สุดเจ๋ง! เพาะถั่วงอกในโอ่งขาย สร้างรายได้เป็นอาชีพหลัก เดือนละกว่าครึ่งแสน


เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 59 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านพระ เลขที่ 182 หมู่ 4 ต.มะเริง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งมีครอบครัวหนึ่งทำอาชีพเพาะถั่วงอกแบบโบราณขาย มาเป็นระยะเวลานานเกือบ 40 ปี จนได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หรือ กศน. อ.เมือง จ.นครราชสีมา ให้เป็นศูนย์เรียนรู้อาชีพของชุมชนในปัจจุบัน

นางศรีนวล แก้ววัน อายุ 46 ปี ผู้ทำอาชีพเพาะถั่วงอกแบบโบราณแห่งนี้ เปิดเผยว่า ในอดีตนั้นครอบครัวของตนเคยมีอาชีพทำไร่ ทำนามาก่อน แต่ช่วงหลังๆ มานี้ประสบกับปัญหาภัยธรรมชาติหลายอย่าง ทั้งเรื่องภัยแล้ง น้ำท่วม และราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ดังนั้นครอบครัวของตนจึงได้ตัดสินใจขายที่นาไปเกือบหมด แล้วนำเงินที่ได้มาลงทุนทำอาชีพเพาะถั่วงอกขายอย่างเดียว โดยใช้บริเวณใต้ถุนบ้านของตนเอง เป็นสถานที่เพาะถั่วงอกขาย ซึ่งช่วงแรกๆ ก็ลองผิดลองถูก ใช้หลายวิธีแต่ก็ไม่ได้ผลผลิตดีเท่าที่ควร ต่อมาได้มีคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านแนะนำว่าควรเพาะถั่วงอกในโอ่งดีกว่า ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ แต่ยังไม่มีใครทำเป็นอาชีพจริงจัง ตนจึงได้เริ่มศึกษาวิธีการเพาะถั่วงอกในโอ่งขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อปี 2522 ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มได้ผลผลิตดี สามารถนำไปขายส่งให้กับตลาดสดในตัวเมืองนครราชสีมาได้จำนวนมาก

201609251356232-20041020133743

ซึ่งปัจจุบันครอบครัวของตน เพาะถั่วงอกในโอ่งทั้งหมด 40 ใบ สามารถเก็บถั่วงอกขายได้สัปดาห์ละประมาณ 800 กิโลกรัม โดยจะมีพ่อค้าคนกลางจากตลาดแม่กิมเฮง และตลาดประปา มารับซื้อถึงที่ ซึ่งขายส่งในราคากิโลกรัมละ 18 บาท เฉลี่ยมีรายได้สัปดาห์ละประมาณ 14,000 บาท หรือเดือนละ 57,600 บาท เป็นรายได้หลักเลี้ยงครอบครัวตนจนถึงปัจจุบัน ส่วนพ่อค้าคนกลางจะไปขายในราคากิโลกรัมละ 20-25 บาท
นางศรีนวล ได้บอกถึงขั้นตอนการเพาะถั่วงอกในโอ่งแบบโบราณให้ได้ผลผลิตดีว่า ขั้นตอนแรกนั้น ต้องไปหาเลือกซื้อโอ่งขนาดความสูง 1.5 ฟุต กว้าง 1 ฟุต แล้วนำมาเจาะรู้ขนาดนิ้วก้อย 2 รู้ที่ตูดโอ่ง เพื่อให้น้ำสามารถซึมออกได้ ขั้นตอนที่ 2 ให้ซื้อเมล็ดถั่วเขียว คัดเกรด A ในปัจจุบันราคากิโลกรัม 60 บาท แล้วนำเมล็ดถั่วเขียวนั้นมาแช่ไว้ในกะละมังประมาณ 5 ชั่วโมงก่อน ขั้นตอนที่ 3 นำเมล็ดถั่วเขี่ยวที่แช่น้ำไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว มาใส่ไว้ในโอ่งประมาณโอ่งละ 2 กิโลกรัม

201609251356211-20041020133743

แล้วคลุมด้วยกระสอบทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อให้รากงอกออก ขั้นตอนที่ 4 ให้เอาใบสะแกสด มาคลุมไว้ด้านบนเมล็ดถั่วเขียว แล้วเอาไม้ไผ่ขัดไว้ด้านบน ขั้นตอนที่ 5 หมั่นรดน้ำใส่ในโอ่ง วันละ 4 เวลา ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 วัน ขั้นตอนที่ 6 ดึงไม้ไผ่ที่ขัดไว้ออก แล้วเปิดเอาใบสะแกออกด้วย ซึ่งก็จะได้ถั่วงอกที่มีความขาว อวบ พร้อมที่จะเก็บไปขายได้ทันที ส่วนขั้นตอนการคัดเอาเปลือกถั่วเขียวออกจากถั่วงอกนั้น ก็จะใช้พัดลมขนาดใหญ่ เป่า แล้วนำผ้ามุ้งมาปู และนำถั่วงอกมาใส่กระด้งเพื่อร่อนให้เปลือกถั่วเขียวปลิวออกจากถั่วงอก พอคัดได้ถั่วงอกล้วนแล้ว ก็เก็บใส่ถุงชั่งกิโลพร้อมนำไปขายได้แล้ว

ที่มา https://www.matichon.co.th/news/297729 เรียบเรียงโดยDPSNews

ขนลุก! “ลำไย ไหทองคำ”ถ่ายรูปคู่หุ่นราชินีลูกทุ่งผู้ล่วงลับ”พุ่มพวง ดวงจันทร์”


ถึงกับขนลุก ลำไย ไหทองคำ ถ่ายรูปคู่หุ่นราชินีลูกทุ่งผู้ล่วงลับ พุ่มพวง ดวงจันทร์

ทำเอาหลายคนถึงกับรู้สึกขนลุกซู่กับรูปคู่ที่ สาว ลำไย ไหทองคำ ถ่ายรูปคู่กับหุ่นราชินีลูกทุ่งผู้ล่วงลับ ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่วัดทับกระดาน ที่ อ.สองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ สาวลำไย ไหทองคำ พร้อมกับคณะได้เดินทางไปไหวเพื่อขอพรกับความเชื่อในการเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน

เหมือนกับยังมีชีวิตอยู่ ลำไย ไหทองคำ ถ่ายรูปคู่กับหุ่น พุ่มพวง ที่สาวลำไย เป็นคนเปลี่ยนชุดให้ แต่ภาพที่เธอถ่ายออกมาคู่กับราชินีลูกทุ่งผู้ล่วงลับทำเอาหลายคนขนลุกซู่ รู้สึกได้ว่าหุ่นเหมือนมีชีวิตจิตใจอย่างบอกไม่ถูก มีสีหน้ามีชีวิตเหมือนกับคนเลย บอกเลยเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็ไม่ควรหลบหลู่เพราะชาวบ้านแถวบ้านเวลามีเรื่องทุกข์ร้อนใจก็มาไหว้มาสักการะหุ่น พุ่มพวง ที่วัดทับกระดาน บางคนถึงกับได้โชคลาภจากการมาไหว้ขอพรที่นี่

น้อยคนนักจะไม่รู้จัก ‘ราชินีลูกทุ่ง’ ผึ้ง – พุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่แม้วันนี้จะจากไปถึง 25 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครลืมเลือน เช่นเดียวกับ ‘ศาลพุ่มพวง’ ที่วัดทับกระดาน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ที่มีคนไปบนบานศาลกล่าวขอพรไม่ขาดสาย ซึ่งรายการ ‘ปากโป้ง’ ทางช่อง 8 ก็ได้พาไปเปิดตำนานของศาลนี้  โดยมี บรรเจิด เพชรปานกัน ประชาสัมพันธ์วัดทับกระดาน เป็นผู้บอกเล่าเรื่องราว

โดยเขาว่า ตนผูกพันกับวัดทับกระดานตั้งแต่เด็กๆ เพราะเป็นคนที่นี่ ซึ่งพุ่มพวงก็เกิดที่นี่ ทำบุญวัดนี้ โดยมากับแม่ตั้งแต่เด็กๆ ส่วนที่ว่าทำไมจึงนำศพมาบำเพ็ญกุศลที่นี่และสร้างศาลไว้ก็เพราะเธอได้มาเข้าฝันคุณแม่ให้เอาร่างมาไว้และฌาปนกิจที่นี่ จากนั้นราว 1 เดือนก็ได้มาเข้าฝันเจ้าอาวาส นายสุวัฒน์ เหลืองวิไล ไวยาวัจกรของวัด และตนให้ปั้นหุ่นของเธอจะเป็นปูนปั้นก็ได้ แต่ภายในให้บรรจุด้วยเถ้าถ่านสรีระที่เหลือจากพี่ๆ น้องๆ แบ่งกันเก็บไปแล้วให้ไว้ในหุ่นทั้งหมด

“นำใส่ในหุ่นตนที่ 1 ครับ อยู่ที่ท่าน้ำ เป็นตนแบบ อันนี้ทางวัดทับกระดานเป็นคนปั้นให้ ในหุ่นมีจะกระดูกเผ่าถ่านทั้งหมดที่เหลือจากพี่น้องแบ่งไปแล้วจะใส่ไว้ในนี้ ชื่อ หุ่นอภินิหาร ตั้งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ เป็นสถานที่ที่แรกที่คุณพุ่มพวงได้ร้องเพลงกับคุณพ่อไวพจน์ เพชรสุพรรณ แต่เดิมเป็นศาลไม้ก็ได้บูรณะขึ้นมาใหม่ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าคุณพุ่มพวงยังอยู่ที่นี้ ณ จุดนี้ อยากพบพุ่มพวงต้องไปที่ศาลาท่าน้ำครับ หุ่นตนที่ 1 ขอได้ทุกอย่าง ดั่งใจปรารถนา ยกเว้นเรื่องหวย ถ้าแก้บนก็เป็นสิ่งที่บอกไว้ได้ทุกอย่าง คุณพุ่มพวงชอบของที่สวยงาม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง แต่ที่เห็นเยอะก็จะเป็นกระจกแต่งหน้า กระจกจะส่อง 2 อย่าง คือ ความดีและความชั่ว” บรรเจิดกล่าว

และบอกถึงหุ่นตนที่ 2 ที่ใส่ชุดสีเขียวว่า เป็นหุ่นที่ยุ้ย ญาติเยอะ เป็นคนสร้างเพื่อบูชาครู สำหรับดารา นักร้อง นักแสดง ผู้สื่อข่าวที่ต้องการความก้าวหน้าสามารถมาขอพรได้ที่ศาลาสุธรรมรัตน์ราษฏร์บำรุง ส่วนหุ่นที่ 3 หุ่นที่ร้องเพลง ‘ส้มตำ’ อยู่ที่ศาลาจตุรมุขทรงไทย บริษัทท็อปไลน์ เป็นคนสร้าง  สำหรับขอในเรื่องที่ทุกข์ยากที่สุด เช่น  ครอบครัวแตกร้าว และแก้บนด้วยเงินสด เพชร พลอย โดยที่ผ่านมามีนักร้องคนหนึ่งมาบนแล้วบอกว่าจะนำทอง 10 บาทมาแก้บน แต่กลับใช้ทองปลอม เมื่อขับรถออกจากวัดได้แค่ 1.5 กม. ก็รถคว่ำจนต้องมาบวชที่วัดและนำทองคำจริงมาให้

ส่วนหุ่นตนที่ 4 เป็นชุดเล่นพญาเสือดาวที่ใช้เล่นคอนเสิร์ต  คนที่มีหนี้มักจะมาขอให้หมดหนี้  สุดท้ายหุ่นตนที่ 5  พุ่มพวงมาเข้าฝันท่านเจ้าอาวาสว่าขอบูชาหลวงปู่ปากร่วง และปู่บุญดอกไม้หอม ผู้ให้ที่ดินกว่า 80 ไร่เพื่อสร้างวัดทับกระดาน พร้อมกันนั้นให้ปั้นหุ่นพุ่มพวงมาขอพร ซึ่งหุ่นนี้คนที่ไปไหว้ให้ขอเรื่องที่ตั้งหวังไว้มากที่สุด แล้วแก้บนด้วยพวงมาลัยสีแดง และกุหลาบแดงเท่านั้น

โดยบรรเจิดกล่าวถึงคำที่คนส่วนใหญ่ว่าพุ่มพวงเป็นที่พึ่งของชาวบ้านนั้น “เป็นความจริงครับ ศรัทธาเท่านั้นปฎิหาริย์ถึงจะเกิด ศรัทธาในตัวคุณพุ่มพวงขอได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความเดือดร้อน ยกเว้นอย่างเดียวคือหวย คุณพุ่มพวงไม่ให้” นอกจากนี้เขายังว่าระหว่างพูดคุยอยู่ พุ่มพวงก็ได้มาอยู่ที่นี่ด้วย เนื่องจากได้กลิ่นน้ำหอม โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล แต่ตนเชื่อมาก เพราะเคยเจอกับตัวช่วงอยากสร้างศาลาไม้เป็นศาลาปูน ซึ่งพุ่มพวงมาเข้าฝันว่าให้ ตนนำเต๊นท์มาตั้งและนำรูปเธอวางไว้ในเต๊นท์ จากนั้นให้จับไมค์พูดให้คนมาทำบุญ และไม่น่าเชื่อว่าคืนหนึ่งจะได้เงินทำบุญถึง 3-4 แสนบาทจนสามารถสร้างเป็นศาลาอย่างที่เห็นได้ทุกวันนี้

“เคยมีคนเจอเหตุการณ์แปลกๆ ครับ ที่ศาลาท่าน้ำจะมีตู้บริจาค มีคนหนึ่งขโมย แต่ไปไม่ได้ เพราะว่าคุณพุ่มพวง ไปจับเอาไว้ ไปไหนไม่ได้เลยจนถึงรุ่งเช้า นั่งอยู่ในท่าพับเพียบยกมือไหว้ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ของในวัดทับกระดานไม่มีหายอีกเลย” บรรเจิดบอก และว่าทิ้งท้ายถึงการสร้างหุ่นพุ่มพวงนั้น “ต้องขอจากแม่เล็ก คุณแม่ของคุณพุ่มพวง ต้องบอกก่อนถึงจะปั้นได้ ถ้าปั้นโดยไม่ได้บอกคนในครอบครัวจะอันเป็นไป มีอยู่คนหนึ่งปั้นหุ่นคุณพุ่มพวงโดยไม่ได้บอกกับแม่เล็ก ปรากฏว่าวันที่เอาหุ่นมาวัด แม่เขาเสียชีวิต”

10อันดับ พระเอกสุดฮอต ที่มีค่าตัวแพงที่สุดในวงการ


วันนี้เรามาดูค่าตัวเหล่าดาราหนุ่มๆกันเถอะ ว่าค่าตัวเเต่ล่ะคนอยู่ที่เท่าไหร่ จะมีดาราคนที่เราชอบหรือไป ติดตามชมก็เลย

เหล่าซุปตาร์พระเอกนางเอก ไม่ว่าจะเล่นละคร หรือโฆษณา เชื่อเหลือเกินว่าบรรดาแฟนคลับสาวแก่แม่ม่าย หญิงแท้หญิงเทียม ต่างก็คอยติดตาม กรี๊ดกร๊าดอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ? ซึ่งแน่นอนว่าดาราหนุ่มๆสาวๆนั้นต้องตั้งใจผลิตผลงานเต็มที่เพื่อตอบสนองแฟนๆอยู่แล้ว เพราะเล่นละครเรื่องนึงต้องถ่ายเป็นเดือนๆหรือโฆษณาหนึ่งชิ้นนี่บางทีถ่ายกันเป็นวันๆ รับทีก็เป็นล้านบาทเลยนะ จะให้ทำแบบส่งๆได้ไง รวมถึงการรับงานสั้นๆ แค่ 1-2 ชั่วโมง เช่นออกอีเว้นต์ หรือเดินแบบ-ถ่ายแบบล่ะ พวกเค้าจะรับทรัพย์กันทีนึงเท่าไรหนอมาดูกันครับ

อันดับ 10 อ๋อม อรรคพันธ์ ค่าตัวต่อตอนละครอยู่ที่50,000บาท ค่าโฆษณาเริ่มต้นที่5ล้านบาท และค่างานอีเว้นเริ่มต้นที่120,000บาท

อ๋อม อรรคพันธ์

อันดับที่9 ซี ศิวัฒน์ ค่าตัวละครต่อตอนอยู่ที่60,000บาท ค่าโฆษณาเริ่มต้นที่5ล้านบาท และค่างานอีเว้นเริ่มต้นที่150,000บาทค่า

ซี ศิวัฒน์

อันดับที่8 พอร์ช ศรัณย์ ค่าตัวต่อตอนละครอยู่ที่60,000บาท ค่าโฆษณาเริ่มต้นที่6ล้านบาท และค่างานอีเว้นเริ่มต้นที่180,000บาทค่า

พอร์ช ศรัณย์

อันดับที่7 หมาก ปริญ ค่าตัวละครต่อตอนอยู่ที่70,000บาท ค่าโฆษณาเริ่มต้นที่8ล้านบาท และค่างานอีเว้นเริ่มต้นที่150,000-200,000บาทค่า

หมาก ปริญ


อันดับที่6 เวียร์ ศุกลวัฒน์ ค่าตัวละครต่อตอนอยู่ที่80,000บาท ค่าโฆษณาเริ่มต้นที่7ล้านบาท และค่างานอีเว้นเริ่มต้นที่150,000บาท

เวียร์ ศุกลวัฒน์

อันดับที่5 บอย ปกรณ์ ค่าตัวต่อตอนละครอยู่ที่90,000บาท ค่าโฆษณาเริ่มต้นที่9ล้านบาท และค่างานอีเว้นเริ่มต้นที่200,000บาท

 

บอย ปกรณ์

อันดับที่4 มาริโอ้ เมาเร่อ ค่าตัวละครต่อตอนอยู่ที่100,000บาท ค่าโฆษณาเริ่มต้นที่10ล้านบาท และค่าอีเว้นเริ่มต้นที่200,000-300,000บาท

มาริโอ้ เมาเร่อ

อันดับที่3 เจมส์ จิรายุ ค่าตัวละครต่อตอนอยู่ที่100,000บาท ค่าโฆษณาเริ่มต้นที่15ล้านบาท และค่าอีเว้นเริ่มต้นที่300,000บาท

เจมส์ จิรายุ

อันดับที่2 ณเดช คูกิมิยะ ค่าตัวต่อตอนละครอยู่ที่200,000บาท ค่าโฆษณาเริ่มต้นที่15ล้านบาท และค่างานอีเว้น้ริ่มต้นที่350,000-400,000บาท

ณเดช คูกิมิยะ

อันดับที่1 เบิร์ด ธงชัย เรียกว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ยอดนิยมตลอดกาล เลยก็ว่าได้ค่าตัวละครต่อตอนอยู่ที่200,000บาท ค่าโฆษณาเริ่มต้นที่30ล้านบาท และค่าอีเว้นเริ่มต้นที่200,000-300,000บาท

เบิร์ด ธงชัย

เรียบเรียงโดย DPSNews

ขอบคุณข้อมูลจาก พันทิป

ฮือฮา! ภาพยนตร์ไทยเรื่อง….กำลังโด่งดังในต่างประเทศ 10กว่าประเทศซื้อลิขสิทธิ์ไปแล้ว


วันนี้DPSNews จะมาทำเสนอเกี่ยวกับภาพยนตร์ไทยทีดังในไทยเเละต่างประเทศ นั่นก็คือเรื่อง “ฉลาดเกมส์โกง” ซึ่งตอนนี้หลาย 10 ประเทศ ได้ซื้อลิขสิทธิ์ไปเเล้ว โดยทำรายได้ทะลุร้อยล้านไปเเล้ว ข่าวดีของวงการภาพยนตร์ไทยคือ “ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง”ได้รับรางวัล “Screen International Rising Star Asia Award” หรือนักแสดงดาวรุ่งแห่งเอเชีย จากเทศกาล New York Asian Film Festival 2017 อีกด้วย ทั้งยังได้รับเลือกให้เป็นหนังเปิดเทศกาลดังกล่าว

ภาพยนตร์เรื่องแรกของปี 60 จาก GDH “ฉลาดเกมส์โกง” โดยผู้กำกับ “บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ” ห่างหายจากงานภาพยนตร์ไปกว่า 5 ปีกลับมาพร้อมเรื่องราวของเด็กฉลาดกลุ่มหนึ่งที่ใช้การสอบเป็นช่องทางในการหาเงิน

นำแสดงโดย นน-ชานน สันติธรกุล, เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธ์ภิญโญ, ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง และ อุ้ม-อิษยา ฮอสุวรรณ

เรื่องย่อ ภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง

17390827_1387016007986930_4805664037591317444_o 

ทุกครั้งที่ฝนดินสอลงกระดาษสอบ ล้วนมีความหมาย ลิน  (ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) นักเรียนสายเรียนดี เจ้าของ เกรดเฉลี่ย 4.00 ทุกปีการศึกษา แต่ด้วยการที่เธอมักจะต้องช่วยบอกข้อสอบให้กับเพื่อนซี้อย่าง  เกรซ (อิษยา ฮอสุวรรณ) นักเรียนสายกิจกรรมแต่ผลการเรียนกลับสวนทางและ พัฒน์ (ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ) เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยในและมีแนวคิดว่าเงินซื้อทุกอย่างได้แม้กระทั่งคำตอบของข้อสอบ ทำให้ ลิน ฉุกคิดธุรกิจให้ลอกข้อสอบนี้ขึ้นมาได้ และสร้างรายได้ให้เธออย่างเป็นกอบเป็นกำ  และเมื่อการสอบสุดท้ายท้าย อย่าง STIC  ใกล้เข้ามาถึง นักเรียนหลายร้อยคนต่างคาดหวังจะนำคะแนนสอบเหล่านี้เปิดทางเข้าสู่เหล่ามหาลัยชั้นนำ

17504323_1387016794653518_3341145408998551656_o

ลินจึงได้รับโจทย์ใหม่ ในการบอกข้อสอบสุดท้าทายครั้งนี้ โดยเธอตัดสินใจบินไปสอบที่ประเทศเร็วกว่าไทย เพื่อรีบนำมาบอกข้อสอบแก่เหล่าลูกค้าของเธอ โดยเธอต้องหาผู้ช่วยอย่าง  แบงค์ (นน ชานน สันตินธรกุล)  นักเรียนทุนคู่แข่ง ที่ไม่ชอบการทุจริตใดๆ  ในขณะที่เดิมพันเงินรางวัลที่สูงมากขึ้น ความยากในการโกงข้อสอบและความปลอดภัยของพวกเธอก็สูงขึ้นเช่นกัน

17436088_1387017304653467_1092366169078020359_o

ภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง กำกับโดย นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ซึ่งผลงานที่ผ่านมา ก็คือภาพยนตร์ไทยแนวใหม่อย่าง เคาท์ดาวน์ นั่นเอง

ตัวละครใน ภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง

17434603_1387016111320253_3140396395815960369_o

ลิน รับบทโดย  ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง

17436177_1387016511320213_7014049178516781382_o

เกรซ  รับบทโดย อิษยา ฮอสุวรรณ

17504629_1387016377986893_4702690851080789965_o

พัฒน์ รับบทโดย  ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ

17436045_1387016214653576_5201536110348637627_o

แบงค์ รับบทโดย  นน ชานน สันตินธรกุล

โปสเตอร์แบบคาเรกเตอร์ตัวละคร

ChalardGamesGoeng

ตัวอย่างภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง

ขอบคุณเรื่องย่อจาก http://www.metalbridges.com/chalardgamesgoeng-gdh-2017/ เรียบเรียงโดยDPSNews

ปังสุด! “น้ำตาล ชลิตา”เเละ”ฝ้าย สุภาพร” ติดโผ 20 สาวงามโลก


เรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียมของเวทีขาอ่อนโลก ที่เมื่อประกวดเสร็จสิ้นลงแล้วทุกเวที เว็บไซต์ globalbeauties จะรวบรวมสาวงามผู้เข้าประกวดระดับแกรนด์สแลมในเวทีต่างๆ ทั้งมิสยูนิเวิร์ส มิสเวิลด์ มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มิสอินเตอร์เนชั่นแนล และมิสซูปราเนชั่นแนล มาจัดอันดับตัวท็อปของวงการ

ซึ่งปีนี้ เว็บไซต์ โกลบอลบิวตี้ ได้ประกาศผลสาวงามที่ติดอันดับ ที่สุด 20 สาวงามของปี 2016 ซึ่งสาวไทยเองก็มีชื่อติดอันดับถึง 2 คน ได้แก่ ฝ้าย- สุภาพร มะลิซ้อน มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2016 รองอันดับ 2 มิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล และ น้ำตาล – ชลิตา ส่วนเสน่ห์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 ซึ่งสามารถผ่านเข้ารอบ 6 คนสุดท้ายบนเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์

และสำหรับสาวงามคนอื่นๆที่ติดอันดับ 20 คนสุดท้าย อาทิ ไอริส มิตเตอแนร์ มิสยูนิเวิร์ส 2016 จากประเทศฝรั่งเศส, อาริสกา ปูตรี เปอร์ตีวี มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล 2016 จากประเทศอินโดนีเซีย ,สเตฟานี เดล วอลเล มิสเวิลด์ 2016 จากเปอร์โต ริโก และ ศรีนิธิ เซตตี มิสซูปราเนชั่นแนล 2016 จากประเทศอินเดีย

น้ำตาล ชลิตา ส่วนเสน่ห์

ฝ้าย สุภาพร มะลิซ้อน

ที่มา https://goo.gl/4BJHVS  เรียบเรียงโดยDPSNews

เสียประตูช่วงทดเจ็บ ไทยเสมอยูเออี 1-1

ประมวลภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเซีย 12 ทีมสุดท้าย ‘ทีมชาติไทย’ 1 – 1 ‘ทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์’ วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560

ภาพจาก BBTV Channel7

ประวัติศาสตร์ ชาวจีนอพยพมาประเทศไทย ย้อนเวลากลับไปหลายร้อยปี


เมื่อครั้งสมัยสุโขทัย
ชาวจีนเริ่มเดินเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อชาวจีนมาสอนการทำเครื่องถ้วยชาม โดยเฉพาะเครื่องสังคโลก

สมัยกรุงศรีอยุธยา
ชาวจีนได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่มาก โดยส่วนมากจะมาจากตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อมาตั้งรกรากและทำการค้า

สมัยกรุงธนบุรี
เมื่อครั้นเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2310 – พ.ศ. 2312 จักรวรรดิจีนได้ถูกรุกรานโดยพม่าที่กำลังขยายแสนยานุภาพ จักรพรรดิจีนในสมัยนั้นได้ส่งกองกำลังไปปราบปรามพม่าถึง 4 ครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ฝ่ายจีนก็ได้เบนความสนใจมาที่กองทัพพม่าในอาณาจักรอยุธยา ซึ่งกำลังถูกพม่ายึดครอง ขุนพลไทยนาม “สิน” ซึ่งมีบิดาเป็นคนจีน และมารดานาม นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวสยาม ได้ใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ทำให้สามารถกอบเรา้เอกราชให้สยามได้สำเร็จ ขุนพลท่านนั้นต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แห่งกรุงธนบุรี หรือที่ชาวจีนขนามนามว่า แต้อ๊วง ด้วยความที่ว่าบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นคนจีน
เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ชาวจีนแต้จิ๋วได้เข้ามาทำการค้า และอพยพมายังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชากรชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เพิ่มขึ้นจาก 230,000 คนใน พ.ศ. 2368 เป็น 792,000 คนใน พ.ศ. 2453 และใน พ.ศ. 2475 ประชากรไทยถึง 12.2% เป็นชาวจีนโพ้นทะเล

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
การอพยพของชาวจีนยุคแรก ส่วนมากเป็นผู้ชาย อาศัยอยู่ในสำเพ็งและบริเวณใกล้เคียง เมื่อเข้ามาตั้งรกรากแล้วก็จะแต่งงานกับผู้หญิงไทย และกลายเป็นค่านิยมในสมัยนั้น ลูกหลานจากการแต่งงานข้ามเชื้อชาตินี้เรียกว่า ลูกจีน แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ กระแสการอพยพเริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงจีนอพยพเข้ามาในสยามมากขึ้น จึงทำให้การแต่งงานข้ามเชื้อชาติลดลง
การคอรัปชั่น ในรัฐบาลราชวงศ์ชิง และการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศจีน ประกอบกับการเก็บภาษีที่เอาเปรียบ ทำให้ชายชาวจีนจำนวนมากมุ่งสู่สยามเพื่อหางานและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวในประเทศจีน ขณะนั้นชาวจีนจำนวนมากต้องจำยอมขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพาะปลูกของทางการ

ในรัชสมัยปลายรัชกาลที่ 3 ประเทศไทยต้องระวังผลกระทบจากการที่ฝรั่งเศสได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และอังกฤษได้มลายูเป็นอาณานิคม ในขณะเดียวกัน ชาวจีนจากมณฑลยูนนานก็เริ่มไหลเข้าสู่ประเทศไทย กลุ่มชาวไทยชาตินิยมจากทุกระดับจึงได้เกิดความคิดต่อต้านชาวจีนขึ้น หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ ชาวจีนกุมเศรษฐกิจการค้าส่วนใหญ่ไว้ และยังได้รับอำนาจผูกขาดการค้าและรวมถึงการเป็นนายอากรเก็บภาษีซึ่งเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วย ในขณะนั้นอิทธิพลทางการค้าของชาติตะวันตกก็สูงขึ้น ทำให้พ่อค้าขาวจีนหันไปขายฝิ่นและเป็นนายอากรมากขึ้น นอกจากนี้ เจ้าของโรงสีและพ่อค้าข้าวคนกลางชาวจีนยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสยามในปีซึ่งกินเวลาเกือบ 10 ปี หลังปี พ.ศ. 2448 ด้วย

การให้สินบนขุนนาง กลุ่มอันธพาลอั้งยี่ และการเก็บภาษีอย่างกดขี่ ทั้งหมดนี้จุดประกายให้คนไทยเกลียดชังคนจีนมากขึ้น ในขณะเดียวกันอัตราการอพยพเข้าประเทศไทยก็มากขึ้น ในพ.ศ. 2453 เกือบ 10 % ของประชากรไทยเป็นชาวจีน ซึ่งผู้อพยพใหม่เหล่านี้มากันทั้งครอบครัวและปฏิเสธที่จะอยู่ในชุมชนและสังคมเดียวกับคนไทย ซึ่งต่างกับผู้อพยพยุคแรกที่มักแต่งงานกับคนไทย ซุน ยัตเซ็น ผู้นำการปฏิวัติประเทศจีน ได้เผยแพร่ความคิดให้ชาวจีนในประเทศไทยมีความคิดชาตินิยมจีนให้มากขึ้นเพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ชุมชนชาวจีนจะสนับสนุนการตั้งโรงเรียนเพื่อลูกหลานจีนโดยเฉพาะโดยไม่เรียนรวมกับเด็กไทย ในปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ชาวต่างชาติในประเทศไทยจดทะเบียนเป็นคนต่างด้าว เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องเลือกว่าจะเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์หรือจะยอมเป็นคนต่างด้าว

ชาวไทยเชื้อสายจีนจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารซึ่งเริ่มในประมาณพ.ศ. 2475 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการประกาศอาชีพสงวนของคนไทยเท่านั้น เช่น การปลูกข้าว ยาสูบ อีกทั้งประกาศอัตราภาษีและกฏการควบคุมธุรกิจของชาวจีนใหม่ด้วย
ในขณะที่มีการปลุกระดมชาตินิยมจีนและไทยขึ้นพร้อมกัน ในปี พ.ศ. 2513 ลูกหลานจีนที่เกิดในไทยมากกว่า 90 % ถือสัญชาติไทยโดยสมบูรณ์ และเมื่อมีการเจริญความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการแล้วในปี พ.ศ. 2518 ชาวจีนที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย ก็มีสิทธิที่จะเลือกที่จะถือสัญชาติไทยได้

ข้อมูลจากhttps://my.dek-d.com/mote/blog/เรียบเรียงโดยDPSNwes


“จ๊ะ อาร์สยาม” ให้กำลังใจ”ลำใย ไหทองคำ”เพราะตัวเองเคยโดนเเละผ่านจุดๆนี้มาก่อน

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปทางด้าน “จ๊ะ อาร์สยาม” หรือ “นงผณี มหาดไทย” ถึงเรื่องที่นายกฯ ติง นักร้องลูกทุ่งสาว “ลำไย ไหทองคำ” เรื่องการใส่ชุดที่วาบหวิว ซึ่ง “จ๊ะ” ถือว่าเป็นนักร้องลูกทุ่งอีกหนึ่งคนที่เกิดมากจากกระแสการใส่ชุดและท่าเต้นที่เซ็กซี่ จนตอนนี้กลายเป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง นักร้องลูกทุ่งสาว เผยว่า เมื่อก่อนตนก็แต่งตัวเซ็กซี่มาก ตั้งแต่ตอนเป็น จ๊ะ คันหู เพราะเราเป็นนักร้องวง น้องลำไยก็เหมือนกัน น้องมาจากหมอลำซิ่ง ส่วนมากหมอลำซิ่งจะแต่งตัวแบบนี้อยู่แล้ว แต่พอเขาดังปุ๊บ จะมีข่าวเข้ามาเยอะ เวลาเป็นข่าวคนจะให้ความสนใจ ถ้าเป็นเพลงช้ายืนเฉยๆ มันจะไม่เป็นข่าว แต่ถ้าเป็นท่าเต้นแปลกๆ ยกขาเด้ง จะเป็นข่าวทันที เวลาตนเห็นน้องก็เป็นกันเองดี เขาใส่กางเกงยีนส์ขาสั้นธรรมดาที่ใส่กัน เสื้อสายเดี่ยวสีดำ มีเสื้อยีนส์คลุม อันนี้เท่าที่เราเห็นน้องแต่งตัว ตนมองว่าน้องเป็นหมอลำซิ่ง มองว่าปกติสำหรับหมอลำซิ่งส่วนมากจะเต้นกันแบบนี้ ภาคอีสานหมอลำซิ่งจะเต้นและแต่งตัวแบบนี้

นักร้องลูกทุ่งสาวกล่าวต่อว่า “จริงๆแล้วหนูว่าน้องแต่งตัวซอฟต์นะ ซอฟต์กว่าตอนแรกๆของเขา ตอนนี้เขาเริ่มทำให้มีคาแรกเตอร์ใส่ขาสั้นเสื้อยีนส์ ประเด็นคือน้องดัง พอน้องดังมันก็เลยเป็นกระแสเป็นที่สนใจ พอดังปุ๊บหลายอย่างมันเข้ามา ว่าไม่เหมาะสมนะอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างหนูตอนที่เป็นจ๊ะ คันหู เราไม่ได้สนใจหรอก เราก็รู้สึกว่าฉันก็เป็นนักร้องวงธรรมดาคนหนึ่ง ใครจะมองว่าฉันดังยังไง แต่ฉันก็เป็นแค่นักร้องวง ได้ค่าตัวแค่พันห้า ตอนเป็นจ๊ะ คันหู อยู่วงเทอร์โบไปเล่นชั่วโมงหนึ่ง มันไม่ใช่คอนเสิร์ตของจ๊ะ พอเราก้าวมาใช้ชีวิตของเราจริงๆ แบบจ๊ะโดดๆ คนเริ่มสนใจเรามากขึ้น ยิ่งตอนนี้เราเข้าอาร์สยามชุดหนูจะซอฟต์หมดเลย เป็นชุดเต็มตัว ไม่มีเอวลอย กางเกงขาสั้นปกติ เพราะว่ามีเด็กดูเราเยอะ หนูจะไม่เล่นทะลึ่ง จะไม่เด้า แต่จะเป็นแดนเซอร์ที่เล่นแทน

อย่างน้องถ้าจะให้หนูแนะนำ คือตอนนี้น้องดัง น้องก็น่ารัก คนจะโฟกัสที่น้องเยอะ ฉะนั้นน้องก็ให้แดนเซอร์เป็นคนเต้น เป็นคนเล่น จริงๆเพลงของน้องที่ดัง ผู้สาวขาเลาะ ไม่ได้ดังมาจากท่าเต้น มันดังมาจากเพลง มุมมองของหนูถ้าน้องคิดว่าจะแก้ไข คือให้เป็นแดนเซอร์เต้น เล่นแทน หนูว่าคนอีสานเขามองปกติ เพราะว่าหมอลำซิ่งจะเป็นแบบนี้หมดเลย อย่างหนูคนภาคกลางบ้านนอกก็จะมองหนูปกติ วงดนตรีจะเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราอยู่ในมุมรวมของประเทศ เพราะว่ามันมีคนหลายกลุ่ม เราจะทำยังไงให้กลุ่มเป้าหมายคนดูยังรับเราได้อยู่ และคนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายยังเห็นว่าเราปรับปรุงนะ”

ถามต่อส่วนตัวส่วนของจ๊ะ เจ้าภาพต้องการให้แต่งตัวเซ็กซี่เอาใจคนดูด้วยไหม นักร้องสาวตอบว่า “ส่วนมากเจ้าภาพจะเป็นแบบนั้นหมดเลย เรื่องจริงเลย เราดังมาจากอะไรล่ะ ถามว่าคนไทยสนใจอะไร อย่างที่หนูไปเล่น เจ้าภาพจะบอกว่าขอชุดเซ็กซี่ๆนะน้องจ๊ะ แต่หนูจะถามเลยว่าเซ็กซี่คือขนาดไหน ตั้งแต่ตอนอยู่วงเทอร์โบ เป็นจ๊ะ คันหู เลยมั้ย ขนาดนั้นหนูไม่ได้นะ ทุกวันนี้ชุดในเอ็มวีเต็มที่แค่นั้น หนูเกินนั้นไม่ได้ ลิมิตของหนูมันชัดเจนคือในเอ็มวี หนูโชคดีที่หนูมีค่าย มันเหมือนเป็นเกราะให้หนู คนจะมาลวนลามมันไม่มี แต่อย่างน้องไม่ได้อยู่ค่ายใหญ่ เราเคยเป็นมาก่อนมัน เพราะฉะนั้นน้องต้องเซฟตัวเอง ต้องดูแลตัวเองให้มากๆ เพราะว่าหน้าเวทีเราไม่รู้ว่าใครจะมาเล่นอะไรตอนไหน ที่สำคัญน้องเพิ่งดัง บางทีน้องเหมือนหนูตอนเป็น จ๊ะ คันหู เราไม่ได้คิดอะไรหรอก เราก็ร้อง เล่น ตามปกติเหมือนชีวิตเรา เมื่อก่อนที่เราอยู่วงดนตรี

ซึ่งชีวิตจริงเราไม่ได้เป็นคนแบบนี้สักหน่อย เราคิดแบบนี้ เราก็ร้องปกติ ทำไมต้องมาด่าเราด้วย แต่พออยู่ไปนานๆเราจะรู้ อย่างหนูอยู่มาสักพักจะรู้แล้วว่า อ๋อ ที่เราโดนด่าแบบนี้เพราะมันไม่ใช่กลุ่มเดียว ไม่ใช่คนบ้านนอกบ้านเราอย่างเดียวที่ดูเราอยู่ มันเป็นกลุ่มกว้างทั้งประเทศ น้องต้องยอมรับตอนนี้น้องดังมาก เพราะฉะนั้นทำอะไรนิดหน่อยก็เป็นข่าวแล้ว น้องต้องพยายามจะเล่นอะไรบนเวทีต้องคิด จะเล่นอะไรที่ใกล้กับคน ภาพดูล่อแหลม เราต้องคิดเดี๋ยวนี้โลกโซเชียลมันแรง ก็ต้องเจอกันครึ่งทาง จ๊ะเป็นคนชง อีกครึ่งหนึ่งให้แดนเซอร์เล่น”

ผู้สื่อข่าวถามต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเราแค่ไหน เพราะเราเองก็เกิดมาจากจุดนี้มาก่อน จ๊ะ อาร์สยาม ตอบว่า “เข้าใจเลย ตอนนี้หนูก็โดน น้องโดน หนูก็โดน คนก็มาเปรียบเทียบกับจ๊ะ ไม่อยากพูดถึงคนเหล่านั้น เพราะมันผ่านมานานแล้ว ภาพทุกวันนี้หนูโอเคปกติแล้วนะ เป็นนักร้องลูกทุ่งเซ็กซี่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ก็มีคนมองย้อนกลับไปที่คันหู สิ่งที่หนูทำดีคุณก็ไม่มองกัน หนูปล่อยวาง ไม่อ่าน ถ้าหนูบอกน้องว่าอย่าไปอ่านอย่าไปสนใจ เดี่ยวหนูก็โดนดราม่าอีก ก็ไม่กล้าพูดแบบนั้น ก็เป็นกำลังใจให้น้องดีกว่า สุดท้ายแล้วเวลาจะพิสูจน์เรา คนล้านคนไม่มีคนเข้าใจเราหมดหรอก สิบคนในทีมงานเรายังไม่เข้าใจเราทั้งหมดเลย เราต้องเป็นกำลังใจให้ตัวเราเอง และครอบครัวของเราค่ะ”

ลำไย ไหทองคำ

 ข้อมูลจาก ข่าวสด เรีบเรียงโดยDPSNews

น่ายกย่อง! นักศึกษาสู้ชีวิต จบชีววิทยาคนแรก 4.00 ตลอดหลักสูตร (รายละเอียดด้านใน)


ปิดประวัติสุดยอดนักศึกษาจากจังหวัดอุบลราชธานี อทิตา เสนาใหญ่ ที่ทำผลคะแนนเรียนที่เรียกได้ว่าเก่งจนน่าชื่นชม มาดูประวัติของเธอกันเลย

“ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเดินตามฝันตนเองได้” จากชีวิตเด็กสาวบ้านนอกธรรมดาที่มีฐานะยากจน พ่อแม่รับจ้างทั่วไป แต่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการศึกษา “อทิตา เสนาใหญ่” หรือ เอม สอบทุนเรียนดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยได้ เรียน ป.ตรี-โทและเอก เดินทางไกลกว่า 100 กม. จากอำเภอเขมราฐ เข้าศึกษาที่สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จบ ป.ตรี ด้วยผลการเรียน 4.00 ตลอดหลักสูตร นับว่าบัณฑิตรุ่นแรกของสาขา ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับสถาบัน พร้อมขึ้นแท่นว่าที่บัณฑิตเกียรตินิยม อันดับ 1 ซึ่จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ปีการศึกษา 2559 ในช่วงปลายปี 2560 นี้

นางสาวอทิตา เสนาใหญ่ หรือ เอม ว่าที่บัณฑิตเกียรตินิยม 4.00 ตลอดหลักสูตร กล่าวว่า ตนเป็นคนภูมิลำเนาอยู่ที่ บ้านหนองผือ ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรสาวคนที่ 2 ในบรรดาพี่น้อง 3 คนของคุณพ่อสุวรรณ และคุณแม่คำพัน เสนาใหญ่ อายุ 56และ 59 ปีอาชีพทำนา และรับจ้างทั่วไป ด้วยฐานะทางบ้านยากจน หลังจบมัธยมศึกษาตอนปลายที่ โรงเรียนเขมราฐพิทยาคม อยากเรียนต่อในมหาวิทยาลัย สำหรับตนแล้วมันคือโอกาสสำคัญของชีวิต จบ ม.6 แม่พูดว่า “แม่คึจะมีเงินส่งเรียนน้อลูก”…คำพูดนี้ จึงทำให้ตนเลือกตัดสินใจมองหาแหล่งทุนการศึกษาที่สามารถส่งเรียนจนจบ ป.ตรีได้ เพียงแค่อยากแบ่งเบาภาระครอบครัว จึงเลือกสอบและได้รับทุนจากโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ (ทุนเรียนดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย) ให้เรียนต่อระดับปริญญาตรี-โท และเอก แม้จะได้รับทุนในการศึกษา ที่มีทุนให้ในค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งค่าลงทะเบียน ค่าใช้จ่ายรายเดือน ซึ่งมีให้จำนวนจำกัด จึงทำให้ครอบครัวต้องขายที่นาที่มีอยู่ เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับลูกๆ ซึ่งน้องสาวตนก็ได้ทุน จากสภากาชาดไทย เรียนที่คณะพยาบาลศาสตร์ ที่วิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย

ด้วยคุณพ่อเรียนจบเพียงชั้น ป.4 แม่เรียน กศน. แต่ท่านก็มีความตั้งใจที่จะส่งลูกเรียนให้สูงสุด เท่าที่กำลังความสามารถของตน ทดแทนสิ่งที่ขาดหายในวัยเด็กของท่าน แม้จะมีทุนการศึกษาให้ ดูแลจ่ายค่าต่างๆ อาทิ ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าหนังสือ และรวมถึงค่าทำงานวิจัย แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายนอกเหนือที่เกิดขึ้น เช่นที่พักรายเดือน เป็นต้น พ่อกับแม่จึงตัดสินใจขายผืนนาสุดท้ายของครอบครัวที่มีอยู่ เพื่อเป็นทุนการศึกษาสำรองให้กับลูกๆ ทั้งนี้ พ่อก็ยังต้องทำงานหนัก รับจ้างทั่วไปหาเลี้ยงครอบครัวตามกำลังที่มีอยู่เพียงแค่อยากเห็นความสำเร็จของลูก ส่วนแม่สุขภาพไม่แข็งแรง ไม่สบายบ่อยจึงพักรักษาตัวที่บ้าน เอม อทิตา กล่าวพร้อมน้ำตาซึมอาบสองแก้มเอม อทิตา บอกต่อว่า ตนเลือกสอบทุนเรียนดีวิทยาศาสตร์ เนื่องจากสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์ และเพื่อเป็นการลดภาระของครอบครัว ซึ่งพ่อกับแม่ท่านก็อายุมากแล้ว จริงๆ แล้วก็สนใจเรียนด้านเภสัชศาสตร์ แต่พอดูค่าเรียนค่อนข้างสูง จึงตัดสินใจเรียนด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่ง ตอน ม.ปลาย ตนมีโอกาสเข้าค่าย สอวน. รักวิทยาศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ภาคภูมิใจที่ได้เรียนที่ ม.อุบลฯ สาขาชีววิทยา เป็นรุ่นแรกเปิดรับสมัครนักศึกษาสาขาชีววิทยา เรียนที่นี่สะดวกสบาย ใกล้บ้าน การเรียนการสอนที่อบอุ่นดังครอบครัว

ความภาคภูมิใจในเบื้องต้นในวันนี้ คือการสำเร็จการศึกษา จบตามหลักสูตร ไม่คิดว่าจะได้ผลการเรียนที่สูงสุด 4.00 ตลอดหลักสูตร อย่างไรก็แล้วแต่ความสำเร็จในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณ คุณครู และคณาจารย์ทุกท่าน ที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์ในทุกระดับ ขอบคุณครอบครัว พ่อกับแม่ที่ทำให้ลูกมีวันนี้ พร้อมเป็นกำลังใจด้วยดีมาโดยตลอด พ่อบอกเสมอว่าให้ลูกเป็นคนดีของสังคม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด และตั้งใจเรียน เชื่อมั่นในการตัดสินใจของลูกและสอนเสมอว่าถ้ามีความเชี่ยวชาญในสายงานที่ตนเรียนมา อย่างไรก็มีงานทำแน่นอน เอม อทิตา เสนาใหญ่ กล่าว

ข้อมูลจาก https://feedclip.blogspot.com/2017/06/400.html เรียบเรียงโดยDPSNews

How to unlock Facebook’s new Pride reaction


You may have noticed a new reaction popping up on your Facebook timeline this week.

To celebrate Pride Month, Facebook is now allowing users to react to posts using a Pride flag during the month of June.

“We believe in building a platform that supports all communities,” the company said on its LGBTQ@Facebook page. “So, we’re celebrating love and diversity this Pride by giving you a special reaction to use during Pride Month.”

To unlock the reaction, simply like the LGBTQ@Facebook Page. The reaction will then be available on desktop and mobile versions of Facebook.

By liking the page, users also have access to a new “frame” they can add to their Facebook profile photo.

The Pride reaction is not the first time the social media giant has added a new reaction. Facebook added a “thankful” purple flower reaction that was only available for a limited time for Mother’s Day.