ไม่เคยอายมีพ่อติดคุก!!! น้องปอนด์ เด็ก19สู้ชีวิตตามหาความฝันตัวเอง 11ปีไม่ได้กอดพ่อ (มีคลิป)


วันนี้DPSNews มานำเสนอชีวิตเด็กหนุ่มสู้ชีวิตทำตามความฝันตัวเอง เดินทางมาตามหาความฝันไกลจากจังหวัดเชียงราย  “สุริยกุล พรหมเสน” หรือ ปังปอนด์ อายุ 19  ปี เป็นคนจังหวัดเชียงราย  ติดตามได้ที่เฟสบุ๊คsuriyakun prommasen

น้องปอนด์ ชายหนุ่มสุดหล่อที่ทำเอาสาวๆกรี๊ดทั้งรายการ โดยมาประกวดรายการ ลาแบนด้าไทยแลนด์

“ความฝันของผมคือการได้เป็นนักร้อง ได้มีแฟนคลับ มีคนปรบมือให้เรา ทำให้เรามีผลักดันทำตามความฝันตัวเอง ที่ผมมาประกวดรายการ ลาแบนด้าไทยแลนด์ เพราะผมเชื่อว่ารายการนี้ทำให้ความฝันของผมเป็นจริงได้ครับ เพราะความฝันผมอยากมีแฟนคลับเข้ามากรี๊ด มายกป้ายไฟให้กำลังใจ”


ปอนด์ ซึ่งเดินทางมารายการ ลาแบนด้าไทยแลนด์คนเดียว เพราะปอนด์ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงดู  ปอนด์อาศัยอยู่ปู่กับย่า ก็คุณพ่อติดคุก เป็นเรือนจำกลางเชียงรายครับประมาณ 11 ปีได้ ตั้งแต่ปอนด์อายุ 8 ขวบ โดยปอนด์ไปเยี่ยมพ่อที่คุก เขาก็ยิ้มร่าเริงยิ้มกับผม แต่แค่พ่อจะน้ำตาคลอตลอด


ปอนด์อายไหมที่มีพ่อติดคุกแบบนี้  “ไม่อายครับ ถ้าอายผมจะไปบอกให้เขาฟังทำไม ผมภูมิใจแล้วที่มีพ่อ ถึงพ่อจะไม่ได้ดูเเลผมก็ตาม เคยมีคนล้อแบบเอ้ยพ่อออกมายังผมก็ยิ้มให้เขาบอกยังๆ”

ในช่วงที่ไปเยี่ยมพ่อ พ่อที่ติดคุกบอกน้องปอนด์ว่า “ปอนด์เป็นลูกพ่อนะ ไม่ต้องกลัว ผมรักพ่อนะ ถึงไมได้อยู่ด้วยกันก็รักนะผมก็รอพ่อออกมานะ พูดพลางน้ำตาไหลทำเอาคนที่เห็นคลิปเรื่องราวต้องน้ำตาร่วง”

“พ่อพยายามขอโทษเพราะไม่เคยได้ดูแลลูกเลยครับ พ่อบอกออกไปไปเริ่มต้นกันใหม่นะ รอเสมอรักพ่อเสมอ พ่อรักลูกมาก ผมฝากตังค์ให้พ่อ 2000  ผมทำงานร้องเพลงบ้างได้มาก็มาให้ย่าให้พ่อ ก่อนจากพ่อบอกผมว่า พ่ออยากให้ปอนด์สู้นะลูก พ่อเป็นกำลังใจให้ลูก ขอให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิตของลูก”

ปอนด์กล่าว  “ผมมาถึงจุดนี้ผมภูมิใจแล้วครับที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อ พ่อจะเป็นยังไง ผมก็ไม่สนใจผมภูมิใจแล้วครับ ถ้าผมได้เจอคุณสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดคือผมจะวิ่งเข้าไปกอดเลยครับเพราะผมไม่ได้กอดนานแล้วครับเป็น 11 ปีแล้วครับ พ่อเขาส่งพลังมาให้ผมทั้งที่มันมีกระจกกั้นแต่เหมือนว่ามันสื่อถึงกันได้ ผมรอพ่อออกมาทุกวัน”

ดูคลิป



ขอบคุณข้อมูลหาจาก kratisod.com

เกษตรกรปลูกถั่วลิสงครบวงจร สร้างรายได้ยั่งยืน


โครงการการพัฒนาการเกษตรสองฝั่งแม่น้ำชี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดขอนแก่น มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพื่อพัฒนาแหล่งเรียนรู้การเกษตรเชิงระบบสร้างความมั่นคงด้านอาชีพ พัฒนาความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของชุมชนเกษตรกรในพื้นที่ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณสองฝั่งแม่น้ำชี พัฒนาการผลิตพืชในพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำชีให้มีความเหมาะสมและมีความยั่งยืนในการผลิต

โครงการสร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตถั่วลิสงแบบครบวงจรบ้านละหานนา อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนา ที่กรมวิชาการเกษตรโดยสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 ขอนแก่นและศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น ได้ดำเนินการในพื้นที่แห่งนี้

ด้วยถั่วลิสงสามารถปลูกทั้งในสภาพไร่และสภาพหลังนาได้เกือบทุกจังหวัด ในฤดูฝนเกษตรกรจะปลูกในสภาพไร่ ส่วนในฤดูแล้งจะปลูกในพื้นที่สภาพนา แต่ในการปลูกของเกษตรกรพบว่ามีปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ พันธุ์ที่ใช้ปนหรือเมล็ดพันธุ์ไม่บริสุทธิ์ ปัญหาเมล็ดลีบ ไม่เคยใช้ปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียม ไม่มีการคลุกเมล็ดด้วยสารเคมีป้องกันโรค และใส่ปุ๋ยเคมีไม่เหมาะสม ไม่มีการใส่ยิปซัมระยะออกดอก

นอกจากนี้ ยังพบว่าเกษตรกรเน้นการขายถั่วลิสงแบบฝักสด เนื่องจากสามารถจำหน่ายได้ง่าย ตลาดมีความต้องการสูง ส่วนการขายถั่วลิสงแบบฝักแห้งจะมีปริมาณที่น้อย เนื่องจากเกษตรกรต้องนำไปตากเพื่อลดความชื้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้แก่เกษตรกร ทำให้เกิดการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ ดังนั้น การนำเทคโนโลยีการผลิตถั่วลิสงของกรมวิชาการเกษตรเข้าไปดำเนินการส่งเสริม นับเป็นทางเลือกให้เกษตรกรในการเพิ่มผลผลิต ลดความเสี่ยงเรื่องการขาดเมล็ดพันธุ์ในการผลิตถั่วลิสงในฤดูกาลถัดไป โดยเฉพาะการผลิตถั่วลิสงฝักแห้งเพื่อสามารถเก็บได้นาน และจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ให้แก่เกษตรกรรายอื่นๆ ที่มีความต้องการปลูกได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าของถั่วลิสงได้

โครงการสร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตถั่วลิสงแบบครบวงจรบ้านละหานนา ดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อรวมกลุ่มเกษตรกรที่มีความสนใจในการปลูกถั่วลิสงมาร่วมดำเนินกิจกรรมของกลุ่มและสร้างอาชีพเสริมแก่สมาชิกให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและยั่งยืน และมีเป้าหมายในการจัดหาเมล็ดพันธุ์และปัจจัยในการผลิตถั่วลิสงให้ครบวงจร ตั้งแต่การเตรียมปัจจัยการผลิต การปลูก การดูแลรักษา การจำหน่าย และการแปรรูปเพื่อจำหน่าย รูปแบบการดำเนินงานเน้นการผลิตเพื่อจำหน่าย เพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวของสมาชิก และการลดต้นทุนการผลิตด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้แรงงานภายในครอบครัว ลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอกและลงทุนเฉพาะสิ่งที่มีความจำเป็นเท่านั้น

สำหรับการดำเนินการของโครงการ มีขั้นตอนการปฏิบัติ โดย หนึ่ง การเลือกพื้นที่และเกษตรกรในการดำเนินงาน สอง ดำเนินการทดสอบ สาม จัดทำการฝึกอบรมเกษตรกร และจัดเวทีเสวนาเกษตรกรเพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินงาน สี่ คัดเลือกเกษตรกรต้นแบบในการผลิตและกระจายพันธุ์ถั่วลิสง และ ห้า ติดตามผลการดำเนินงานของเกษตรกร

โครงการสร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตถั่วลิสงแบบครบวงจรบ้านละหานนา ได้สนับสนุนองค์ความรู้ต่างๆ ให้เกษตรกรต้นแบบที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 20 ราย ปลูกถั่วลิสงรายละ 1 ไร่ โดยปลูกถั่วลิสงสายพันธุ์ขอนแก่น 6 เมล็ดพันธุ์ถั่วลิสงมีการคลุกสารคาร์บอกซินเพื่อป้องกันโรคโคนเน่าและเชื้อไรโซเบียมเพื่อช่วยในการตรึงธาตุไนโตรเจน ส่วนการเตรียมดินได้หว่านปูนโดโลไมท์เพื่อบำรุงฝักและใช้เมล็ดถั่วลิสง อัตรา 20 กิโลกรัม ต่อไร่ ปลูกในเดือนมิถุนายน และใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 12-24-12 อัตรา 50 กิโลกรัม ต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง หลังปลูก 10-15 วัน และ 30-45 วัน

ผลการดำเนินโครงการสามารถพัฒนาระบบการผลิตถั่วลิสงพันธุ์ขอนแก่น 6 ของกรมวิชาการเกษตร ได้ครบวงจรและยั่งยืน โดยยกระดับผลผลิตฝักแห้งเฉลี่ยของถั่วลิสงพันธุ์ขอนแก่น 6 ได้ถึง 546 กิโลกรัม ต่อไร่ และจากเดิมที่ผลิตได้ 393 กิโลกรัม ต่อไร่

อีกทั้งยังสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วลิสงพันธุ์ขอนแก่น 6 ในฤดูฝน และกระจายพันธุ์ให้กับเกษตรกรที่มีความต้องการได้อย่างเพียงพอ ต่อการปลูกถั่วลิสงในฤดูแล้งได้ เกษตรกรมีรายได้จากการปลูกถั่วลิสง ประมาณไร่ละ 10,000 บาท และเกษตรกรบางส่วนนำถั่วลิสงแห้งทำการแปรรูปผลผลิตถั่วลิสง
จากการขยายผลเทคโนโลยีดังกล่าวไปยังเกษตรกรผู้ปลูกถั่วลิสง อำเภอแวงน้อย อำเภอมัญจาคีรี และอำเภอชนบท โดยเกษตรกรต้นแบบ ทำให้ในปี 2555/2556 มีเกษตรกรผู้ผลิตถั่วลิสงบริเวณสองฝั่งแม่น้ำชี ทั้ง 3 อำเภอ เพิ่มขึ้นเป็น 180 ราย

อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนเมล็ดพันธุ์เพื่อใช้ปลูกในฤดูแล้งยังเป็นปัญหาหลัก ในการผลิตถั่วลิสงในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งยังต้องการการถ่ายทอดและทดสอบเทคโนโลยี เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ในฤดูฝน

ในส่วนการขยายผลเกษตรกรภายใต้โครงการพัฒนาการเกษตรสองฝั่งแม่น้ำชี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดขอนแก่น ได้เรียนรู้และพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตถั่วลิสงแบบต่างๆ จากแปลงทดสอบ แปลงต้นแบบ แปลงกระจายพันธุ์และการฝึกอบรม และสามารถนำเอาเทคโนโลยีการผลิตถั่วลิสงที่ได้รับการถ่ายทอดไปปฏิบัติในพื้นที่ของตนเองอย่างเป็นระบบ โดยการบริหารจัดการทรัพยากรด้านต่างๆ ทั้งแรงงานและปัจจัยการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผลผลิตถั่วลิสงออกสู่ตลาดและจำหน่ายเป็นรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างน้อยร้อยละ 15

ส่งผลทำให้ครอบครัวและชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีความมั่นคงของรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถสร้างเครือข่ายเพื่อเชื่อมโยงการผลิตและการจำหน่ายสินค้าเกษตรให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เป็นต้นแบบให้เกษตรกรหรือผู้สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ระบบการดำเนินงานของกลุ่ม ทำให้เกษตรกรที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการมีความสนใจและมีความกระตือรือร้นที่จะเข้ามารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น

ขอบคุณที่มา https://www.technologychaoban.com/news_detail.php?tnid=3606 เรียบเรียงโดย DPSNews

วิธีเลี้ยงปลาซิว เลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่ไม่มาก สร้างรายได้อย่างยั่งยืน


วันนี้DPSจะพาไปดูวิธีการเลี้ยงปลาซิวเพื่อประกอบอาชีพ สาธิตวิธีโดย คุณบุญชิต สมัตถะ งานนี้ใช้พื้นที่ไม่มาก ต้นทุนพอประมาณ แต่เป็นการเปิดโอกาสสร้างรายได้ให้กับตัวเองและครอบครัวอย่างยั่งยืน ใครมีบ้านสวนอยู่และอยากจะทำการเกษตรเล็กๆ การเลี้ยงปลาซิวก็น่าสนใจไม่น้อยนะครับ

ปลาซิว คือหนึ่งปลาเศรษฐกิจที่ขายได้ราคาดี มีเกษตรกรจำนวนไม่น้อยที่เลี้ยงปลาซิวเพื่อการประกอบอาชีพ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ปลาซิวนั้น ได้ถูกนำมาแปรรูปเป็นอาหารหลากหลายชนิด และก็มีคนนิยมทานกันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ

ขั้นตอนการเลี้ยงปลาซิว

1. เตรียมบ่อเลี้ยงขนาดบ่อ 2 x 4 เมตร ลึก 1 เมตร (เป็นบ่อปูนหรือบ่อพลาสติกก็ได้)

2. หลังจากเตรียมบ่อแล้วให้ทำการเปิด น้ำเข้าบ่อสูง 80 เซนติเมตร และนำท่อนกล้วยลงแช่ในบ่อเพื่อดูดซับกลิ่นปูนแลกลิ่นเคมีจากพลาสติก แช่นาน 1 สัปดาห์

 

3. นำปลาซิวลงบ่อเลี้ยงประมาณ 10 กิโลกรัม (หาปลาซิวจากตามนาในชนบทช่วงฤดูเกี่ยวข้าว)

4. อาหารให้รำอ่อน วันละ 1 ครั้ง

5. ระบบการถ่ายน้ำให้ทำการถ่ายน้ำโดย การเปิดก๊อกน้ำใส่บ่อและทำตัวจุกระบายน้ำออกจากบ่อที่ก้นบ่อด้วย และนำมุ้งเขียวกันไว้ไม่ให้ปลาหลุดออกจากบ่อตามท่อระบายน้ำ (ให้ทำการถ่ายน้ำปีละ 1 ครั้ง)

6. ปรับปรุงสภาพน้ำโดยใส่น้ำหมักฮอร์โมนแม่ ½ ลิตร ต่อ เดือน (สูตรอยู่ด้านล่างครับ)

7.อาหารเสริมสามารถนำปลวกมาสับให้ละเอียดเพื่อนำไปเป็นอาหารเสริมเพิ่มโปรตีนให้ปลาซิวได้ เลี้ยงไว้ 2-3 เดือนสามารถจับขายหรือกินได้ จำหน่าย ราคากิโลกรัมละ 100 บาท


สูตรน้ำหมักฮอร์โมนแม่
ส่วนผสม

ยอดผักบุ้ง หน่อไม้ หน่อกล้วย รวมกัน 10 กิโลกรัม
กากน้ำตาล 10 ลิตร
ฟอสเฟต 10 กก.
รำละเอียด 2.5 กก.
เกลือ 2 ขีด
หัวเชื้อ 1 ลิตร (กากน้ำตาล 4 ลิตร + สารเร่งพด 2.1 ซอง + น้ำ 200 ลิตร ผสมกัน)

น้ำ 70 ลิตร

วิธีทำ
1. นำยอดผักบุ้ง หน่อไม้ หน่อกล้วยมาสับรวมกัน 10 กก.

2. ใส่กากน้ำตาล ฟอสเฟต รำละเอียด เกลือ ในอัตราส่วน 10:10:2.5:2 ขีด และน้ำอีก 70 ลิตร คนให้เข้ากัน ตามด้วยหัวเชื้อ 1 ลิตร

3. หมักไว้ 15 วันเป็นอันว่าเสร็จ พร้อมนำไปใช้งาน


ตัวอย่างผลผลิตที่ถูกแปรรูปจากปลาซิว

 

ขอบคุณที่มา http://www.naibann.com/how-to-breed-pla-sew-for-earning-living/ 

เรียบเรียงโดย DPS News

เเต่งจริง!! “ซง จุงกิ”ซอง&เฮเคียว” ประกาศแต่งงานตุลาคมนี้


ซง จุง กิ พร้อม ซอง เฮ เคียว ประกาศแต่งงาน 31 ต.ค.นี้ ด้านต้นสังกัดนักแสดงสาวออกมาปฏิเสธข่าวลือตั้งครรภ์

ซง จุง กิ และซอง เฮ เคียว สองคู่ขวัญจากซีรีส์สุดฮิต “Descendants of the Sun”  ที่เคยออกมาปฏิเสธข่าวลือเรื่องการคบหาดูใจกันหลายต่อหลายครั้ง ล่าสุด สร้างความประหลาดใจแก่แฟนๆ ด้วยการออกแถลงการณ์ร่วมในวันนี้ผ่านทางต้นสังกัดของทั้งคู่ว่า ซองจุงกิ วัย 32 กับ ซอง เฮ เคียว วัย 35 จะเข้าพิธีวิวาห์ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้
แถลงการณ์ระบุว่า เราขออภัยที่ประกาศข่าวที่อาจทำให้แฟนๆ ของเราต้องประหลาดใจ เราระมัดระวังอย่างมากเนื่องจากการแต่งงานครั้งนี้ เป็นงานที่มีความสำคัญต่อชีวิตของเราและครอบครัวของเรา
หลังประกาศข่าวใหญ่ไม่นาน ยูเอเอ บริษัทต้นสังกัดของซอง เฮ เคียว ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ตามมาทันทีว่า ดาราว่าที่เจ้าสาวไม่ได้ตั้งครรภ์ และเมื่อถูกถามว่าทั้งสองเริ่มคบหากัน หลังนำแสดงเรื่อง  “Descendants of the Sun” ผู้แทนบริษัทรายนี้ตอบสั้นๆ ว่า ไม่ทราบ
ทั้งสองรับบทเป็นคู่รักทหารกับหมอในซีรีส์ยอดฮิต ออกอากาศทางช่อง KBS 2TV  หลังจากนั้น เริ่มมีข่าวลือครั้งแรกว่าคบหากัน เมื่อมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคนหนึ่งอ้างว่าเห็นทั้งคู่ไปช็อปปิ้งและดินเนอร์ด้วยกันที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ขอบคุณที่มาเนื้อหา http://www.komchadluek.net/news/ent/286052


วิธีปลูกมัลเบอรี่(หม่อน)ง่ายๆ ให้ลูกดก เก็บกินได้ตลอดทั้งปี


หม่อน หรือ ลูกมัลเบอรี่ นอกจากรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยถูกปากใครหลายคนแล้ว ยังมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ทั้งช่วยลดระดับน้ำตาลในหลอดเลือด ลดความดันโลหิต บำรุงสายตา ต่อสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ต่อต้านอาการขาดเลือดในสมอง ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย คุณประโยชน์ดีๆมาเพียบแบบนี้ ไม่กินไม่ได้แล้ว ส่วนราคาของผลมัลเมอร์รีจะอยู่ที่ 150 ถึง 250 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว สำหรับใครที่ชอบทานมัลเบอร์รี่วันนี้เรามีวิธีการปลูกหม่อน หรือ (Mulberry)ไปดูวิธีกันเลยครับ

การปลูกมัลเบอร์รีควรเริ่มจากการหาต้นพันธุ์ ซึ่งในประเทศไทยจะมีหลากหลายพันธุ์ที่นิยมปลูก แต่พันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทยก็คือ กำแพงแสน 84 บุรีรัมย์ 60 เชียใหม่60 ซึ่ง 3 พันธุ์นี้เหมาะสำหรับพื้นที่แลภูมิอากาศของประเทศไทยเพราะได้มีการพัฒนาจากสถานบันเกษตรต่าง ๆอย่างต่อเนื่อง 

วิธีปลูกต้นหม่อนกินผลสด

1.เตรียมต้นหม่อนที่จะปลูก (สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายต้นไม้ พันธ์ไม้ต่างๆ หรืออาจทำการปักชำเองก็ได้ ถ้ามีต้นหม่อน)

2. ระยะปลูก ปลูกเป็นแถว แต่ละต้นห่างกัน 4 เมตร เพื่อเผื่อรัศมีทรงพุ่มไว้อย่างน้อย 2.00 เมตร หรือจะปลูกในแปลงพื้นที่สี่เหลี่ยมด้วยระยะปลูก 4.00 x 4.00 เมตรก็ได้

3.การเตรียมหลุมปลูก ขุดหลุมลึก 50 x 50 x 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 10 กิโลกรัมต่อหลุม ใส่ปูนโดโลไมท์หรือปูนขาว ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อหลุม และปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตรา 250 กรัมต่อหลุม หรือจะให้แม่นยำต้องใส่ตามค่าการวิเคราะห์ดิน คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วกลบหลุมด้วยหน้าดินให้พูนเล็กน้อย

4.ขุดดินบนหลุมที่เตรียมไว้ให้ลึกพอประมาณ แล้วนำต้นหม่อนที่เตรียมไว้ลงปลูก กลบดินให้แน่น แล้วรดน้ำให้ชุ่ม

ต้นมัลเบอร์รีให้ผลผลิตได้เต็มที่เมื่อมีอายุครบ 2 ปี ซึ่งระหว่างนั้นเราควรที่จะบำรุงรักษาด้วยการใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยสูตรอย่างสม่ำเสมอ ถ้าต้นมัลเบอร์รีมีความสมบูรณ์จะให้ผลผลิต ประมาณ 1.5-35 กิโลกรัมหรือประมาณ 750-1,850 ผลต่อครั้งต่อต้นเลยทีเดียว

เทคนิคเพิ่มเติมในการปลูกหม่อนให้ได้ผลผลิตดี

การบังคับทรงต้น

ต้นหม่อนที่ปลูกจากกิ่งชำชนิดล้างราก หรือชนิดชำถุง หรือปลูกด้วยท่อนพันธุ์จากกิ่งพันธุ์โดยตรง เมื่อต้นหม่อนเจริญเติบโตได้ประมาณ 6-12 เดือน จะต้องบังคับทรงพุ่มโดยตัดแต่งกิ่งให้เหลือเพียงกิ่งเดียวไว้เป็นต้นตอ มีความสูงประมาณ 80-100 เซนติเมตร จากพื้นดิน ปล่อยให้หม่อนแตกกิ่งใหม่หลายๆกิ่ง เก็บกิ่งที่สมบูรณ์ไว้ กิ่งที่ไม่สมบูรณ์ให้ตัดทิ้งเพื่อให้ด้านล่างโปร่ง ง่ายต่อการปฏิบัติดูแลรักษาด้านเขตกรรมต่างๆ เช่น การกำจัดวัชพืช การใส่ปุ๋ย การพรวนดิน การตัดแต่งกิ่งแขนงและการเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น อนึ่งสำหรับหม่อนที่ปลูกในปีแรกๆ ลำต้นและระบบรากยังเจริญเติบโตไม่มาก อาจจะหักล้มได้ง่าย ดังนั้นจะต้องทำการยึดลำต้นไว้ด้วยไม้ หรือไม้ไผ่ให้แน่นหนา

การใส่ปุ๋ย

ในปีที่ 2 ให้ใส่ปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ตามการวิเคราะห์ความต้องการปูนขาวของดินเพิ่ม ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อต้น ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 250 กรัมต่อต้น

การให้น้ำ

จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้น้ำหม่อนในระยะที่หม่อนติดผลแล้ว (โดยปกติจะมีฝนหลงฤดูหรือฝนชะช่อมะม่วงผ่านเข้ามา จะทำให้ต้นหม่อนแตกตาติดดอก ถ้าไม่มีฝนหลงฤดู หลังโน้มกิ่ง รูดใบ ต้องให้น้ำกระตุ้นการแตกตาแทนน้ำฝน) หากขาดน้ำจะทำให้ผลหม่อนฝ่อก่อนที่จะสุก หรือทำให้ผลหม่อนมีขนาดเล็ก การตัดแต่งกิ่งและการดูแลรักษาทรงพุ่ม ตัดเฉพาะกิ่งแขนงที่ไม่สมบูรณ์และเป็นโรคทิ้ง เพื่อลดการสะสมโรคและแมลง

การบังคับให้หม่อนติดผลนอกฤดูกาล

ใช้วิธีการบังคับต้นหม่อน เพื่อให้ได้ผลผลิตผลหม่อนในระยะเวลาที่ต้องการ มีวิธีการดังนี้

1) ทำการโน้มกิ่งหม่อนที่ปลูกแบบทรงพุ่ม โดยการโน้มกิ่งให้ปลายยอดขนานกับพื้น หรือโน้มลงพื้นดิน รูดใบหม่อนออกให้หมด พร้อมทั้งตัดยอดส่วนที่เป็นกิ่งสีเขียวออกยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ใช้เชือกผูกโยงติดไว้กับหลักไม้ไผ่ ซึ่งปักไว้บนพื้นดินสำหรับยึดเชือกไว้

2) หลังการโน้มกิ่ง 8-12 วัน ดอกหม่อนจะแตกออกพร้อมใบ จากนั้นจะมีการพัฒนาการของ ผลหม่อน โดยผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีขาว สีชมพู สีแดง และสีม่วงดำ ตามลำดับ โดยใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน ผลจะเริ่มแก่และสุก สามารถเก็บไปรับประทานสดหรือนำไปแปรรูปได้ มีระยะเวลาในการเก็บผลประมาณ 30 วันต่อต้น เพราะผลหม่อนจะทยอยสุก เนื่องจากออกดอกไม่พร้อมกัน เมื่อต้นหม่อนมีอายุตั้งแต่ 2 ปี เป็นต้นไปจะให้ผลผลิตผลหม่อนประมาณ 1.5-35 กิโลกรัม(ประมาณ 750-1,850 ผลต่อครั้งต่อต้น) เพียงพอต่อการบริโภคผลสดทั้งครอบครัวทุกวัน ตลอดปี ซึ่งร่างกายต้องการวันละ 10-30 ผลเท่านั้น อีกทั้งยังมีผลหม่อนสดไว้แปรรูปเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้อีกหลายชนิด เช่น น้ำหม่อน แยมหม่อน เชอเบทหม่อน ฯลฯ

 

     เห็นมั้ยคะว่าจริงๆแล้ว หม่อนนั้นปลูกไม่ยากเลย แถมยังเจริญเติบโตได้ง่าย ไม่ต้องประคบประหงมมาก แต่ก็สามารถเก็บผลผลิตเก็บกินได้ทั้งปีหลังจากต้นโตเต็มที่แล้ว ถ้าอยากเก็บลูกหม่อนทานสดๆจากต้น ก็อย่าลืมทดลองปลูกกันดูนะคะ ได้กินผลไม้ดีมีประโยชน์ไม่ต้องไปซื้อให้เปลืองอีกด้วย

 

ขอขอบคุณที่มาจาก : http://www.lookmhee.com/news/105935

โจ๋โหด! เอาใบเลื่อยแทงทะลุหัวใจเพื่อน เหตุเพราะขายยาบ้าปลอมให้!!


วันที่ 4 ก.ค. เมื่อเวลา 06.30 น. พ.ต.ต.วิชิต วรรณพฤกษ์ ร้อยเวร สภ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ รับแจ้งพบศพผู้เสียชีวิตในป่าริมถนนภายในซอยข้างวัดหนองหูลิง บ้านหนองหูลิง หมู่ที่ 3 ต.บัวขาว อ.กุฉินารายณ์ หลังรับแจ้งจึงรายงานไปยังผู้บังคับบัญชา และเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.กุฉินารายณ์ และชุดสืบสวนภ.จว.กาฬสินธุ์ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และทีมแพทย์โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์

โดยที่เกิดเหตุพบศพชายอายุ 20-25 ปี นอนเสียชีวิตริมถนน ตรงซอยข้างวัดหนองหูลิง ตรงข้ามบ้านเลขที่ 322 หมู่ที่ 3 ต.บัวขาว อ.กุฉินารายณ์ สภาพศพสวมเสื้อยืดสีขาว นุ่งกางเกงขาสั้นสีเทา สวมรองเท้าแตะสีเขียว มีคราบเลือดทั่วร่างกาย ทราบชื่อภายหลัง คือ นายสุรศักดิ์ อายุ 24 ปี สภาพศพพบถูกของมีคมแทงเข้าที่หน้าอกลึกเข้าใต้ราวนกด้านซ้าย 1 แผล ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า สีน้ำตาล-ขาว ทะเบียน ฉ-2677 กาฬสินธุ์ จอดอยู่ คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง

จากการสอบถามชาวบ้านที่บ้านอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ทราบว่า เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมาได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์น่าจะเป็นของผู้ตายมาจอดตรงบริเวณที่เกิดเหตุ จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน อยู่นานคล้ายจะชกต่อยกัน ต่อมาอีกไม่นานเสียงเงียบไป จนมาในช่วงเช้า ขณะจะออกไปตลาดก็พบศพถูกฆ่าตายซึ่งคาดว่าจะเป็นการทะเลาะกัน

มีรายงานว่าภายหลังเกิดเหตุ ตำรวจได้คุตัววัยรุ่นที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาเค้นสอบจำนวน 7 คน โดยหนึ่งในนั้นเป็นผู้ต้องหาคือ นายพลรัตน์ อายุ 20 ปี ซึ่งให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมาฆ่า นายสุรศักดิ์ฯ ด้วยตนเอง โดยใช้ใบเลื่อยดัดแปลงที่ตะไบจนแหลมที่พกติดตัวมาแทง เนื่องจากไม่พอใจที่ก่อนหน้านั้นได้นำยาบ้าปลอมมาให้ตนเสพ

ทั้งนี้ผู้ต้องหาให้การว่า จังหวะซึ่งผู้ตายคงจะมาน้ำมันหมด ซึ่งตนเห็นพอดีจึงได้วิ่งเข้าไปต่อว่าเรื่องยาบ้าปลอมจนเกิดทะเลาะกัน ตนสู้ไม่ได้จึงใช้เหล็กแหลมแทงเข้าที่หน้าอก ก่อนที่จะนำร่างผลักเข้าไปริมถนนแล้วหลบหนีไป อย่างไรก็ตามภายหลังจากผู้ต้องการให้การรับสารภาพ ชุดจับกุมได้นำตัวส่งต่อ พ.ต.ต.วิชิต วรรณพฤกษ์ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี สภ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ดำเนินคดีในข้อหาฆ่าคนตายต่อไป

ขอบคุณที่มาจาก ณัฐพล เฉยฉิว

พื้นที่1ไร่!! ทำรายได้หลายเเสน ??


1 ไร่ ได้ 1 แสน หลายคนยังแคลงใจ เป็นได้หรือ? แต่ถ้าจะบอกว่า แสนเดียวมันน้อยไป จะเชื่อหรือไม่

เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ประทีป มายิ้ม เกษตรกรเจ้าของ ศูนย์การเรียนรู้ชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สวนพออยู่พอกิน บ้านมายิ้ม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พื้นที่แค่ 1 ไร่ ปีหนึ่งๆทำเงินได้หลายแสนด้วยหลักการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้เต็มที่ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน…ส่วนแรก 4 ตารางวา ทำเป็นพื้นที่ทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ สารกำจัดศัตรูพืช

“ส่วนที่ 2 ปลูกพืชแบบเศรษฐกิจพอเพียง ยึด 10 เมนูยอดนิยมครัวไทยต้องใช้พืชอะไร ผมก็ปลูกพืชพวกนั้น ข่า ตะไคร้ กระวาน ผักชี ขึ้นฉ่าย ฟักทอง โหระพา กะเพรา พริก มะเขือ มะกรูด มะนาว มะละกอ ฟัก แฟง แตงกวา ปลูกหมด”

 แค่มะละกอ 200 ต้น ประทีป บอกว่า เก็บผลขายได้ทุกวัน วันละ 20 กก. กก.ละ 15 บาท แล้วไหนวันเว้นวันยังจะได้จากพืชผักทั้งหลายอีกครั้งละพันบาท…แค่นี้ได้แล้วเดือนละ 24,000 บาท…ปีละสองแสนกว่าบาท

ส่วนที่ 3 ใช้เนื้อที่ 2.5 ตารางวา ทำคอกเลี้ยงสัตว์แบ่งครึ่งเลี้ยงเป็ดไข่ 10 ตัว อีกครึ่งเลี้ยงไก่ไข่ 10 ตัว ได้ไข่ทุกวัน มีแม่ค้าข้าวแกงมารับซื้อทุก 3 วัน ได้อีกเดือนละ 1,000 บาท ปีละ 12,000 บาท

ส่วนที่ 4 บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ 2 บ่อ…บ่อแรก 2 ตารางวา ขุดไว้เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาดุก เพาะพันธุ์ขายลูกกับใช้ประโยชน์ไว้กินแมลงศัตรูพืช ได้อาหารให้ปลาดุกฟรีๆ เลี้ยงพ่อพันธุ์ไว้ 20 ตัว แม่พันธุ์ 100 ตัว จะได้ลูกพันธุ์ไปขายตัวละ 1 บาท เดือนละ 10,000 ตัว…ปีหนึ่งเกินแสน

บ่อที่ 2 เนื้อที่ประมาณ 11 ตารางวา ก่ออิฐทำเป็นบ่อเลี้ยง 4 กุ้ง 3 ปลา 2 หอย…4 กุ้ง = กุ้งก้ามแดง-กุ้งก้ามกราม-กุ้งแม่น้ำ-กุ้งฝอย ปล่อยลูกพันธุ์อย่างละ 1 พันตัว…3 ปลา = ปลานิล-ปลาตะเพียน-ปลาคาร์พ…2 หอย = หอยขม-หอยโข่ง

พื้นบ่อเป็นดินเพื่อจะได้ผสมพันธุ์ออกลูกได้ เลี้ยงกันแบบธรรมชาติ อาหารเม็ดอย่าฝันว่าจะได้เงิน ประทีป ใช้แหน สาหร่าย ผักกระเฉด ผักบุ้ง พร้อมกับปลูกข้าวไม่หวังเก็บเกี่ยวไปขาย ต้องการแค่ให้ใบร่วงไปเป็นอาหารสัตว์น้ำเท่านั้นเอง

1 ปี จะได้กุ้งก้ามแดงให้จับขายประมาณ 1.5 แสนบาท…กุ้งก้ามกราม ปีหนึ่งจับได้ 2 หน เป็นเงิน 14,000 บาท…กุ้งแม่น้ำได้ปีละหน 2,400 บาท…จับขายเฉพาะตัวใหญ่ ตัวเล็กเก็บไว้เลี้ยงต่อ โตขึ้นได้ขนาดเมื่อไรถึงขาย แถมยังได้มีโอกาสปล่อยให้จับคู่ผสมพันธุ์ออกลูกหลานให้เราเลี้ยงไปขายได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

ปลาตะเพียน 10 ตัว ไม่ได้หวังขาย เลี้ยงไว้เพื่อตรวจวัดคุณภาพน้ำ เช้าขึ้นมาปลาตะเพียนลอยหัว ถึงคราวเปลี่ยนน้ำ…ปลานิลเลี้ยงไว้ 10 คู่ ออกลูกหลานมาให้จับขายปีละ 3 หน หนละ 20 กก. ปีหนึ่ง 2,400 บาท ส่วนปลาคาร์พ ซื้อลูกปลาตัวละ 5 บาท มาเลี้ยง 4-5 เดือน เอาไปขายร้านปลาสวยงามได้ตัวละ 80 บาท

หอยขมและหอยโข่ง เลี้ยงไว้ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกก้นบ่อ ปล่อยลูกพันธุ์อย่างละ 1-2 กก. เลี้ยงจนโตออกลูกออกหลาน สามารถจับขายได้ทุกสัปดาห์ หอยขมได้ 200 บาท หอยโข่ง 300 บาท…ปีละ 26,000 บาท

รวมแล้วพื้นที่ 1 ไร่ ประทีปทำเงินได้…ปีละไม่ต่ำกว่า 6 แสนบาท.

ขอบคุณที่มา https://www.thairath.co.th/content/536759

แชร์สนั่นโซเชียล!! หนุ่มขับรถเจอ“ยายหาบขนมขาย” ไม่มีรองเท้าใส่เลยถอดให้ (มีคลิป)


เกิดเป็นภาพและโพสต์เรียกน้ำตาชาวโซเชียล หลังผู้ใช้เฟซบุ๊ก คุณหญิง ดาร์ลี่ กับแฟนหนุ่ม บังเอิญไปเจอ “คุณยายแก่ๆ” หาบขนมขาย โดยไม่มีรองเท้าใส่ อยู่ริมถนนท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว จึงได้ช่วยเหมาขนมและแฟนหนุ่มได้สละรองเท้าของตัวเองให้คุณยาย โดยระบุข้อความทั้งหมดว่า

“วันนี้เจอคุณยายหามขนมมาขายในปั้ม ปตท.แห่งหนึ่ง ใน อ.กุฉินารายน์ จ. กาฬสินธุ์ ยายไม่ได้ใส่รองเท้า เราบอกให้ยายเดินเข้าไปข้างเซเว่นเพื่อที่เราจะได้ช่วยซื้อขนมแต่ยายปฏิเสธพร้อมท่าทางหวาดกลัว เราเลยถามว่าทำไมไม่เข้าไปล่ะยาย แกตอบด้วยเสียงสั่นๆว่า “เดียวเขาด่า ยายเพิ่งโดนเขาด่ามาเมื่อกี้นี้เอง”

เราเลยรีบซื้อขนมกับแกหนึ่งห่อ จากนั้นยายก็เดินจากไป แล้วเราก็ทำธุระในปั๊มต่อ หลังจากเสร็จธุระแล้ว เราก็ออกจากปั๊มแล้วไปเจอยายอีกครั้งซึ่งห่างจากปั๊มไม่ไกลนัก ด้วยความสงสารเราจึงลงจากรถอีกครั้ง เพื่อไปเหมาขนมให้ยาย พร้อมกับมอบรองเท้าที่เราใส่ให้ยายหนึ่งคู่

พร้อมกับพูดคุยกับยาย จึงได้ความว่า ยายมีสามีตาบอดหนึ่งคนกับลูกชาย 2 คน คนโตไปทำงานที่กรุงเทพฯ ส่วนคนเล็ก ติดยาเสพติด ซึ่งยายได้ทำงานหาเลี้ยงเพียงคนเดียว อีกทั้งยายยังตาบอดหนึ่งข้าง

ดูคลิป!!


ขอบคุณข้อมูลจาก www.socialhot24.com

เลี้ยงฮวก!! ในบ่อปูนซีเมนต์ ผสมพันธุ์เน้นขาย กำไรเกินครึ่งของรายได้


ที่บ้านน้อยจอมศรี อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ชาวบ้านส่วนใหญ่ยึดอาชีพทำการเกษตร ทำนา ทำไร่ ส่วนใหญ่ใช้น้ำจาก “เขื่อนน้ำอูน” สำหรับทำการเกษตร ฉะนั้น ผู้ที่เดินทางไปจังหวัดสกลนคร จะพบพื้นที่เขียวชะอุ่มไปด้วยข้าวนาปรัง พืชฤดูแล้ง ตลอดจนบ่อเลี้ยงปลาและเลี้ยงกบ ห่างตัวเมืองสกลนคร ประมาณ 12 กิโลกรัม มีหมู่บ้านเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของเมืองสกลนคร คือ บ้านน้อยจอมศรี ต.ฮางโฮง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่มีกลุ่มอาชีพหลากหลาย อาทิ กลุ่มทำหมอนขิด กลุ่มเกษตรกรทำนา กลุ่มเลี้ยงปลา และกลุ่มเลี้ยงกบ
โดยเฉพาะกลุ่มเลี้ยงกบ ที่มีมากที่สุดของจังหวัดสกลนคร กว่า 10 ราย
คุณรัตนา ศรีบุรมย์ และคุณกมลชัย ศรีบุรมย์ อยู่บ้านเลขที่ 218 ตำบลฮางโฮง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร สองสามีภรรยา เป็นหนึ่งในกลุ่มเลี้ยงกบ ที่กบพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ กว่า 3,000 ตัว โดยคุณรัตนา เล่าว่า ก่อนเลี้ยงกบเป็นอาชีพ ได้ทำนาและทำไร่มาก่อน รวมทั้งเป็นลูกจ้างกรรมกรในตัวเมือง
“นอกจากทำนาปลูกข้าวแล้ว ชาวบ้านแห่งนี้ยังมีอาชีพเสริมคือการการเกษตรปลูกพืชฤดูแล้งเลี้ยงสัตว์ และบางส่วนเลี้ยงกบ ขายพันธุ์กบเป็นส่วนน้อย เน้นขายตัวอ่อนของกบหรือฮวก (ลูกอ๊อด) เป็นส่วนใหญ่ โกยเงินเป็นล่ำเป็นสันเรียกกันว่า “เถ้าแก่น้อย” ในหมู่บ้าน”

คุณกมลชัย กล่าวอีกว่า จากที่เห็นเพื่อนบ้านทำนาและเลี้ยงปลา กบเสริมแล้วทำให้มีรายได้ จึงศึกษาและนำกบมาทดลองเลี้ยงจนเกิดความชำนาญ จากแต่ก่อนเลี้ยงเพียงไม่กี่ร้อยตัว ก็เพิ่มจำนวนเลี้ยงขึ้นมาเป็นหลายพันตัว จากเดิมไม่มีคนรู้จัก ก็มีลูกค้ามาซื้อกบถึงบ้าน บรรดาเพื่อนบ้านที่เลี้ยงกบต่างมีรายได้ต่อปีหลายแสนบาท บางรายตั้งเป้าทำกำไรจากกบตัวละ 1 บาท หากขายได้ปีละ 1 ล้านตัว ก็มีรายได้ 1 ล้านบาท

“เมื่อ 5 ปีก่อน เริ่มเลี้ยง และนำเงินทุนที่มีอยู่ไปซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบเหลืองหัวเขียว และกบพื้นบ้าน ประมาณ 20-30 ตัว พ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบกิโลกรัมละ 50-70 บาท ตัวขนาด 2 นิ้ว 1 กิโลกรัม ได้ประมาณ 40 ตัว ลงทุนลงแรงเลี้ยงกบในที่นาตัวเอง โดยใช้ท่อปูนชีเมนต์ร่วมกับภรรยาเพียง 2 คน”

คุณกมลชัย เล่าว่า การเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบ เพื่อผลิตตัวอ่อนหรือลูกอ๊อด มีขั้นตอนการเลี้ยงยุ่งยากกว่าเลี้ยงสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดอื่น ใจไม่สู้ เลี้ยงไม่ได้ไปไม่รอด ปัจจุบัน ตนมีกบพ่อพันธ์ จำนวน 2,000 ตัว แม่พันธุ์ 2,000 ตัวเศษ โดยกบพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เหล่านี้ จะถูกนำมาเลี้ยงไว้ที่ท่อซีเมนต์ กว่า 30 ท่อ แต่ละท่อจะมีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปล่อยเลี้ยงประมาณ 50-60 ตัว ส่วนการผสมพันธุ์นั้น เริ่มจากใช้คันนาดินที่เป็นบ่อกั้นไว้ให้แล้ว นำตาข่ายไนล่อนพลาสติก ภาษาอีสานเรียก “ดาง” หรือ “ผ้าแหยง” รูถี่ มาขึงกางตาข่าย กว้าง 1.20 เมตร ความยาวแล้วแต่ขนาดคันนาเป็นมาตรฐาน ใช้ไม้ไผ่สูงขนาดเท่ากับตาข่ายค้ำยัน กั้นเพื่อขึงตาข่ายให้ตึง ป้องกันกบกระโดดหนีระยะห่าง 2 เมตร ต่อเสา และควรกั้นไว้หลายๆ บ่อเพื่อคัดแยกขนาดของกบและลูกอ๊อดออกจากกัน


“กบพันธุ์ไม่แข็งแรงเหมือนกบนาจะกระโดดเฉพาะช่วงผสมพันธุ์กันและมีฝนตก และควรเตรียมบ่อผสมพันธุ์ไว้ ตามต้องการแต่ควรเว้นระยะเนื่องจากการจำหน่ายต้องไม่ขาดช่วงหากทำพร้อมกันจะทำให้กบไข่มากทำให้ขายไม่ทัน”

วิธีการ คือ นำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบ ที่คัดแยกจากท่อที่เลี้ยงไว้ 4 ท่อ และตัวเมีย 4 ท่อ รวม 8 ท่อ นำตัวผู้และตัวเมียอย่างละ 200 ตัว รวม 400 ตัว ผสมเยอะไม่ได้ กบจะกระโดดหนีใส่ตาข่ายจนบาดเจ็บปากแดง
วิธีคัดแยกกบมาผสมกัน สังเกตกบตัวผู้จะคางย่นพอง ควรให้ผสมพันธุ์กันในช่วงเย็น ถ้าฝนไม่ตกให้เปิดน้ำแทนฝนจะผสมพันธุ์กันดี พอรุ่งเช้าให้แยกตัวผู้ตัวเมียกลับท่อ ถ้าแดดร้อนจัดลูกอ๊อดจะขยายพันธุ์รวดเร็ว ถ้าไม่มีแดดต้องรอข้ามคืน ตกเย็นในวันเดียวกันจะเห็นลูกอ๊อดลอยน้ำในบ่อผสม ช่วงนี้ลูกอ๊อดจะกินคราบไข่ในบ่อผสมก่อน 2 วัน ถึงจะให้อาหารเป็นหัวอาหารเมล็ดที่ใช้เลี้ยงปลา แล้วนำไปลงบ่ออนุบาลและอีก 5 วัน ก็นำลูกออ๊ดออกจากบ่ออนุบาลไปลงที่บ่อดินที่เตรียมไว้


นอกจากนี้ ควรห้สังเกตปริมาณลูกกบว่าในบ่อมีลูกอ๊อดมากน้อยหรือไม่ หากให้อาหารเยอะไปลูกอ๊อดจะตาย แรกๆ ลูกอ๊อดอยู่ในน้ำใส ข้อควรระวังยิ่งควรปรับสภาพน้ำให้เขียวขุ่น โดยใช้น้ำหมักชีวภาพที่รดใส่แปลงพืชผักผสมกับกากน้ำตาลเทใส่บ่อเพื่อสร้างอุณหภูมิปรับน้ำให้เขียว เพื่อให้ลูกอ๊อดอำพรางตัวไม่ให้เห็นกัน ถ้าอยู่ในน้ำใสตัวใหญ่จะกินตัวเล็ก เป็นธรรมชาติของสัตว์ชนิดนี้ ระยะเวลาหลังผสมพันธุ์กันเสร็จ 25 วัน ลูกอ๊อดจะโตเต็มที่จะขายได้ ตัวใหญ่และได้น้ำหนัก ดีนับร้อยกิโล ขึ้นไป
คุณรัตนา บอกว่า สิ่งที่ต้องทำและหมั่นเอาใจใส่ คือ เมื่อลูกอ๊อดโตได้ 5 วัน ให้รีบเอาออกจากบ่อผสมพันธุ์ นำพักไว้ในบ่อดินที่เตรียมไว้ หลังคัดเกรดเสร็จก็ควรจะกระจายลงไปในบ่อที่ว่างอีก จากนั้น ต้องคัดตัวใหญ่แยกออกจากตัวเล็กที่ไม่สมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นลูกอ๊อดกินกันเองไม่เหลือผลผลิตตามเป้า และควรให้หัวอาหารเช้าเย็นวันละ 2 กระสอบ
“การเลี้ยงกบนั้น ไม่ได้ศึกษาจากที่ใด อาศัยประสบการณ์ลองผิดลองถูกเมื่อมีปัญหาก็จะไปสอบถามคนที่เลี้ยงมาก่อน ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำเป็นอย่างดี ปัจจุบัน กบของตัวเองที่เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ หนึ่งตัวจะสามารถผสมเพาะได้ ถึง 10-12 ครั้ง/ตัว หลังจากนั้นก็จะนำออกมาจำหน่ายเพราะกบเรียกกันว่าโทรมมากแล้ว จากนั้นจะคัดพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ใหม่ มาทดแทน ฤดูกาลของลูกอ๊อดผลผลิตจะเริ่มออกในช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคม แต่จะออกเยอะในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน เนื่องจากมีอากาศเย็นและมีฝนตกลูกอ๊อดไม่ค่อยตาย ต้นฤดูที่ผสมใหม่ๆ จะทำเงินให้สูงตกกิโลกรัมละ 200-250 บาท”
คุณรัตนา บอกอีกว่า ทุกวันนี้สามารถขายได้วันละ 30-50 กิโลกรัม โดยได้ใช้วิธีเพาะพันธุ์แบบให้เป็นเว้นระยะไม่ทำครั้งเดียว เพราะถือว่าทำได้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง จะอยู่ที่วันละ 4,500-6,000 บาท ซึ่งหากหักค่าใช้จ่ายจากพวกหัวอาหารแล้วก็มีกำไรมากกว่าครึ่งของรายได้

การเลี้ยงกบหากมองดูจริงแล้วไม่ยากอย่างที่คิด ปัญหาอยู่ที่ความขยันขันแข็ง ทำแล้วเลี้ยงแล้วต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่ ไม่ปล่อยเป็นกบ “เทวดาเลี้ยง” และคนเลี้ยงกบต้องรู้จักศึกษาอ่านหนังสือหาความรู้และสังเกตกบว่าเป็นอย่างไร และควรปรับเปลี่ยนไปตามนั้นเพราะประสบการณ์จะทำให้เราได้เรียนรู้ดีกว่าการอ่านแล้วมาลองทำ เพราะอาจทำให้เสียเวลาได้ สุดท้ายก็เสียเงิน ล้มเหลว ไม่ประสบผลสำเร็จ
ผู้สนใจท่านใดอยากได้รายละเอียดหรือติดต่อสอบถามข้อมูล ได้ที่คุณรัตนา ศรีบุรมย์ โทร 088-5160013 ได้ทุกวัน

ข้อมูลจาก http://farm.onzorn.info/2016/03/blog-post_14.html เรียบเรียงโดยDPSNews

เลี้ยงกุ้งก้ามกรามใน”นาข้าว” เลี้ยงง่ายกำไรงาม ลงทุนหลักหมื่นกำไรหลักเเสน!!!


กุ้งก้ามกรามถือได้ว่าเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องด้วยคนเท่านิยมรับประทานกันมาก จึงทำให้กุ้งก้ามกรามมีราคาแพง สูงถึง 300 บาทต่อกิโลกรัม จึงทำให้ปัจจุบันมีเกษตรกรส่วนมากหันมาเลี้ยงกุ้งชนิดนี้มากขึ้น แต่มีปัญหาคือต้องใช้พื้นที่ในการทำบ่อเป็นจำนวนมาก และกับค่าอาหารที่มีราคาสูงจึงทำให้เกษตรกรหลายรายต้องหยุดการเลี้ยงกุ้งไปอย่างน่าเสียดาย

วันนี้ไข่เจียวนำวิธีการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามแบบใหม่มาฝากเพื่อนๆ เป็นเทคนิคใหม่ที่พึ่งได้มีการเปิดเผยกัน คือวิธีการเลี้ยงกุ้มก้ามกรามในนาข้าวซึ่งวิธีนี้จะทำให้เกษตรกรได้ลดต้นทุนในส่วนของการขุดบ่อไป และ ภายในเนื้อหายังเผยสูตรอาหารและน้ำหมักปรับสภาพน้ำแีกด้วย จะเป็นยังไงนั้นไปชมกันเลยคะ

วิธีเลี้ยงกุ้งก้ามกรามแบบอินทรีย์ในนาข้าว เป็นวิธีการเลี้ยงแบบลดต้นทุน และสร้างรายได้ให้กับผู้เลี้ยงเป็นอย่างดี มีขั้นตอนดังนี้

 

1.ก่อนปลูกข้าวให้ทำการปรับพื้นที่ในนาข้าวให้มีความลึกขนาด/ประมาณ 80 เซนติเมตร

2.ซึ่งการทำแปลงนาจะสูงแตกต่างกันเป็นลำดับขั้น เช่น 60-70-80-90 เซนติเมตร จะง่ายต่อการไล่ระดับน้ำออกจากแต่ละบ่อ

3.เมื่อปรับพื้นที่ในนาข้าวได้ตามขนาดแล้ว ให้ทำการหว่านหรือปักดำนาข้าวได้ทันที

4.หลังจากที่ทำการหว่านและปักดำนาข้าวแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ให้นำกุ้งปล่อยลงในนาข้าวได้เลย

5.พื้นที่นาข้าวขนาด 1 ไร่ ปล่อยกุ้ง 20,000 ตัว ขนาดกุ้งที่ปล่อยประมาณ 2 เซนติเมตร

6.เมื่อปล่อยกุ้งลงนาข้าวแล้วในทุกๆ สัปดาห์จะมีการเติมน้ำลงไปจนเต็มเพื่อไล่น้ำที่เน่าเสียออกไป

สูตรอาหารเลี้ยงกุ้งก้ามกราม

วัตถุดิบ

– รำละเอียด 1 กิโลกรัม

– ปลาป่น 2 ขีด

– น้ำมันพืช 1 ขวด

– กะละมังสำหรับผสมอาหาร 1 ใบ

วิธีทำ : นำส่วนผสมเทลงในกะละมังสำหรับผสมอาหาร จากนั้นคลุกเคล้าวัตถุดิบทั้งหมดเข้าหากันแล้วปั้นเป็นก้อน หรือถ้ามีเครื่องอัดเม็ดก็สามารถนำไปอัดเม็ดได้เช่นกัน ก็จะได้อาหารสำหรับเลี้ยงกุ้งก้ามกราม

การนำไปใช้: นำอาหารกุ้งก้ามกรามที่ผสมได้ ให้กุ้งกินในช่วงเวลาเช้าและเวลาเย็น

ประโยชน์ : สูตรอาหารกุ้งก้ามกรามจะช่วยให้กุ้งก้ามกรามเจริญเติบโตเร็ว แข็งแรง และช่วยลดต้นทุนค่าอาหารได้เป็นอย่างดี

สูตรน้ำหมักปรับสภาพน้ำเพื่อป้องกันโรคในกุ้ง

วัตถุดิบ

– สารเร่ง พ.ด.2 1 ซอง

ซากปลา ซากหอย 3 กิโลกรัม

– กากน้ำตาล 1 ลิตร

– น้ำ 2 ลิตร

– ถังพลาสติกสำหรับหมัก 1 ใบ

วิธีทำ : นำส่วนผสมเทลงในถังสำหรับหมัก คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน จากนั้นปิดฝาหมักทิ้งไว้ในที่ร่มเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก็จะได้น้ำหมักปรับสภาพน้ำเพื่อป้องกันโรคในกุ้งก้ามกราม

การนำไปใช้ : นำน้ำหมักที่ได้ไปสาดลงแปลงนาหรือบ่อกุ้งก้ามกรามเท่าๆ กัน โดยใช้ในอัตรา 10 ลิตรต่อ 1 ไร่ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

ประโยชน์ : ช่วยปรับสภาพน้ำและป้องกันโรคให้กับกุ้งก้ามกราม หลังจากปล่อยกุ้งก้ามกรามลงในนาข้าวได้ 3 เดือน ความเจริญเติบโตจะอยู่ที่ 3 กรัมต่อ 1 ตัว

เป็นยังไงกันบ้างคะเพื่อนๆ กับสูตรเด็ดการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามบอกเลยใครเลี้ยงก่อนรวยก่อนเพราะตอนนี้กุ้งกามกรามกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก รีบๆ กันหน่อยนะคะว่าที่เศรษฐี!!

ที่มาจาก : hotnewshotclip.com

อีกทริค..การเลี้ยง..กุ้งก้ามกราม

เมื่อเอ่ยถึง กาญจนบุรี สิ่งที่ทุกคนนึกถึงคงจะหนีไม่พ้นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติ เช่น น้ำตกเอราวัณ น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ฯลฯ ตลอดจนป่าไม้ธรรมชาติในเขตอุทยานฯ ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้ที่ชื่นชอบความสงบ

กาญจนบุรี ถือเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ พื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดมีการทำเกษตรกรรมที่หลากหลาย เช่น ปลูกผัก ทำไร่อ้อย ตลอดจนการทำนา ฯลฯ และมีทำการประมง คือเลี้ยงปลากระชังในแม่น้ำแม่กลอง และยังมีบางพื้นที่เลี้ยงกุ้งอีกด้วย

คุณอรอนงค์ ธนพันธุ์ภูวเดช อยู่บ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 13 ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี อีกหนึ่งเกษตรกรผู้ที่เคยปลูกพืชไร่ ผันชีวิตมาเลี้ยงกุ้งก้ามกราม จนเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้เธอได้เป็นอย่างดี

เปลี่ยนจากไร่อ้อย ทำบ่อเลี้ยงกุ้งก้ามกราม

คุณอรอนงค์ เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนมีอาชีพทำไร่อ้อย ด้วยปัญหาของราคาที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงคิดหาทำการเกษตรด้านอื่นที่อาจสร้างรายได้ให้กับเธอได้มากขึ้น

“สมัยก่อนทำไร่อ้อยเป็นอาชีพ รายได้ปีละครั้ง เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด พอดีมีคนที่อยู่แถวอำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณฯ เข้ามาเช่าที่ข้างๆ ที่เราทำไร่อ้อยอยู่ แต่เขามาเช่าเพื่อเลี้ยงกุ้ง ตอนนั้นเราเห็นเขาเช่าที่เยอะมาก ก็ไปดูเขาว่ามาทำแบบไหนยังไง เขาก็ถามเราว่า ทำอะไรอยู่ เขาก็แนะนำให้ลองมาเลี้ยงกุ้ง เราก็เลยมาศึกษากับเขาเพื่อทดลองดู” คุณอรอนงค์ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการเลี้ยงกุ้ง

ช่วงประมาณ ปี 2541 คุณอรอนงค์ บอกว่า ทดลองเลี้ยงประมาณ 2 บ่อ นับว่าประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจสำหรับเธอ

“ปรากฏว่าดีมากในช่วงแรกที่ทำ ราคาก็ได้ดีด้วย กุ้งประมาณ 20 ตัว ต่อกิโลกรัม ได้ราคาประมาณ 180-200 บาท พอเรามาเปรียบเทียบดูระหว่างทำไร่อ้อยกับเลี้ยงกุ้ง กุ้งนี้น่าจะดีกว่ามาก แถมช่วงนั้นไม่ค่อยมีปัญหาเลย เลี้ยงง่าย กุ้งแข็งแรงดี เป็นอาชีพที่ดีมาก” คุณอรอนงค์ กล่าวถึงความสำเร็จที่ผ่านมาของเธอ

เลี้ยงกุ้งก้ามกราม ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเค็ม

คุณอรอนงค์ บอกว่า ในช่วงที่ทำบ่อเลี้ยงใหม่ๆ มีพื้นที่เท่าไหร่ก็จะขุดบ่อทั้งหมด แต่ขนาดที่เหมาะสำหรับเลี้ยงกุ้งก้ามกราม ขนาดบ่อประมาณ 4 ไร่

“เราต้องเอาที่ดินเราเป็นเกณฑ์ ว่าที่ดินเรามีกี่ไร่ แต่ถ้าจะดีสำหรับเลี้ยงกุ้ง ต้องประมาณ 4-5 ไร่ ความลึกประมาณ 1.50 เมตร ซึ่งบ่อใหม่ไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะว่ามันยังสะอาดอยู่ ไม่มีเรื่องโรคมากนัก แต่ถ้าพื้นที่ที่ผ่านการเลี้ยงมาแล้ว ก็มีการเตรียมบ่อโดยโรยปูนขาวเพื่อฆ่าเชื้อ” คุณอรอนงค์ อธิบายการเตรียมบ่อสำหรับเลี้ยง

คุณอรอนงค์ บอกว่า น้ำที่ใช้เลี้ยงกุ้งเป็นน้ำที่ได้จากคลองชลประทาน ค่อนข้างมีความสะอาด ทำให้เธอไม่ต้องกังวลกับเรื่องน้ำ จากนั้นจึงไปหาซื้อลูกกุ้งก้ามกรามจากฟาร์มที่ได้รับรองมาตรฐาน จีเอพี (GAP) มาปล่อยเลี้ยง ซึ่งการซื้อลูกกุ้งอยู่ที่ความพอใจของผู้เลี้ยงว่า ต้องการซื้อจากฟาร์มไหน ซึ่งปัจจุบันไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เพราะทุกฟาร์มมีมาตรฐานเดียวกันที่เชื่อถือได้

การเลี้ยงกุ้งก้ามกรามของคุณอรอนงค์จะมีการเลี้ยง 2 ขั้นตอน โดยขั้นตอนแรกเธอจะนำลูกกุ้งก้ามกรามมาอนุบาลเสียก่อน และขั้นตอนที่สองจึงจะนำกุ้งที่ผ่านการอนุบาลมาปล่อยเลี้ยงอีกบ่อ จนได้ขนาดไซซ์ที่จำหน่ายได้

“เราจะอนุบาลก่อน พอเสร็จแล้วค่อยย้ายบ่อ ขึ้นอยู่ที่ผู้เลี้ยงว่าจะปล่อยแน่นหรือว่าไม่แน่นมากนัก ปล่อยได้ตั้งแต่ 20,000-40,000 ตัว เลี้ยงในช่วงอนุบาลนี้ประมาณ 2 เดือน ถึง 2 เดือนครึ่ง ก็ค่อยย้ายไปเลี้ยงอีกที่หนึ่ง สมมุติให้เห็นภาพคือ เตรียมบ่อสำหรับอนุบาลไว้ 1 บ่อ บ่อสำหรับเลี้ยง 3 บ่อ ก็จะเลี้ยงได้เรื่อยๆ สลับกัน” คุณอรอนงค์ อธิบาย

การอนุบาลลูกกุ้งก้ามกราม คุณอรอนงค์ บอกว่า ทำด้วยวิธีนี้ถือว่าไม่เสียเวลา กุ้งก้ามกรามเจริญเติบโตขนาดไซซ์เท่ากันไม่มีปัญหาเรื่องแตกไซซ์ ทำให้เวลาที่จับจำหน่ายสามารถจับหมดบ่อได้เลย

ลูกกุ้งก้ามกรามที่นำมาอนุบาลจะให้กินอาหารที่มีโปรตีน 35 เปอร์เซ็นต์ 2 มื้อ ต่อวัน เช้าและเย็น จนได้อายุประมาณ 2 เดือนครึ่ง จึงย้ายไปเลี้ยงในบ่อสำหรับเลี้ยงอีกครั้งหนึ่ง ปล่อยเลี้ยงประมาณ 24,000 ตัว ต่อบ่อ 4 ไร่ อาหารที่ให้ในระยะนี้เป็นอาหารที่มีโปรตีน 35 เปอร์เซ็นต์ เหมือนเดิม ใช้เวลาเลี้ยงอีก ประมาณ 2 เดือน กุ้งก้ามกรามจะมีขนาดไซซ์ใหญ่พร้อมจำหน่ายได้

การดูแลและป้องกันโรค คุณอรอนงค์ บอกว่า การเลี้ยงด้วยวิธีนี้ยังไม่พบปัญหามากนักสำหรับเธอ ส่วนการใช้เครื่องตีน้ำหากเลี้ยงแบบจำนวนไม่หนาแน่นมากนัก ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ถ้าปล่อยกุ้งก้ามกรามจำนวนมากจะเปิดใช้งานเครื่องตีน้ำ 2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น ครั้งละ 2 ชั่วโมง

“เรื่องโรคและสาเหตุการเกิดโรคไม่มี ถ้าเราเลี้ยงแบบนี้นะ เพราะว่าบ่อมันก็สะอาด เราจัดการดีทุกครั้ง อีกอย่างที่ต้องระวังคือ เรื่องอาหาร อย่าให้กุ้งกินเยอะเกิน เพราะถ้าอาหารมากเกิน มันจะกลายเป็นของเสียที่บ่อ เราควรให้พอเหมาะ” คุณอรอนงค์ กล่าว

กุ้งก้ามกราม ยังเป็นที่ต้องการของตลาด

คุณอรอนงค์ บอกว่า รู้สึกดีใจที่ได้เปลี่ยนจากไร่อ้อยมาเลี้ยงกุ้งก้ามกราม เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ตลาดต้องการอยู่ตลอดเวลา

“กุ้งนี่เป็นอะไรที่ดีมาก เพราะว่าจำหน่ายง่ายมาก มันเหมือนเรามีเงินสดอยู่ในบ่อตลอด อย่างสมมุติเราไม่เลี้ยงให้ตัวใหญ่ เราก็เอาลูกกุ้งที่อนุบาลมาจำหน่ายได้ ซึ่งราคาก็ไม่แย่นะ กิโลกรัมละ 200 กว่าบาท ซึ่งไซซ์นี้เราจำหน่ายให้กับคนที่ต้องการซื้อเอาไปเลี้ยงต่อ เพื่อเป็นกุ้งตัวใหญ่ บางคนเขาไม่ชอบเลี้ยงแบบตัวเล็กๆ ถึงได้บอกว่าเลี้ยงกุ้งนี่เหมือนเรามีเงินอยู่ในบ่อเราตลอด” คุณอรอนงค์ กล่าว

กุ้งก้ามกรามที่เลี้ยงจนได้ไซซ์ขนาดประมาณ 10-12 ตัว ต่อกิโลกรัม เป็นเพศผู้ ราคาจำหน่ายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 300-400 บาท ส่วนกุ้งก้ามกรามเพศเมีย ที่มีไข่ติดท้อง ราคาจำหน่ายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 200-300 บาท

“ส่วนมากเราจะจำหน่ายที่ปากบ่อเลย ไม่ต้องไปส่งที่ไหน หรือบางทีเราก็ไปส่งแถวตลาดมหาชัย ราคาก็จะขึ้นไปกว่านี้อีกนิดหน่อย อีกอย่างคิดว่าการเลี้ยงกุ้งนี่ดีมาก เราได้เงินทุกเดือน เพราะเราสามารถจับสลับบ่อได้ ถ้าจำนวนบ่อเรามีเยอะ มันก็หมุนเวียนได้ตลอด ซึ่งอย่างไร่อ้อยนี่เราจำหน่ายได้แค่ปีละครั้ง มันนานกว่ากุ้งอีก” คุณอรอนงค์ กล่าวถึงข้อดีของการเลี้ยงกุ้ง

การเลี้ยงกุ้ง เป็นอาชีพหลักที่ดี หากเรียนรู้ และตั้งใจทำ

เมื่อเอ่ยถามคุณอรอนงค์ว่าตั้งแต่เลี้ยงกุ้งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน คิดว่ากุ้งยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับคนที่มองหาเพื่อเป็นอาชีพสร้างรายได้หรือไม่

“ในด้านการทำเป็นอาชีพ กุ้งนี้ต้องบอกเลยว่าสามารถเลี้ยงเป็นอาชีพหลักได้นะ แต่ก่อนที่จะมาเลี้ยงอยากให้คนที่สนใจถามตัวเองก่อนว่า เขาเลี้ยงกันแบบนี้ เราสามารถทำได้ไหมถ้ามาเลี้ยงเอง คือถ้าเราอยากได้เงินแบบเห็นผล กุ้งนี้ก็น่าจะเป็นคำตอบ เพราะว่าก็ไม่ได้เลี้ยงยากอะไร ขอให้มีที่สำหรับเลี้ยงติดคลอง ติดแหล่งน้ำชลประทาน สถานที่เหมาะสม แหล่งน้ำสะดวก การเลี้ยงนี่ก็ถือว่ายั่งยืน”

“อย่างตัวเราเองนี่ จากวันนั้น เมื่อ ปี 41 อีกไม่กี่ปีก็จะ 20 ปีแล้วที่ทำมา ก็อยากแนะนำว่า ถ้าเราเรียนรู้ อยากทำให้ทำเลย อย่าไปรอเวลาเลย เราเริ่มเมื่อไหร่เราก็มีความหวังเมื่อนั้น สำหรับใครที่มีที่ดินไม่มาก เลี้ยงได้ 1-2 ไร่ ก็ขุดบ่อเท่านี้ก่อน ยังไม่ต้องทำมาก พอเลี้ยงสำเร็จเราก็ค่อยๆ ขยายไป เลี้ยงออกมายังไง ก็จำหน่ายได้อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวเรื่องการตลาด” คุณอรอนงค์ กล่าวแนะนำ

จะเห็นได้ว่าการประกอบสัมมาอาชีพ หากศึกษาเรียนรู้ข้อมูลอย่างจริงจัง ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินที่มนุษย์อย่างเราๆ ฝันถึง เหมือนเช่น คุณอรอนงค์ ที่ยอมปรับเปลี่ยนความคิดจากทำไร่อ้อยที่ได้ผลผลิตเพียงปีละ 1 ครั้ง หันมาเลี้ยงกุ้งก้ามกรามที่สร้างรายได้ให้กับเธอทุกเดือน โดยคิดเพียงแต่ว่าสิ่งที่เริ่มใหม่ต้องสดใสและงดงามเสมอหากไม่ยอมแพ้ และตั้งใจจริง

เรียบเรียงโดย DPSNews