกว่าการยกร่อง เพราะรากหากินได้ดีกว่า แตกหน่อได้ดี ได้หน่อมากกว่า ลำต้นใหญ่กว่า และสายพันธุ์ขอนแก่นจะโตดีกว่า ให้ผลผลิตดีกว่าสายพันธุ์อื่นๆ
การขอคำแนะนำด้านการใช้ปุ๋ย-ยาในไร่อ้อย จากร้านหอมกรุ่นการเกษตร

แต่ด้วยความที่คุณพรมีอาชีพเดิม คือ การทำนา เมื่อหันมาทำไร่อ้อยความรู้ที่มีอยู่จึงเท่ากับศูนย์  ส่งผลให้คุณพรต้องศึกษาค้นคว้า แสวงหาองค์ความรู้ทุกอย่าง เพื่อให้การทำไร่อ้อยมีประสิทธิภาพ เริ่มตั้งแต่การเข้าไปดูไร่อ้อย และขอความรู้จากคนที่เคยทำไร่อ้อยมาก่อน ทั้งในและนอกพื้นที่

ทำให้การทำไร่อ้อยตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ต้องเรียนรู้เอง ควบคู่ไปกับการขอคำแนะนำด้านการใช้ปุ๋ย-ยาในไร่อ้อย จาก “ร้านหอมกรุ่นการเกษตร” ที่มี คุณอุดมพร ปานกรณ์ หรือ เฮียฮื๊อ เป็นเจ้าของ ที่มุ่งมั่นพัฒนาเกษตรกรให้มีองค์ความรู้ในการใช้ปุ๋ย-ยาให้ถูกต้องกับพืชแต่ละชนิดตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ตั้งอยู่เลขที่ 16 หมู่ 4 ต.โคกช้าง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี และยังเป็นร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยเคมีคุณภาพ ของกลุ่มบริษัทปุ๋ยศักดิ์สยาม (ศักดิ์สยามกรุ๊ป)

ได้แนะนำให้ใช้ “ปุ๋ยตราพลอยเกษตร” ในไร่อ้อย จะเห็นว่า อ้อยมีการเจริญเติบโตที่ดี แตกกอได้ดี แตกกอจำนวนมาก หน่ออวบใหญ่ เขียวนาน เขียวทน  ลำต้นอวบใหญ่ สูงประมาณ 2 เมตรกว่า ใบสมบูรณ์ น้ำหนักดี ความหวานดี หรือได้ค่าความหวานตั้งแต่ 11 ccs.ขึ้นไป ที่สำคัญราคายุติธรรม ใช้แล้วเห็นผลจริง คุ้มค่ากับการลงทุน
แม้ว่าการทำไร่อ้อยจะลงทุนมากในปีแรก แต่ในปีถัดไปจะมีเพียงค่าการจัดการเท่านั้น

แม้ว่าการทำไร่อ้อยจะลงทุนมากในปีแรก แต่ในปีถัดไปจะมีเพียงค่าการจัดการเท่านั้น อ้อยใหม่จะโตช้ากว่าอ้อยตอ เพราะไม่ต้องเลี้ยงหน่อใหม่ การทำไร่อ้อยหากมีการจัดการที่ดีจะสามารถไว้ตอได้มากถึง 10-15 ตอ เลยทีเดียว เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างการทำนากับการทำไร่อ้อย

จะเห็นว่าการ “ทำไร่อ้อย” สามารถลดต้นทุนได้มากกว่า ใช้น้ำน้อยกว่า ยิ่งถ้าขายพันธุ์ได้ยิ่งดี แต่ถ้าเป็นข้าว ราคาข้าวเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ราคาอ้อยเต็มที่ก็ไม่เคยต่ำกว่า 800 บาท/ตัน หรือราคาต่ำสุดก็ไม่ต่ำกว่า 500 บาท/ตัน

นอกจากนี้คุณพรยังใช้ ปุ๋ยอ้อย เคมีคุณภาพ “ตราพลอยเกษตร” สูตร 10-55-20 ใน “แปลงต้นหอม” ที่ปลูกไว้เพื่อสร้างรายได้รายวันให้กับครอบครัว ที่จะเห็นว่าต้นหอมมีการเจริญเติบโตที่ดี ให้ผลผลิตที่ดี น้ำหนักดี ต้นอวบใหญ่ และยังเป็นที่ต้องการตลาด ขายได้ทุกวัน โดยมีรายได้รายเดือน คือ ทำนาข้าวไรซ์เบอรี่ และยังมีไร่อ้อยเป็นรายได้รายปี


จนกระทั่งวันนี้คุณพรฟื้นตัวได้  มีรายได้  มีเงินใช้หนี้ธนาคาร ก็เพราะ “การทำไร่อ้อย” และยังเป็นเกษตรกรตัวอย่างจาก “ การปลูกอ้อย ในนาข้าว” ที่ให้ผลผลิตมากกว่า 20 ตัน/ไร่ พื้นที่ภาคกลางที่มีระบบน้ำชลประทานรองรับ ส่งผลให้อ้อยสมบูรณ์ และยังเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกับการ “ผลิตพันธุ์อ้อยในเชิงการค้า
ซึ่งคุณพรเป็นหนึ่งในเกษตรกรผู้ผลิตพันธุ์อ้อย ที่สามารถตัดพันธุ์อ้อยจำหน่ายได้เมื่ออายุ 4-5 เดือนขึ้นไป ที่ให้ผลผลิตเฉลี่ยที่ 10 ตัน/ไร่ หรือมีรายได้ประมาณ 10,000 บาท/ไร่ นำมาซึ่งรายได้ที่ดี ภายใต้การทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและปัญหาต่างๆ

ชอบคณที่มา ideadeede.com

ทั้งน่าเอ็นดูทั้งน่าสงสาร! ตูบน้อยยกพวกฟัดงูเขียว ถูกกัดแก้มบวมตุ่ย


ทำเอาทั้งสงสารทั้งขำปนกันทั้งโซเชียลเลยจริงๆ กับภาพของ “น้องหมา” ที่แก้มบวมตุ่ยนั่งพิงเสาบ้าน พร้อมทั้งน้ำหูน้ำตาเล็ดเต็มเบ้า ซึ่งจริงๆแล้วเจ้าตัวน้อยนั้นถูกงูเขียวกัดเพราะยกพวกไปสู้กับงูเขียว โดยทั้งสามตัวน้อยก็ใช้กำลังสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อที่จะปกป้องบ้านจากผู้บุกรุก สุดท้ายพวกมันก็ชนะและหอบชัยชนะมาพร้อมคราบน้ำตาแห่งศักดิ์ศรี

ซึ่งภาพดังกล่าวนี้เป็นของผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “ชลภัทร สีสา” โดยได้ออกมาอธิบายกับกลุ่ม “คนรักหมา” ว่า

“โดนงูเขียวน้อยกัด หน้าบวมกัน 3 ตัวเลย 5555” #แก้ไขนะครับภาพนี้เป็นภาพเก่าเมื่อวานผมเพิ่งเอามาลงวันนี้ทุกตัวสบายดีครับ วิ่งได้ กินข้าวได้ ที่ผมใจเย็นเพราะผมเจอแบบนี้บ่อย ไปหาหมอ หมอก็ให้ดูอาการเฉยๆ เสียตังเปล่าๆ ส่วนคนที่ถามว่ามันจะตายไหมผมรับรองว่ามันไม่ตายครับ ถ้าไปหาหมอทุกครั้งที่หน้าบวมรวมระยะทางไป-กลับ 200 กิโลเมตร ทางลงเขากันดารอีก ผมไม่ตายเหรอครับ ผมแค่อยากให้ดูหน้าตอนแบ๊วเฉยๆ ครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก https://baabin.co.th/other/3693

พื้นที่ 1ไร่ ปลูกอะไรได้บ้าง??


ที่ดินเพียง 1 ไร่ อาจดูไม่มากมายนัก แต่หากมีการศึกษา จัดระเบียบกระบวนการคิด และวางแผนอย่างรอบคอบ เราก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า สามารถสร้างรายได้ และสร้างความสุขให้กับครอบครัวได้อย่างยั่งยืน ด้วยการทำ เกษตรผสมผสาน

พื้นที่ 1 ไร่ จะมีการแบ่งการใช้สอยออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนสำหรับสร้างที่อยู่อาศัย และส่วนสำหรับปลูกพืชผลทางการเกษตร โดยจากการศึกษาของคุณวีรยุทธ ศรีเลอจันทร์ (วิสาหกิจชุมชนเพชรพิมาย) จะแนะนำให้แบ่งพื้นที่ 1 งานสำหรับสร้างบ้าน และบ่อเก็บน้ำ และเหลือพื้นที่ 3 งาน สำหรับการเพาะปลูก เน้นการปลูกพืช 3 ระยะ คือ

  • ระยะสั้น
  • ระยะกลาง
  • และระยะยาว

พืชระยะสั้น

เป็นพืชที่ใช้ระยะเวลาการปลูกสั้นๆ เน้นเก็บไว้ทานในครอบครัว และหากมีจำนวนมากเกินความต้องการ ก็สามารถนำมาขาย เพื่อเป็นรายจ่ายในชีวิตประจำวัน แต่เนื่องจากเรามีพื้นที่น้อย จึงต้องวางแผนการปลูก เลือกพันธุ์ผักที่เหมาะสม ราคาดี ใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้คุ้มค่า เช่น ต้นพลิก ผักบุ้ง โหระพา

พืชระยะกลาง

เป็นไม้ผล และผลไม้ระยะกลาง ที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการปลูก อาจเก็บผลผลิตได้ปีละ 1-2 ครั้ง หรือตามฤดูกาล เช่น มะนาว มะพร้าว มะละกอ กล้วย มะม่วง เป็นต้น โดยรายได้ส่วนนี้จะเก็บไว้สำหรับชำระหนี้ เป็นเงินออม หรือเป็นทุนในการซื้อเครื่องทุนแรงต่างๆ เช่น ระบบน้ำ หรือเครื่องตัดหญ้า เป็นต้น และด้วยข้อจำกัดของเนื้อที่ เราจึงต้องเน้นทำให้ผลผลิตออกในช่วงที่มีราคาแพง เช่น การปลูกมะนาวให้ออกลูกในช่วงหน้าแล้ง เดือนพฤศจิกายน-เมษายน ก็จะได้ราคาที่สูงขึ้น เป็นต้น

พืชระยะยาว

เป็นกลุ่มไม้ เศรษฐกิจ ที่ต้องใช้ระยะเวลาหลายปีกว่าจะสามารถเก็บเกี่ยว หรือใช้ประโยชน์ได้ เช่น สักทอง ยางนา ไม้เต็ง ไม้แดง หรือไม้ประดู่ เป็นต้น โดยต้นไม้เหล่านี้เราจะเน้นการปลูกตามแนวเขตแดน หรือปลูกเป็นรั้ว เน้นปลูกช่วงต้นฤดูฝน ซึ่งแนวชายแดนของพื้นที่ 1 ไร้ จะมีความยาวมากถึง 160 เมตร หากเราปลูกต้นไม้ในระยะ 2 เมตร/ต้น ก็จะได้ไม้เศรษฐกิจ 80 ต้น ในช่วงระหว่างที่ไม้เศรษฐกิจเหล่านี้กำลังเติบโต พื้นที่ระหว่างต้น ก็สามารถปลูกมะละกอ พันธ์ดีแซมระหว่างกลางได้ เช่น พันธ์แขกดำ แขกนวล พันธ์ต้นเตี้ย เพชรพิมาย เป็นต้น

ในช่วงปีแรกรายได้ต่อเดือนอาจจะ เป็หลักพันบาท แต่ในปีต่อๆ ไป เมื่อต้นไม้เริ่มโตขึ้น ออกดอก ออกผลมากขึ้น เราก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เราควรต้องใช้ชีวิตแบบพอเพียง เรียบง่าย ไม่ใช้จ่ายเกินตัว

ข้อดีของการปลูกพืชในพื้นที่น้อย

1. สามารถดูและ และควบคุมได้ทั่วถึง

2. ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานเยอะ สามารถทำเองได้ภายในครอบครัว

3. เนื่องจากมีเนื้อที่จำกัด จึงต้องปลูกพืชแบบผสมผสาน มีความเสี่ยงน้อย

4. เริ่มต้นแบบเล็กๆ เมื่อได้รับผลตอบแทนที่ดี และมีประสบการณ์มากขึ้น ก็สามารถขยายเพิ่มเติมได้ง่าย

 

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : https://www.chonburipost.com

วิธีทำปุ๋ยหมักมูลวัว ปุ๋ยคอกหมัก สูตรง่ายๆใส่ปุ๋ยให้พืชผักสวนครัว


การทำปุ๋ยหมักมูลวัว หรือปุ๋ยคอกหมัก

นับจากวันที่ผมเริ่มทำการเกษตรมา สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นอย่างมากในการทำเกษตร นั่นก็คือ ปุ๋ย แต่สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้ ผมให้คำจำกัดความมันว่า ต้องปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและจนส่งถึงมือผู้บริโภค ผลผลิตที่เราปลูก เราต้องทานได้เช่นกัน และผมพบกับคำว่า เกษตรอินทรีย์ ซึ่งมันตอบโจทย์ในความหมายในแบบที่ผมต้องการ

ปุ๋ย คำ ๆ นี้ก็คือ อาหารของพืช ที่เมื่อพืชได้รับไปแล้ว จะทำให้พืชผักผลไม้เจริญงอกงามนั่นเอง การทำเกษตรอินทรีย์ก็ต้องใช้ปุ๋ย ซึ่งปุ๋ยก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้สิ่งอื่นเช่นกันครับ ต้องเป็นปุ๋ยที่มาจากธรรมชาติเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยขี้ไก่ ปุ๋ยขี้หมู หรือแม้กระทั้งปุ๋ยน้ำที่หมักจากเศษใบไม้ เศษพืชผักผลไม้ และปุ๋ยที่หมักจากเศษปลาหรือหอยเชอรี่ แต่ปุ๋ยที่หาได้ง่ายในชุมชนของเราก็คือ ปุ๋ยคอก(ปุ๋ยขี้วัว) นี่เอง

และหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่า เมื่อได้ปุ๋ยคอกมาแล้ว ก็นำไปใส่พืชเลย ทั้งที่ยังเปียกหรือสดอยู่ ไม่ผิดครับ แต่กว่าที่ปุ๋ยคอกจะย่อยสลายต้องใช้เวลานาน กว่าที่พืชจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่วัน

ทั้งนี้ปุ๋ยคอกสด ๆ ที่นำไปใช้โดยที่ยังไม่ผ่านกระบวนการย่อยสลาย มีธาตุอาหารมากก็จริง แต่พืชจะยังไม่สามารถนำไปใช้ได้ เนื่องจากจุลินทรีย์ในดินจะดึงไนโตรเจนจากพืชมาช่วยในการย่อยสลายปุ๋ยคอก จึงทำให้พืชขาดไนโตรเจนในช่วงนั้น จนเป็นสาเหตุให้ใบเหลืองซีดครับ

การทำปุ๋ยคอกหมัก

เพราะเหตุนี้เอง เราจึงจำเป็นต้องทำปุ๋ยคอกหมัก เพื่อให้ผ่านกระบวนการย่อยสลาย และพืชก็จะสามารถนำสารอาหารในปุ๋ยคอกหมักไปใช้ได้เลย ทราบไหมครับว่า ตอนที่ผมทำปุ๋ยคอกหมักแล้วตักใส่กระสอบทิ้งไว้วันแรก ๆ เป็นยังไง ตัวปุ๋ยคอกหมักเองมันร้อนมากเลยครับ

เนื่องจากตอนนี้เองมันจะเกิดกระบวนการย่อยสลาย และถ้าเราไม่หมักก่อน นี่ก็จะเป็นสิ่งที่พืชจะได้รับ แทนที่จะได้ประโยชน์ อาจจะกลายเป็นโทษแทนก็ได้นะครับ

ทั้งนี้ลองสังเกตจากที่เราเคยทำมาได้ครับ เรานำปุ๋ยคอกมาใหม่ ๆ อยากให้พืชเจริญเติบโตดี จัดเต็ม ใส่ไม่ยั้ง หวังว่าพืชจะงอกงาม แต่สุดท้ายใบเหลืองเฉยเลย ทั้งที่เราก็เข้าใจว่าเราใส่ปุ๋ยดี ๆ ให้กับพืชแล้ว

เพราะฉะนั้น ก่อนใช้เราจึงควรหมักปุ๋ยคอกหรือนำไปตากให้แห้งก่อน เพื่อที่พืชจะสามารถนำธาตุอาหารที่อยู่ในปุ๋ยคอกหมักไปใช้ได้เลย การปลูกพืชถ้าเราใส่ใจเขา ดูแลเขาดี ๆ เขาก็จะเจริญเติบโตงอกงามมาให้เราได้ชื่นชมครับ ขอเพียงเข้าใจหลักการของธรรมชาติเท่านั้นก็พอ

   การทำปุ่ยคอกหมัก ที่ผมจะมาแนะนำสำหรับวันนี้ ก็เพื่อที่จะให้เราสามารถนำไปใช้กับพืชเกษตรของเรา ถ้าใครมีปุ๋ยคอกมาก ก็สามารถนำไปใช้ได้กับพืชไร่ก็ได้ครับ หรือจะหมักไว้ใช้เองกับพืชผักสวนครัวของเราก็ได้เช่นกัน

และผมก็ได้สรุปออกมาเป็นขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว ทำง่าย ประหยัดเวลาของคุณ ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกเอง เพราะตอนนี้ผมได้คัดเฉพาะ ลองถูก มาไว้ให้แล้ว ว่าแล้วมาเริ่มกันเลยครับ

ส่วนประกอบของ การทำปุ๋ยคอกหมัก

1.ปุ๋ยคอก          1 ส่วน (1 กระสอบ)

2.แกลบ            1 ส่วน (1 กระสอบ)

3.รำ                1 ส่วน (1 กระสอบ)

4.น้ำ EM ขยาย   1 ลิตร วิธีทำน้ำ EM ขยาย

5.กากน้ำตาล      1 ลิตร

6.น้ำสะอาด       25 ลิตรหรือมากกว่า ซึ่งจะอธิบายในขั้นตอนการทำ

เริ่มกันเลยครับ

ขั้นแรก นำปุ๋ยคอกที่ได้มาตากแดดให้แห้ง

 

เกลี่ยให้โดนแดดทิ้งไว้ 1-2 แดด ถ้าปุ๋ยคอกที่ได้มาแห้งแล้วก็ไม่ต้องตากนะครับ

เมื่อปุ๋ยคอกแห้งแล้ว ก็เตรียมส่วนผสมให้พร้อม ปุ๋ยคอก ,รำ ,ข้าวเปลือก = 1:1:1

เทส่วนผสมทั้งหมดลงพื้น

ใช้จอบเกลี่ยคลุกเคล้าให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาพอสมควรครับ

เมื่อเข้ากันแล้ว จะได้ตามภาพด้านล่าง

เติมน้ำ EM ขยาย และกากน้ำตาลที่เตรียมไว้ ผสมน้ำให้เข้ากัน

นำไปรดที่กองปุ๋ยคอกที่เตรียมไว้ ถ้าไม่มีบัวรดน้ำใช้ขันตักไปก็ได้ครับ

จากนั้นใช้จอบคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใช้เวลาพอสมควรครับ ลองใช้มือบีบดู ไม่แห้งหรือไม่เปียกเกินไป

อย่างที่บอกตอนต้น ถ้ายังแห้งอยู่ เพิ่มน้ำอีกได้เลยโดยไม่จำเป็นต้อง 25 ลิตรเป๊ะ แล้วใช้จอบเกลี่ยไปด้วยเรื่อย ๆ

เสร็จแล้วตักใส่ไว้ในกระสอบ ตั้งไว้ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก ในวันแรกผมปิดปากถุง ปรากฎว่าปุ๋ยคอกร้อนมาก เราจึงจำเป็นต้องเปิดปากกระสอบให้ความร้อนของตัวปุ๋ยระบายออกครับ

ผ่านไป 2 วัน เริ่มหายร้อนแล้ว ตัวปุ๋ยเองเริ่มมีการย่อยสลาย สังเกตจากมีฝ้าขาว ๆ อยู่ทั่วไปครับ

ผ่านไป 3 วัน บางส่วนเริ่มย่อยสลายแล้ว

ผ่านไป 5 วัน ลองใช้มือขยำดูรู้สึกว่าจะเป็นขุย ๆ แล้วครับ

ผ่านไป 7 วัน จับขึ้นมาขย้ำดู สังเกตดูว่าฝุ่นคลุ้งเลยครับ

หลังจากนั้นผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ก็สามารถนำไปใช้กับผลผลิตของเราได้แล้วครับ

ตอนนี้ผมนำกระสอบมาเทนะครับ ที่เป็นก้อนก็ใช้มือขย้ำให้แตก รู้สึกว่าจะแตกง่าย ๆ เลยครับ

ตอนนี้ก็สามารถนำไปใส่ผลผลิตของเราได้แล้ว ของผมจะเป็นกล้วยหอมทอง และพืชผักสวนครับ

ส่วนนี่พืชผัก หรือสตอเบอรี่ก็ใส่ได้ครับ

เป็นยังไงกันบ้างครับ กับการทำและใช้ปุ๋ยคอกหมัก ถ้าเพื่อน ๆ มีข้อสงสัยอะไรเข้าไปสอบถามใน Fanpage ได้นะครับ แล้วเรามาร่วมกันสร้างสังคมที่ยั่งยืน ให้เป็นสังคมเกษตรอินทรีย์ ซึ่งปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคกันนะครับ

และขอให้ทุก ๆ คนมีความสุขกับการทำเกษตรและการทำในสิ่งที่รักนะครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.organicfarmthailand.com/

เลียะพะ! ความร้าวฉานไทย-จีน


เมื่อตอนที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง คำจีนที่ว่า “เลียะพะ” ซึ่งแปลว่า “จับและตี” หมายถึงการกลุ้มรุมทำร้าย เป็นคำที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเมืองไทย คนไทยที่เข้าไปเดินในย่านคนจีน เมื่อได้ยินเสียงคนร้องขึ้นว่า “เลียะพะ!” ก็ต้องวิ่งกันทันที มิฉะนั้นก็จะโดนเลียะพะ

ทั้งนี้เกิดจากคนจีนมีความโกรธแค้นญี่ปุ่นอย่างมาก และหลายคนก็โกรธแค้นมาถึงรัฐบาลไทยที่ร่วมรบกับญี่ปุ่น ประกอบกับได้รับการยุยงจากหน่วยใต้ดินของก๊กมินตั๋งในไทย ว่าจีนเป็น ๑ ใน ๕ ชาติมหาอำนาจที่ชนะสงครามในครั้งนี้ จอมพลเจียงไคเช็คกำลังจะส่งทหารเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทย ทำให้คนจีนกลุ่มหนึ่งฮึกเหิม โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ขุ่นเคืองการปฏิบัติของตำรวจไทย หวังจะได้แก้แค้น แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ส่งทหารอังกฤษเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทย ส่วนทหารก๊กมินตั๋งปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในอินโดจีนเท่านั้น ทำให้คนกลุ่มนี้ผิดหวังอย่างมาก

ในคืนวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๘๘ เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ผู้คนไปเที่ยวเตร่แถวเยาวราชกันแน่น ราว ๒ ทุ่มได้มีทหารอังกฤษกลุ่มหนึ่งไปนั่งกินเหล้าในร้านแห่งหนึ่ง แสดงอาการสนุกสนานกันเต็มที่ เอาธงชาติจีนขึ้นมาโบก จึงมีคนมายืนมุ่งดูกันแน่นถนน เผอิญรถสามเฉี่ยวชนคนจีนคนหนึ่งเข้า จึงเกิดมีปากเสียงทะเลาะกัน คนจีนกลุ่มหนึ่งได้กลุ้มรุมทำร้ายคนขี่สามล้อซึ่งเป็นคนไทย ตำรวจเข้าระงับเหตุก็ถูกรุมทำร้ายด้วย สถานีตำรวจพลับพลาไชยได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธไป ๑ คันรถ เกลี้ยกล่อมให้ฝูงชนสลายตัว แต่ไม่มีใครเชื่อฟังและยังโยนประทัดเข้าใส่ ตำรวจจึงยิงปืนขึ้นฟ้าแล้วถอยกลับโรงพัก ทางรัฐบาลได้ส่งทหาร ตำรวจ และยุวชนทหารซึ่งมีบทบาทสำคัญตอนสงครามไปรักษาการณ์ ใช้รถถังวิ่งตรวจไปตามถนนเยาวราช เจริญกรุง จนถึงหัวลำโพง ฝ่ายที่ก่อจลาจลได้แอบอยู่ในตึกแถวข้างถนนยิงลงมา เกิดการยิงตอบโต้กัน จนร้านค้าทั้งย่านต้องปิดหมด

รุ่งขึ้นวันที่ ๒๑ การจลาจลได้กระจายออกไปตามย่านที่มีคนจีนอยู่ เช่น เจริญกรุง บางรัก หัวลำโพง และบางลำพู มีโปสเตอร์เป็นภาษาจีนติดอยู่หลายแห่ง ปลุกปั่นคนจีนให้ทำร้ายคนไทย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก๊กมินตั๋งในไทย และมีคนเข้าพักในโรงแรมย่านเยาวราชมากผิดปกติ มีข่าวลือว่าคืนนี้จะมีการก่อจลาจลขั้นรุนแรง ทางราชการได้เตรียมรับมืออย่างเต็มที่ จนราว ๒ ทุ่มเสียงปืนก็ดังไปทั่ว มีบาดเจ็บล้มตายกันหลายคน และมีกลุ่มอันธพาลเข้าผสมโรงบุกเข้าปล้นร้านค้าคนจีนย่านเยาวราช กวาดทรัพย์สินไปได้มาก

รุ่งขึ้นเช้าวันที่ ๒๒ ทหารตำรวจได้จู่โจมเข้าเคลียร์พื้นที่ที่มีการปะทะ จับกุมผู้ต้องสงสัยไปได้หลายคน แต่ก็ยังมีการยิงตอบโต้เป็นระยะ จนตกบ่ายเสียงปืนจึงค่อยหายไป

ในวันที่ ๒๓ “สมาคมคังเจี้ยน” ซึ่งเป็นองค์กรของก๊กมินตั๋งในไทย ได้ปิดประกาศเรียกร้องให้คนจีนปิดตลาด ซึ่งผู้ค้าต่างปฏิบัติตามเพราะกลัวการคุกคาม แต่เจ้าของตลาดเก่าเยาวราชได้ระดมแม่ค้าพ่อค้าจากที่อื่นมาขายแทน และส่งคนเข้าคุ้มครองคนขาย ผู้คนในย่านนั้นจึงมีที่จับจ่ายกับข้าวได้

ในวันเดียวกันนี้สหสมาคมต่อต้านญี่ปุ่นในประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้พี่น้องไทย-จีนช่วยกันถนอมไมตรีที่มีมาช้านาน อย่าหลงกลผู้ไม่หวังดียุแหย่ให้เกิดความแตกร้าวขึ้นในชาติ รัฐบาลได้จัดตั้งกองกำลังรักษาความมั่นคงไทย-จีนขึ้น มี พล.ร.ต.สังวร สุวรรณชีพ เป็นหัวหน้า และรักษาความสงบข้ามไปปี จนในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๔๘๙ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ได้เซ็นสัญญาสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน กับนายหลีเทียะเจิง เอกอัครราชทูตจีน กองกำลังผสมนี้จึงเลิกไปตามเสียง “เลียะพะ!” ด้วย

ต่อมาในวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลา ๐๙.๐๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จเยี่ยมสำเพ็ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีพระมหากษัตริย์เสด็จเยี่ยมสำเพ็งอย่างเป็นทางการ ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทอย่างช้าๆ ไปบนพรมที่บรรดาพ่อค้าจัดปูลาดไปตลอดความยาวของถนนสำเพ็ง และประดับด้วยซุ้มดอกไม้ ธงทิว แพรผ้า หน้าร้านค้าต่างตั้งโต๊ะมุกเครื่องบูชา และเฝ้ารับเสด็จตลอดเส้นทางพระราชดำเนิน ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับราษฎรที่รอเข้าเฝ้าตามทางเป็นระยะ และเสด็จฯเข้าประทับในบางร้าน สมเด็จพระอนุชาธิราชทรงเป็นช่างภาพกิตติมศักดิ์ ทรงเปิดโอกาสให้ชาวจีนได้เข้าเฝ้าแทบละอองธุลีพระบาทอย่างใกล้ชิด ทรงรับของที่ระลึกด้วยพระหัตถ์จากร้านหนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่ง ทรงใช้เวลาเสด็จเยี่ยมสำเพ็งครั้งนี้ถึง ๔ ชั่วโมง จากนั้นได้เสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่สมาคมไทย-จีน ถนนสาทร ตามคำกราบบังคมทูลของบรรดาพ่อค้าจีน และทอดพระเนตรการละเล่นต่างๆก่อนเสด็จกลับ ยังความปลาบปลื้มปีติยินดีแก่ชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นล้นพ้น

จากนั้นความสัมพันธ์ของคนในชาติก็สนิทเป็นเนื้อเดียวกันดังเดิม

ชมภาพประวัติศาสตร์ ปี พ.ศ.2489 การเสด็จสำเพ็ง


แชร์เก็บไว้ใช้เลย บทกรวดน้ำให้แก่เทวดาประจำตัว พร้อมน้ำสะอาด 1 ขวด


(ภายหลังทำบุญ เช่น ตักบาตร ถวายสังฆทาน เป็นต้น) เตรียมน้ำสะอาดไว้ 1 ขวด และนำจรดระหว่างคิ้ว กล่าวคำอธิษฐานจิต ดังต่อไปนี้

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ(3 จบ)

นะ โม พุท ธา ยะ ลูกขอเชิญพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์โปรดเสด็จมาเป็นประธาน อิทัง สัพพะเทวานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวงที่รักษาตัวข้าพเจ้า ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข (ให้เริ่มเทน้ำลงบนพื้นดิน) ลูกขอฝากน้ำอุทิศนี้ไปกับ พระแม่ธรณี พระแม่คงคา โปรดมาเป็นทิพย์พยาน ขออานิสงค์ผลบุญกุศลอันใดที่ข้าพเจ้า

ชื่อ……………สกุล……………. ได้กระทำในวันนี้ ทั้งหมด ทั้งปวง ข้าพเจ้าขออุทิศให้กับเทวดาทั้งหลายทั้ง ปวงของข้าพเจ้า อยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ที่ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากความทุกข์…(เรื่องที่ประสบปัญหา)…ไม่ว่าท่านจะมาจาก ชาติใด ภพใด ก็ตาม ทั้งระลึกได้ก็ดีและระลึกไม่ได้ก็ดี ไม่ว่าท่านจะอยู่ในภพภูมิใด ขอให้ท่านจงมารับกุศล ที่ข้าพเจ้าอุทิศให้ในครั้งนี้ โดยมาให้ถึงจุดหมาย อย่าแวะ อย่าเวียนที่ใด ให้กุศลถึงทั่ว ทุกท่าน ทุกตัว ทุกตน ทุกภพ ทุกภูมิ ขออานิสงค์ผลบุญดังกล่าวนี้โปรดกลายเป็นโภคทรัพย์ ตามที่ท่านปราถนาทุกประการตั้งแต่บัดนี้ เวลานี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ

หมายเหตุ:

– การกรวดน้ำลงดินกุศลจะส่งถึงเร็วกว่าการกรวดน้ำแห้ง คือ เพียงอธิษฐานจิต สำหรับผู้ที่บารมียังไม่มากพอ (ถ้าไม่สะดวกก็กรวดน้ำลงบนภาชนะแล้วนำไปรดลงดินที่โคนต้นไม้)
– การขอฝากผ่านบารมีของพระแม่คงคาและพระแม่ธรณีไปสิ่งสำคัญมาก
– ระหว่างท่องคำกรวดน้ำด้านบน ให้เทน้ำลงดินตลอดจนจบคำกรวดน้ำ
ไม่ว่าน้ำจะเหลือมากน้อยเพียงใดให้เทให้หมดพร้อมกับคำพูดสุดท้ายที่จบ โดยไม่ต้องให้หลงเหลือ

บทความจาก…… facebook พระอธิการ นพดล กันตสีโล วัดหนองรั้ว

มา: share-si

หลวงพ่อตอบปัญหา ทำไมคนกตัญญูจึงมีความเจริญ?


ถาม..หลวงพ่อเจ้าคะ ทำไมคนโบราณจึงบอกว่า คนที่มีความกตัญญูกตเวที ชีวิตของเขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ?

ตอบ..คนมีความกตัญญูกตเวที คือ คนที่รู้คุณและรักที่จะประกาศคุณ  ซึ่งเคยได้รับมาจากผู้อื่น ถ้าพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่มีความกตัญญูกตเวที เป็นคนโชคดีตั้งแต่เริ่มต้น ตรงที่เกิดมาก็ได้เจอคนดี คนมีน้ำใจ และเมื่อได้รับความมีน้ำใจมาแล้ว เขาก็รู้คุณค่าของความมีน้ำใจนั้นด้วย แต่ว่าบางคน ตลอดชีวิตไม่ว่าจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไร ก็ไม่เคยมีใครยื่นมือมาโอบอุ้ม มาช่วยเหลือ มาหอบหิ้วเขาเลย เมื่อเป็นอย่างนี้ จึงเกิดความรู้สึกว่า โลกทั้งโลกมีแต่ความแห้งแล้ง มีแต่คนใจแคบ มีแต่ตัวใครตัวมัน หรือทั้งๆ ที่มีคนยื่นมือมาช่วยเหลือ ทำให้ตัวพ้นทุกข์พ้นยาก แต่ว่ากลับนึกถึงพระคุณของเขาไม่ออก ก็ฟ้องว่า เจ้าคนนี้เป็นคนใจบอดเสียแล้ว คือแม้ว่าดวงตาของเขาอาจจะยังดีอยู่ แต่ใจ ของเขานั้นบอด ตรงที่มองความดีของคนอื่นไม่เห็น ทั้งที่ความดีนั้นได้ถูกหยิบยื่นมาให้ตัวเอง คนประเภทนี้จัดว่าเป็นคนที่อันตราย เพราะว่า
…..ประการที่ ๑ เขาจะมองคนทั้งหลายที่ไม่เคยหยิบยื่นความสุข ความสะดวกความสบายให้กับเขา เหมือนอย่างกับคนไม่รู้จัก หรือบางทีอาจจะเห็นเป็นศัตรูเสียอีก
…..ประการที่ ๒ แม้แต่คนที่เคยหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือ เขาก็ยังมองไม่เห็นความดีนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ โลกทั้งโลกจึงได้กลายเป็นโลกมืดสำหรับเขาเสียแล้ว ทำให้คนประเภทนี้ไม่มีความสุขตลอดชีวิต นี่คือสภาพจิตใจของคนเราที่แตกต่างกัน ระหว่างคนมีความกตัญญูกตเวที กับคนไม่มีความกตัญญูกตเวที

…..ระดับของความกตัญญู สำหรับคนที่มีความกตัญญูนั้น ยังสามารถแบ่งระดับของความกตัญญู ออกเป็น ๔ ระดับ คือ

๑. มีความกตัญญูขั้นอนุบาล ได้แก่ ผู้ที่รู้ว่าเขามีพระคุณกับเรา แต่ว่ายังไม่คิดที่จะตอบแทนคุณ คือมีจิตใจที่ดีงามเพียงแค่รู้คุณเท่านั้น

๒. มีความกตัญญูขั้นประถม ได้แก่ ผู้ที่รู้ว่า เขามีพระคุณต่อเรา เพราะฉะนั้นมีโอกาสเมื่อไร จะต้องตอบแทนคุณเขาบ้าง แค่คิดตอบแทนเท่านั้น ระดับธรรมะในจิตใจของเขาก็จะยกขึ้นสู่อีกระดับหนึ่งแล้ว

๓. มีความกตัญญูขั้นมัธยม ได้แก่ ผู้ที่รู้ว่าเขามีพระคุณต่อเรา คิดจะตอบแทนคุณ แล้วก็ลงมือประกาศคุณให้โลกได้รู้ว่า ท่านผู้นั้น ท่านผู้นี้ เคยมีพระคุณกับเรา อย่างนั้น อย่างนี้ จิตใจหรือธรรมะประจำใจของคนๆ นี้ก็ยกระดับยิ่งขึ้นไปอีก

๔. มีความกตัญญูขั้นอุดมศึกษา ได้แก่ ผู้ที่นอกจากจะรู้คุณ คิดจะตอบแทนคุณ และประกาศคุณแล้ว ถ้าจะให้ดีเยี่ยม ต้องลงมือตอบแทน พระคุณท่าน ให้สมกับที่ท่านเคยมีพระคุณต่อเราด้วย

…..เพราะฉะนั้น คนที่มีจิตใจระดับนี้ฟ้องว่า ในใจของเขาไม่เคยคิดเรื่องร้ายเลย ในใจของเขาคิดแต่เรื่องดี เวลามองโลกก็มองในแง่ดี มองโลกนี้อย่างสวยงาม ตรงไปตามความเป็นจริง เวลามองคนก็มองในแง่ดี ว่าโลกนี้ยังมีคนดีอยู่ แล้วตัวเราเองก็จะต้องเป็นคนดีอีกคนหนึ่งของโลกนี้ให้ได้ พอมีความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว การทุ่มเท การเค้นศักยภาพในตัวเอง เพื่อไปทำความดี ก็จะเกิดตามมา

…..เมื่อคนเราพยายามเค้นศักยภาพใน ตัวเอง ไปทุ่มเทในการทำความดีแล้ว ก็จะทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปฟุ้งซ่าน ไม่มีเวลาที่จะไปอิจฉา ตาร้อนใคร มีแต่เวลาสำหรับการคิดดี พูดดี ทำดี แล้วสิ่งที่จะได้ตามมาก็คือ เขาจะได้ดี หรือว่าได้ความเจริญรุ่งเรือง

…..เพราะฉะนั้น ที่ปู่ย่าตายายของเราท่าน พูดไว้ว่า คนมีความกตัญญูกตเวที จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองนั้น ถูกต้องแล้ว เมื่อเรามีปู่ย่าตาทวดดีๆ ฉลาดๆ อย่างนี้ จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเชื่อฟังและทำตามท่าน อย่างชนิดสุดชีวิตจิตใจ แล้วบ้านเมืองไทยของเราก็จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป


ทำบุญไม่ขึ้น!! ทำอะไรติดๆขัดๆ ลองอ่านนี่ดูสิ ชีวิตคุณอาจจะเปลี่ยนไป


ตั้งใจอ่านทำจิตใจให้สงบ ต้องอ่านให้จบ

แพทย์ผ่าตัดโรคหัวใจมือหนึ่ง..เล่าเรื่องประสบการณ์ขอขมา

เจ้ากรรมนายเวรและบทขอขมา

อโหสิกรรม..ว่า ปกติเป็นคนที่สวดมนต์ ไหว้พระก่อนนอน

จะท่องเฉพาะบท “นโมตัสสะ ฯลฯ” กราบ 3 ครั้ง แล้วนอนเลย

แต่เมื่อก่อนปีใหม่ ได้หนังสือสวดมนต์มา ก็เลยได้สวดบท

ขอขมาอโหสิกรรม เจ้ากรรมนายเวร

ตอนสวดครั้งแรก ก็ไม่คิดอะไรมาก คิดแค่ว่า

เป็นบทที่น่าสวดดี หลังจากสวดเสร็จ .คืนนั้น…

ฝันเห็นผู้หญิงใส่ชุด สีชมพูแดง มานั่งคุยด้วย

เธอบอกว่า เมื่อก่อนโกรธเรามาก แต่มาวันนี้

ไม่โกรธแล้ว พอเราตื่นขึ้นมา เรารู้สึกว่าอิ่มเอมใจ

แบบอธิบายไม่ถูก คุยกับแม่ แม่ว่า คงเป็นเจ้ากรรมนายเวร

เขามาอโหสิกรรมให้ ก็เลยไปเล่าให้เพื่อน สนิทฟัง เพื่อนก็เลย

ขอให้ส่งบทสวด บทนั้นให้ พอเพื่อนเราสวด เธอก็ฝันเห็น

เด็กตัวเล็ก ๆ บอกเธอว่า เขากำลังจะไปเกิด เธอบอกว่า

เธอรู้สึกดีมาก ๆ ก็เลยอยากจะแชร์บท สวดมนต์ให้เพื่อนๆ

เผื่อใครสนใจอยากจะสวดบทอธิฐานขออโหสิกรรม

กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง สัญจิจจะกัมมัง

อะสัญจิจจะกัมมัง ขะมันตุ เม อะโหสิกัมมัง ภะวะตุ เม

กรรมใด ๆ ไม่ว่าจะเป็น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

ที่ข้าพเจ้าได้ทำล่วงเกินแก่ผู้ใดทั้งโดยตั้งใจก็ดี

ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ในภพชาติใดก็ตาม ขอให้เจ้ากรรม

นายเวรทั้งหลาย จงโปรดยกโทษ ให้เป็นอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าอย่าได้

จองเวรจองกรรม ต่อกันอีกเลย แม้แต่กรรมใดที่ใคร ๆ ทำแก่ข้าพเจ้าก็ตาม

ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม ให้ทั้งสิ้น …. ยกถวายพระพุทธเจ้า

เป็นอภัยทาน ขอจงดลใจให้ เขาเหล่านั้น กลับมีเมตตาจิต

คิดเป็นมิตรกับข้าพเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรม ต่อกันตลอดไป

ด้วยอานิสงส์…



แห่งอภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้า พร้อมทั้งครอบครัว ตลอดจน…

วงศาคณาญาติ ผู้มีอุปการคุณ ของข้าพเจ้าพ้นจาก

ความทุกข์ยาก ลำบาก เข็ญใจ ความทุกข์อย่าได้ใกล้

ความเจ็บไข้อย่าได้มี ขอให้มีความสุขสวัสดี มีชัย เสนียดจัญไร

และอุปัทวันตรายทั้งหลาย จงเสื่อมสิ้นหายไป

นึกคิดปรารถนาสิ่งใด ที่เป็นไปโดยชอบ

ประกอบด้วยธรรม ขอให้สิ่งนั้น จงพลันสำเร็จ

จงพลันสำเร็จ…จงพลันสำเร็จ เทอญ

นิพพานัง ปัจจะโย โหตุ
ขอกุศลผลบุญจงสำเร็จแก่ผู้อ่าน และผู้ที่แบ่งปัน


พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต ไม่มีใครหนีความตายได้


จากผู้ใช้ แฟนเพจและ facebook ได้มีการแชร์ภาพ พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต ทำให้มีผู้คนสนใจมากมายจนต้องแชร์ต่อว่ามันแปลกหูแปลกตาแค่ไหนลองมาดูกันเลย..

พิธีฝังศพบนฟ้า ของชาวทิเบต เห็นแล้ว ก็ปลงกันนะครับ ไม่มีใครหนีความตายได้………..การทำศพแบบทิเบตที่เห็นนี้ เรียกว่า sky burial หรือการฝังศพบนท้องฟ้า เป็นพิธีศพสำหรับสามัญชนทั่วไป ยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีตั้งครรภ์ คนที่ตายจากโรคติดต่อหรืออุบัติเหตุ ส่วนการฝังในเจดีย์หรือเผาจะสงวนไว้สำหรับพระลามะตำแหน่งสูงๆเท่านั้น

 

Sky Burial ถือเป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญมากในทิเบต ชาวทิเบตทุกคนในชุมชนจะได้รับเชิญให้ไปเป็นเกียรติในการทำพิธีนี้โดยทั่วกัน

พิธีจะจัดขึ้นโดยมีพระลามะคอยดูแลการชำแหละศพให้นกแร้งกิน เป็นเวลา 3 วัน ชาวทิเบตเชื่อว่า เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ศพก็คือเปลือกที่ว่างเปล่า ควรให้เป็นทานแก่นกแร้ง ที่มีมากมายในแถบนั้นตามความเชื่อทิเบต นกแร้งเป็น “ผู้ร่ายรำบนท้องฟ้า” มีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดา ซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้จะนำวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์

นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการทำกุศลครั้งสุดท้ายของผู้ตาย โดยได้ให้ทานร่างกายเป็นอาหาร ทำให้นกแร้งไม่ต้องไปจับสัตว์เล็กๆกินอิกหลายมื้อ จึงได้ช่วยชีวิตสัตว์เล็กๆไว้ได้หลายชีวิต

ในพุทธประวัติ มีเรื่องเล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงเคยเฉือนเนื้อตนเองให้เป็นทานแก่พญาเหยี่ยว เพื่อช่วยชีวิตนกพิราบเช่นเดียวกัน พิธีนี้อาจทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยรู้สึกสะอิดสะเอียน แต่หากมองถึงรากลึกแล้ว ใครจะรู้บ้างว่า Sky Burial เข้าถึงปรัชญาการให้ทานและการปล่อยวาง ขั้นสูงสุด ไม่สร้างมลพิษทางอากาศ ไม่ต้องตัดไม้มาทำเชื้อเพลิง ดีกับระบบนิเวศ เพราะคืนร่างกายกลับคืนสู่ธรรมชาติ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหารแก่สัตว์กินซาก ดังนั้น จึงอาจเรียกได้ว่าเป็น…..พิธีศพ ที่ดีที่สุดในโลก

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต พิธีฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต

5พืชเกษตรควรปลูก อาจรวยพลิกชีวิตต้องอ่าน!!!


ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรชั้นดี ที่ผ่านมาเราขาดการส่งเสริมและสนับสนุน หนำซ้ำยังหันไปหมกมุ่นอยู่กับสินค้าอุตสาหกรรมจนล้นตลาด แต่วันนี้หลายคนเริ่มตระหนักว่าอาหารคือปัจจัยสำคัญของชีวิต ทุกคนบนโลกล้วนต้องการอาหาร แล้วทำไมเราไม่ผลิตอาหารป้อนสู่ตลาดโลก ล่าสุดสำนักข่าว “Thai quote” ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพืชเกษตรทั้ง 5 ชนิดที่ใครก็ตามตั้งใจทำจริง รวยเว่อร์..แน่นอน

ตะไคร้ เป็นพืชเกษตรที่กำลังมาแรงแซงทางโค้งเพราะใช้ได้ตั้งแต่โคนจรดปลาย ทำได้ตั้งแต่เครื่องต้มยำยันน้ำสุขภาพ โรงงานเครื่องแกงเสาะหากันจ้าละหวั่น ขนาดทำสัญญาซื้อขายตั้งแต่เตรียมดิน สนนราคาการันตีขั้นต่ำ กก.10-15 บาท ว่ากันว่าเกษตรกรบางคนมีรายได้จากการปลูกตะไคร้ขายมากถึงวันละ 30,000 บาท ปลูกง่ายรายได้ดีขนาดนี้ ไม่ทำไม่ได้แล้ว

กล้วย ขึ้นชื่อว่ากล้วยไม่ว่าจะเป็นกล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม หรือแม้กระทั่งกล้วยตากมีเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย เพราะตลาดมีความต้องการสูง โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นกับจีนต้องมาจองกันถึงสวน ไม่ต้องมองอื่นไกล แค่ในบ้านเรา กล้วยหอมหวีสวยๆขายกันหวีละ 90-150 บาท ในคอนวีเนียนสโตร์ลูกละ 8 บาท ไม่พอขาย เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจที่เกษตรกรหลายคนจะหันไปปลูกกล้วยโกยรายได้ในช่วงน้ำแล้งแบบนี้

มะนาว พืชอีกชนิดที่ทำเป็นรายได้เป็นกอบเป็นกำ จะปลูกแบบเป็นไร่หรือปลูกในกระถางอ่างซีเมนต์ก็ได้ กรรมวิธีการปลูกไม่ยาก ถ้าได้พันธุ์ดีๆให้น้ำมาก เป็นที่ต้องการของตลาด สามารถขายได้ราคา ผลละ 4-5 บาท แหล่งระบายสินค้ามีตั้งแต่ตลาดสด ตลาดนัด ร้านเครื่องดื่ม ร้านอาหาร เรียกว่าถ้ามีแรงปลูกก็มีคนซื้อว่างั้นเถอะ

มะพร้าว กินสดก็ได้ แปรรูปก็ดี โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอมของไทยขึ้นชื่อลือชาติดตลาดโลกโกยเงินเข้าประเทศปีละหลายพันล้าน ตลาดใหญ่ๆคือฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ และยุโรป ยิ่งในปัจจุบันคนรุ่นใหม่มองข้ามมะพร้าวหันไปปลูกพืชชนิดอื่น เจ้าของสวนมะพร้าวเลยโกยเงินเพลิน เพราะคนปลูกน้อย แต่ความต้องการในตลาดมีมาก ประกอบกับตอนนี้มีเทคนิคปอกเปลือกกินได้ทั้งลูกก็เลยยิ่งได้รับความนิยม ขายกันลูกละ 20-30 บาท ว่ากันว่าตลาดต่างประเทศอย่างเกาหลีใต้วางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตลูกละ 70 บาท

มะม่วง ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนมะม่วงก็ยังเป็นสินค้ายอดฮิตติดลมบน เป็นผลไม้มีอนาคต ถ้าทำดี ผลผลิตงาม รับรองพ่อค้าวิ่งมาจองซื้อถึงสวน กำไรก็ไม่มากไม่น้อย บวกลบต้นทุนเหลือประมาณไร่ละ 50,000 บาท ถ้าปลูกซัก 30 ไร่ก็ลองคูณว่าจะได้กำไรเท่าไหร่ ในต่างประเทศขายกันใบหนึ่งหลายสิบบาท เช่นมะม่วงน้ำดอกไม้ในญี่ปุ่นขายกันลูกละ 50 บาท เห็นแบบนี้ไม่ปลูกไม่ได้แล้ว แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าการจะปลูกพืชชนิดไหน ต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ใช่เห็นคนอื่นรวยเว่อร์ก็ทำตาม แบบนั้นนอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้ว ยังทำให้สินค้าล้นตลาดอีกต่างหาก

ขอบคูณข้อมูลจาก https://pantip.com/topic/35001241