ประมวลภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเซีย 12 ทีมสุดท้าย ‘ทีมชาติไทย’ 1 – 1 ‘ทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์’ วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560
ภาพจาก BBTV Channel7
ประมวลภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเซีย 12 ทีมสุดท้าย ‘ทีมชาติไทย’ 1 – 1 ‘ทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์’ วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560
ภาพจาก BBTV Channel7
เมื่อครั้งสมัยสุโขทัย
ชาวจีนเริ่มเดินเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อชาวจีนมาสอนการทำเครื่องถ้วยชาม โดยเฉพาะเครื่องสังคโลก
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ชาวจีนได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่มาก โดยส่วนมากจะมาจากตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อมาตั้งรกรากและทำการค้า
สมัยกรุงธนบุรี
เมื่อครั้นเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2310 – พ.ศ. 2312 จักรวรรดิจีนได้ถูกรุกรานโดยพม่าที่กำลังขยายแสนยานุภาพ จักรพรรดิจีนในสมัยนั้นได้ส่งกองกำลังไปปราบปรามพม่าถึง 4 ครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ฝ่ายจีนก็ได้เบนความสนใจมาที่กองทัพพม่าในอาณาจักรอยุธยา ซึ่งกำลังถูกพม่ายึดครอง ขุนพลไทยนาม “สิน” ซึ่งมีบิดาเป็นคนจีน และมารดานาม นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวสยาม ได้ใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ทำให้สามารถกอบเรา้เอกราชให้สยามได้สำเร็จ ขุนพลท่านนั้นต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แห่งกรุงธนบุรี หรือที่ชาวจีนขนามนามว่า แต้อ๊วง ด้วยความที่ว่าบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นคนจีน
เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ชาวจีนแต้จิ๋วได้เข้ามาทำการค้า และอพยพมายังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชากรชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เพิ่มขึ้นจาก 230,000 คนใน พ.ศ. 2368 เป็น 792,000 คนใน พ.ศ. 2453 และใน พ.ศ. 2475 ประชากรไทยถึง 12.2% เป็นชาวจีนโพ้นทะเล
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
การอพยพของชาวจีนยุคแรก ส่วนมากเป็นผู้ชาย อาศัยอยู่ในสำเพ็งและบริเวณใกล้เคียง เมื่อเข้ามาตั้งรกรากแล้วก็จะแต่งงานกับผู้หญิงไทย และกลายเป็นค่านิยมในสมัยนั้น ลูกหลานจากการแต่งงานข้ามเชื้อชาตินี้เรียกว่า ลูกจีน แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ กระแสการอพยพเริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงจีนอพยพเข้ามาในสยามมากขึ้น จึงทำให้การแต่งงานข้ามเชื้อชาติลดลง
การคอรัปชั่น ในรัฐบาลราชวงศ์ชิง และการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศจีน ประกอบกับการเก็บภาษีที่เอาเปรียบ ทำให้ชายชาวจีนจำนวนมากมุ่งสู่สยามเพื่อหางานและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวในประเทศจีน ขณะนั้นชาวจีนจำนวนมากต้องจำยอมขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพาะปลูกของทางการ
ในรัชสมัยปลายรัชกาลที่ 3 ประเทศไทยต้องระวังผลกระทบจากการที่ฝรั่งเศสได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และอังกฤษได้มลายูเป็นอาณานิคม ในขณะเดียวกัน ชาวจีนจากมณฑลยูนนานก็เริ่มไหลเข้าสู่ประเทศไทย กลุ่มชาวไทยชาตินิยมจากทุกระดับจึงได้เกิดความคิดต่อต้านชาวจีนขึ้น หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ ชาวจีนกุมเศรษฐกิจการค้าส่วนใหญ่ไว้ และยังได้รับอำนาจผูกขาดการค้าและรวมถึงการเป็นนายอากรเก็บภาษีซึ่งเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วย ในขณะนั้นอิทธิพลทางการค้าของชาติตะวันตกก็สูงขึ้น ทำให้พ่อค้าขาวจีนหันไปขายฝิ่นและเป็นนายอากรมากขึ้น นอกจากนี้ เจ้าของโรงสีและพ่อค้าข้าวคนกลางชาวจีนยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสยามในปีซึ่งกินเวลาเกือบ 10 ปี หลังปี พ.ศ. 2448 ด้วย
การให้สินบนขุนนาง กลุ่มอันธพาลอั้งยี่ และการเก็บภาษีอย่างกดขี่ ทั้งหมดนี้จุดประกายให้คนไทยเกลียดชังคนจีนมากขึ้น ในขณะเดียวกันอัตราการอพยพเข้าประเทศไทยก็มากขึ้น ในพ.ศ. 2453 เกือบ 10 % ของประชากรไทยเป็นชาวจีน ซึ่งผู้อพยพใหม่เหล่านี้มากันทั้งครอบครัวและปฏิเสธที่จะอยู่ในชุมชนและสังคมเดียวกับคนไทย ซึ่งต่างกับผู้อพยพยุคแรกที่มักแต่งงานกับคนไทย ซุน ยัตเซ็น ผู้นำการปฏิวัติประเทศจีน ได้เผยแพร่ความคิดให้ชาวจีนในประเทศไทยมีความคิดชาตินิยมจีนให้มากขึ้นเพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ชุมชนชาวจีนจะสนับสนุนการตั้งโรงเรียนเพื่อลูกหลานจีนโดยเฉพาะโดยไม่เรียนรวมกับเด็กไทย ในปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ชาวต่างชาติในประเทศไทยจดทะเบียนเป็นคนต่างด้าว เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องเลือกว่าจะเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์หรือจะยอมเป็นคนต่างด้าว
ชาวไทยเชื้อสายจีนจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารซึ่งเริ่มในประมาณพ.ศ. 2475 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการประกาศอาชีพสงวนของคนไทยเท่านั้น เช่น การปลูกข้าว ยาสูบ อีกทั้งประกาศอัตราภาษีและกฏการควบคุมธุรกิจของชาวจีนใหม่ด้วย
ในขณะที่มีการปลุกระดมชาตินิยมจีนและไทยขึ้นพร้อมกัน ในปี พ.ศ. 2513 ลูกหลานจีนที่เกิดในไทยมากกว่า 90 % ถือสัญชาติไทยโดยสมบูรณ์ และเมื่อมีการเจริญความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการแล้วในปี พ.ศ. 2518 ชาวจีนที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย ก็มีสิทธิที่จะเลือกที่จะถือสัญชาติไทยได้
ข้อมูลจากhttps://my.dek-d.com/mote/blog/เรียบเรียงโดยDPSNwes
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปทางด้าน “จ๊ะ อาร์สยาม” หรือ “นงผณี มหาดไทย” ถึงเรื่องที่นายกฯ ติง นักร้องลูกทุ่งสาว “ลำไย ไหทองคำ” เรื่องการใส่ชุดที่วาบหวิว ซึ่ง “จ๊ะ” ถือว่าเป็นนักร้องลูกทุ่งอีกหนึ่งคนที่เกิดมากจากกระแสการใส่ชุดและท่าเต้นที่เซ็กซี่ จนตอนนี้กลายเป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง นักร้องลูกทุ่งสาว เผยว่า เมื่อก่อนตนก็แต่งตัวเซ็กซี่มาก ตั้งแต่ตอนเป็น จ๊ะ คันหู เพราะเราเป็นนักร้องวง น้องลำไยก็เหมือนกัน น้องมาจากหมอลำซิ่ง ส่วนมากหมอลำซิ่งจะแต่งตัวแบบนี้อยู่แล้ว แต่พอเขาดังปุ๊บ จะมีข่าวเข้ามาเยอะ เวลาเป็นข่าวคนจะให้ความสนใจ ถ้าเป็นเพลงช้ายืนเฉยๆ มันจะไม่เป็นข่าว แต่ถ้าเป็นท่าเต้นแปลกๆ ยกขาเด้ง จะเป็นข่าวทันที เวลาตนเห็นน้องก็เป็นกันเองดี เขาใส่กางเกงยีนส์ขาสั้นธรรมดาที่ใส่กัน เสื้อสายเดี่ยวสีดำ มีเสื้อยีนส์คลุม อันนี้เท่าที่เราเห็นน้องแต่งตัว ตนมองว่าน้องเป็นหมอลำซิ่ง มองว่าปกติสำหรับหมอลำซิ่งส่วนมากจะเต้นกันแบบนี้ ภาคอีสานหมอลำซิ่งจะเต้นและแต่งตัวแบบนี้
นักร้องลูกทุ่งสาวกล่าวต่อว่า “จริงๆแล้วหนูว่าน้องแต่งตัวซอฟต์นะ ซอฟต์กว่าตอนแรกๆของเขา ตอนนี้เขาเริ่มทำให้มีคาแรกเตอร์ใส่ขาสั้นเสื้อยีนส์ ประเด็นคือน้องดัง พอน้องดังมันก็เลยเป็นกระแสเป็นที่สนใจ พอดังปุ๊บหลายอย่างมันเข้ามา ว่าไม่เหมาะสมนะอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างหนูตอนที่เป็นจ๊ะ คันหู เราไม่ได้สนใจหรอก เราก็รู้สึกว่าฉันก็เป็นนักร้องวงธรรมดาคนหนึ่ง ใครจะมองว่าฉันดังยังไง แต่ฉันก็เป็นแค่นักร้องวง ได้ค่าตัวแค่พันห้า ตอนเป็นจ๊ะ คันหู อยู่วงเทอร์โบไปเล่นชั่วโมงหนึ่ง มันไม่ใช่คอนเสิร์ตของจ๊ะ พอเราก้าวมาใช้ชีวิตของเราจริงๆ แบบจ๊ะโดดๆ คนเริ่มสนใจเรามากขึ้น ยิ่งตอนนี้เราเข้าอาร์สยามชุดหนูจะซอฟต์หมดเลย เป็นชุดเต็มตัว ไม่มีเอวลอย กางเกงขาสั้นปกติ เพราะว่ามีเด็กดูเราเยอะ หนูจะไม่เล่นทะลึ่ง จะไม่เด้า แต่จะเป็นแดนเซอร์ที่เล่นแทน
อย่างน้องถ้าจะให้หนูแนะนำ คือตอนนี้น้องดัง น้องก็น่ารัก คนจะโฟกัสที่น้องเยอะ ฉะนั้นน้องก็ให้แดนเซอร์เป็นคนเต้น เป็นคนเล่น จริงๆเพลงของน้องที่ดัง ผู้สาวขาเลาะ ไม่ได้ดังมาจากท่าเต้น มันดังมาจากเพลง มุมมองของหนูถ้าน้องคิดว่าจะแก้ไข คือให้เป็นแดนเซอร์เต้น เล่นแทน หนูว่าคนอีสานเขามองปกติ เพราะว่าหมอลำซิ่งจะเป็นแบบนี้หมดเลย อย่างหนูคนภาคกลางบ้านนอกก็จะมองหนูปกติ วงดนตรีจะเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราอยู่ในมุมรวมของประเทศ เพราะว่ามันมีคนหลายกลุ่ม เราจะทำยังไงให้กลุ่มเป้าหมายคนดูยังรับเราได้อยู่ และคนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายยังเห็นว่าเราปรับปรุงนะ”
ถามต่อส่วนตัวส่วนของจ๊ะ เจ้าภาพต้องการให้แต่งตัวเซ็กซี่เอาใจคนดูด้วยไหม นักร้องสาวตอบว่า “ส่วนมากเจ้าภาพจะเป็นแบบนั้นหมดเลย เรื่องจริงเลย เราดังมาจากอะไรล่ะ ถามว่าคนไทยสนใจอะไร อย่างที่หนูไปเล่น เจ้าภาพจะบอกว่าขอชุดเซ็กซี่ๆนะน้องจ๊ะ แต่หนูจะถามเลยว่าเซ็กซี่คือขนาดไหน ตั้งแต่ตอนอยู่วงเทอร์โบ เป็นจ๊ะ คันหู เลยมั้ย ขนาดนั้นหนูไม่ได้นะ ทุกวันนี้ชุดในเอ็มวีเต็มที่แค่นั้น หนูเกินนั้นไม่ได้ ลิมิตของหนูมันชัดเจนคือในเอ็มวี หนูโชคดีที่หนูมีค่าย มันเหมือนเป็นเกราะให้หนู คนจะมาลวนลามมันไม่มี แต่อย่างน้องไม่ได้อยู่ค่ายใหญ่ เราเคยเป็นมาก่อนมัน เพราะฉะนั้นน้องต้องเซฟตัวเอง ต้องดูแลตัวเองให้มากๆ เพราะว่าหน้าเวทีเราไม่รู้ว่าใครจะมาเล่นอะไรตอนไหน ที่สำคัญน้องเพิ่งดัง บางทีน้องเหมือนหนูตอนเป็น จ๊ะ คันหู เราไม่ได้คิดอะไรหรอก เราก็ร้อง เล่น ตามปกติเหมือนชีวิตเรา เมื่อก่อนที่เราอยู่วงดนตรี
ซึ่งชีวิตจริงเราไม่ได้เป็นคนแบบนี้สักหน่อย เราคิดแบบนี้ เราก็ร้องปกติ ทำไมต้องมาด่าเราด้วย แต่พออยู่ไปนานๆเราจะรู้ อย่างหนูอยู่มาสักพักจะรู้แล้วว่า อ๋อ ที่เราโดนด่าแบบนี้เพราะมันไม่ใช่กลุ่มเดียว ไม่ใช่คนบ้านนอกบ้านเราอย่างเดียวที่ดูเราอยู่ มันเป็นกลุ่มกว้างทั้งประเทศ น้องต้องยอมรับตอนนี้น้องดังมาก เพราะฉะนั้นทำอะไรนิดหน่อยก็เป็นข่าวแล้ว น้องต้องพยายามจะเล่นอะไรบนเวทีต้องคิด จะเล่นอะไรที่ใกล้กับคน ภาพดูล่อแหลม เราต้องคิดเดี๋ยวนี้โลกโซเชียลมันแรง ก็ต้องเจอกันครึ่งทาง จ๊ะเป็นคนชง อีกครึ่งหนึ่งให้แดนเซอร์เล่น”
ผู้สื่อข่าวถามต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเราแค่ไหน เพราะเราเองก็เกิดมาจากจุดนี้มาก่อน จ๊ะ อาร์สยาม ตอบว่า “เข้าใจเลย ตอนนี้หนูก็โดน น้องโดน หนูก็โดน คนก็มาเปรียบเทียบกับจ๊ะ ไม่อยากพูดถึงคนเหล่านั้น เพราะมันผ่านมานานแล้ว ภาพทุกวันนี้หนูโอเคปกติแล้วนะ เป็นนักร้องลูกทุ่งเซ็กซี่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ก็มีคนมองย้อนกลับไปที่คันหู สิ่งที่หนูทำดีคุณก็ไม่มองกัน หนูปล่อยวาง ไม่อ่าน ถ้าหนูบอกน้องว่าอย่าไปอ่านอย่าไปสนใจ เดี่ยวหนูก็โดนดราม่าอีก ก็ไม่กล้าพูดแบบนั้น ก็เป็นกำลังใจให้น้องดีกว่า สุดท้ายแล้วเวลาจะพิสูจน์เรา คนล้านคนไม่มีคนเข้าใจเราหมดหรอก สิบคนในทีมงานเรายังไม่เข้าใจเราทั้งหมดเลย เราต้องเป็นกำลังใจให้ตัวเราเอง และครอบครัวของเราค่ะ”
ลำไย ไหทองคำ
ข้อมูลจาก ข่าวสด เรีบเรียงโดยDPSNews
ปิดประวัติสุดยอดนักศึกษาจากจังหวัดอุบลราชธานี อทิตา เสนาใหญ่ ที่ทำผลคะแนนเรียนที่เรียกได้ว่าเก่งจนน่าชื่นชม มาดูประวัติของเธอกันเลย
“ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเดินตามฝันตนเองได้” จากชีวิตเด็กสาวบ้านนอกธรรมดาที่มีฐานะยากจน พ่อแม่รับจ้างทั่วไป แต่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการศึกษา “อทิตา เสนาใหญ่” หรือ เอม สอบทุนเรียนดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยได้ เรียน ป.ตรี-โทและเอก เดินทางไกลกว่า 100 กม. จากอำเภอเขมราฐ เข้าศึกษาที่สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จบ ป.ตรี ด้วยผลการเรียน 4.00 ตลอดหลักสูตร นับว่าบัณฑิตรุ่นแรกของสาขา ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับสถาบัน พร้อมขึ้นแท่นว่าที่บัณฑิตเกียรตินิยม อันดับ 1 ซึ่จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ปีการศึกษา 2559 ในช่วงปลายปี 2560 นี้
นางสาวอทิตา เสนาใหญ่ หรือ เอม ว่าที่บัณฑิตเกียรตินิยม 4.00 ตลอดหลักสูตร กล่าวว่า ตนเป็นคนภูมิลำเนาอยู่ที่ บ้านหนองผือ ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรสาวคนที่ 2 ในบรรดาพี่น้อง 3 คนของคุณพ่อสุวรรณ และคุณแม่คำพัน เสนาใหญ่ อายุ 56และ 59 ปีอาชีพทำนา และรับจ้างทั่วไป ด้วยฐานะทางบ้านยากจน หลังจบมัธยมศึกษาตอนปลายที่ โรงเรียนเขมราฐพิทยาคม อยากเรียนต่อในมหาวิทยาลัย สำหรับตนแล้วมันคือโอกาสสำคัญของชีวิต จบ ม.6 แม่พูดว่า “แม่คึจะมีเงินส่งเรียนน้อลูก”…คำพูดนี้ จึงทำให้ตนเลือกตัดสินใจมองหาแหล่งทุนการศึกษาที่สามารถส่งเรียนจนจบ ป.ตรีได้ เพียงแค่อยากแบ่งเบาภาระครอบครัว จึงเลือกสอบและได้รับทุนจากโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ (ทุนเรียนดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย) ให้เรียนต่อระดับปริญญาตรี-โท และเอก แม้จะได้รับทุนในการศึกษา ที่มีทุนให้ในค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งค่าลงทะเบียน ค่าใช้จ่ายรายเดือน ซึ่งมีให้จำนวนจำกัด จึงทำให้ครอบครัวต้องขายที่นาที่มีอยู่ เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับลูกๆ ซึ่งน้องสาวตนก็ได้ทุน จากสภากาชาดไทย เรียนที่คณะพยาบาลศาสตร์ ที่วิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย
ด้วยคุณพ่อเรียนจบเพียงชั้น ป.4 แม่เรียน กศน. แต่ท่านก็มีความตั้งใจที่จะส่งลูกเรียนให้สูงสุด เท่าที่กำลังความสามารถของตน ทดแทนสิ่งที่ขาดหายในวัยเด็กของท่าน แม้จะมีทุนการศึกษาให้ ดูแลจ่ายค่าต่างๆ อาทิ ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าหนังสือ และรวมถึงค่าทำงานวิจัย แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายนอกเหนือที่เกิดขึ้น เช่นที่พักรายเดือน เป็นต้น พ่อกับแม่จึงตัดสินใจขายผืนนาสุดท้ายของครอบครัวที่มีอยู่ เพื่อเป็นทุนการศึกษาสำรองให้กับลูกๆ ทั้งนี้ พ่อก็ยังต้องทำงานหนัก รับจ้างทั่วไปหาเลี้ยงครอบครัวตามกำลังที่มีอยู่เพียงแค่อยากเห็นความสำเร็จของลูก ส่วนแม่สุขภาพไม่แข็งแรง ไม่สบายบ่อยจึงพักรักษาตัวที่บ้าน เอม อทิตา กล่าวพร้อมน้ำตาซึมอาบสองแก้มเอม อทิตา บอกต่อว่า ตนเลือกสอบทุนเรียนดีวิทยาศาสตร์ เนื่องจากสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์ และเพื่อเป็นการลดภาระของครอบครัว ซึ่งพ่อกับแม่ท่านก็อายุมากแล้ว จริงๆ แล้วก็สนใจเรียนด้านเภสัชศาสตร์ แต่พอดูค่าเรียนค่อนข้างสูง จึงตัดสินใจเรียนด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่ง ตอน ม.ปลาย ตนมีโอกาสเข้าค่าย สอวน. รักวิทยาศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ภาคภูมิใจที่ได้เรียนที่ ม.อุบลฯ สาขาชีววิทยา เป็นรุ่นแรกเปิดรับสมัครนักศึกษาสาขาชีววิทยา เรียนที่นี่สะดวกสบาย ใกล้บ้าน การเรียนการสอนที่อบอุ่นดังครอบครัว
ความภาคภูมิใจในเบื้องต้นในวันนี้ คือการสำเร็จการศึกษา จบตามหลักสูตร ไม่คิดว่าจะได้ผลการเรียนที่สูงสุด 4.00 ตลอดหลักสูตร อย่างไรก็แล้วแต่ความสำเร็จในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณ คุณครู และคณาจารย์ทุกท่าน ที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์ในทุกระดับ ขอบคุณครอบครัว พ่อกับแม่ที่ทำให้ลูกมีวันนี้ พร้อมเป็นกำลังใจด้วยดีมาโดยตลอด พ่อบอกเสมอว่าให้ลูกเป็นคนดีของสังคม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด และตั้งใจเรียน เชื่อมั่นในการตัดสินใจของลูกและสอนเสมอว่าถ้ามีความเชี่ยวชาญในสายงานที่ตนเรียนมา อย่างไรก็มีงานทำแน่นอน เอม อทิตา เสนาใหญ่ กล่าว
ข้อมูลจาก https://feedclip.blogspot.com/2017/06/400.html เรียบเรียงโดยDPSNews
You may have noticed a new reaction popping up on your Facebook timeline this week.
To celebrate Pride Month, Facebook is now allowing users to react to posts using a Pride flag during the month of June.
“We believe in building a platform that supports all communities,” the company said on its LGBTQ@Facebook page. “So, we’re celebrating love and diversity this Pride by giving you a special reaction to use during Pride Month.”
To unlock the reaction, simply like the LGBTQ@Facebook Page. The reaction will then be available on desktop and mobile versions of Facebook.
By liking the page, users also have access to a new “frame” they can add to their Facebook profile photo.
The Pride reaction is not the first time the social media giant has added a new reaction. Facebook added a “thankful” purple flower reaction that was only available for a limited time for Mother’s Day.
สถานีวิทยุซีอาร์ไอรายงานว่า กระทรวงทรัพยากรที่ดินของจีนแถลงข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า จีนประสบความสำเร็จในการทดลองขุดเจาะน้ำแข็งที่เผาไหม้ให้พลังงานเชื้อเพลิงได้ที่ทะเลจีนใต้ ทำให้จีนเป็นประเทศที่สามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้จากการทดลองขุดเจาะ “น้ำแข็งเชื้อเพลิง” จากก้นทะเลลึกได้ต่อเนื่องนานที่สุดของโลก
น้ำแข็งที่เผาไหม้ได้” Combustible ice ชื่อทางวิชาการคือ Gas hydrate พลังงานชนิดใหม่ที่สะอาดประสิทธิภาพสูง แถมมีปริมาณสำรองที่มากมายมหาศาล เป็นเชื้อเพลิงแข็งที่มีลักษณะคล้ายก้อนน้ำแข็ง ที่เกิดจากแปรสภาพของก๊าซธรรมชาติและน้ำภายใต้เงื่อนไขที่มีความดันสูงและอุณหภูมิต่ำมาก เป็นเชื้อเพลิงรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง เมื่อพูดถึงก้อนน้ำแข็งที่เผาไหม้ได้ บางคนคงนึกถึงก้อนพลังงานจากภาพยนตร์เรื่อง “ทรานฟอร์เมอร์ส(TRANSFORMERS)” ที่แม้มีปริมาณเพียงน้อยนิด แต่สามารถให้พลังงานได้มากมายเหลือเชื่อ โดยก้อนน้ำแข็งเชื้อเพลิงขนาด 1 ลูกบาศก์เมตร สามารถคายก๊าซธรรมชาติออกมาได้กว่า 160 ลูกบาศก์เมตร
ประสิทธิภาพสูงขนาดไหน ลองมาเปรียบเทียบกันดู รถยนต์ที่ใช้ก๊าสธรรมชาติเป็นพลังงาน เติม100 ลิตร วิ่งได้ระยะทาง 300 กิโลเมตร แต่ถ้าเติม “น้ำแข็งที่เผาไหม้ได้” 100 ลิตร จะวิ่งได้ระยะทางเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 160 เท่า หรือเกือบ 50,000 (ห้าหมื่นกิโลเมตร)
ปริมาณสำรองมีมากแค่ไหน เฉพาะในน่านน้ำของจีน ปริมาณสำรองที่สำรวจพบแล้ว มีประมาณ 80,000 ล้านตัน คำนวณเคร่า ๆ สามารถสนองแก่ประเทศจีนได้ 180 ปี
ปี 2013 ญี่ปุ่นเคยทดลองขุดเจาะน้ำแข็งเชื้อเพลิงจากก้นทะเลเป็นเวลา 6 วัน แต่ต้องหยุดทำเพราะมีโคลนทรายเข้าไปอุดตันท่อส่ง จึงได้ก๊าซธรรมชาติไปเพียง 120,000 ลูกบาศก์เมตร กล่าวได้ว่า การขุดเจาะน้ำแข็งเชื้อเพลิงเป็นโจทย์ที่ยากระดับโลก
การทดลองขุดเจาะน้ำแข็งเชื้อเพลิงใต้ทะเลของจีนนั้น ได้ดำเนินการต่อเนื่องเกิน 1 สัปดาห์แล้ว ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติต่อวันโดยเฉลี่ยมีกว่า 10,000 ลูกบาศก์เมตร และมียอดการผลิตเกิน 120,000 ลูกบาศก์เมตรแล้ว
ทั้งนี้ ทั่วโลกมีปริมาณ “น้ำแข็งเชื้อเพลิง” ทั้งหมดราว 2,100 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร โดยมี 97% อยู่ใต้ก้นทะเลลึก ปริมาณนี้ราว 2 เท่าของถ่านหิน น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่มนุษยชาติพบในปัจจุบัน เท่ากับว่าปริมาณน้ำแข็งเชื้อเพลิงทั่วโลกนี้มีมากเพียงพอให้มนุษยชาติใช้ได้นานถึง 1,000 ปี และเป็นที่น่ายินดียิ่งว่า การเผาน้ำแข็งเชื้อเพลิงที่ให้ก๊าซธรรมชาตินี้ จะไม่เหลือกากหรือเศษที่ต้องกำจัดด้วย นักวิทยาศาสตร์ด้านพลังงานจึงยกย่องให้ “น้ำแข็งเชื้อเพลิง” เป็นพลังงานสะอาดแห่งอนาคต
ขอบคุณสำนักข่าวCRI เรียบเรียงโดยDPSNews
เหตุนี้เกิดขึ้นเมื่อ 30 กว่าปีก่อน บนถนนใน กทม. มีรถคันหนึ่ง ได้ขับไปบนถนนเส้นนั้นโดยในรถคันดังกล่าว มีเพียงชายผู้หนึ่งที่กำลังขับรถอยู่เพียงคนเดียวและในระหว่างทางที่ขับไปนั้น
พระเจ้าอยู่หัว ทรงติดไฟแดง ชายดังกล่าวได้จอดรถแวะข้างทางเพื่อซื้อกาแฟ 1 ถุง และได้ออกรถไปจนกระทั่งขับมาถึงสี่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง ชายดังกล่าวก็ได้จอดติดไฟแดงอยู่ จนมีรถตำรวจคันหนึ่งซึ่งขับนำรถเบนซ์มาได้บีบแตรไล่รถที่ชายผู้นั้นจอดติดไฟแดงอยู่นั้นให้ถอยไป
…และรถตำรวจยังได้พูดผ่านไซเรนว่า นี่เป็นรถนำขบวนรัฐมนตรี ให้รถของชายดังกล่าวหลบไป แต่รถของชายผู้นั้นก็ไม่หลบให้ จนกระทั่งตำรวจได้ลงจากรถมาที่รถของชายดังกล่าวและเรียกให้ชายผู้นั้นลงจากรถ พอชายผู้นั้นได้ลงมาจากรถ ตำรวจที่ได้เห็นชายคนนั้นถึงกลับเป็นลมล้มทั้งยืน สร้างความตกใจให้แก่ตำรวจอีกคนที่นั่งอยู่ในรถ จนต้องวิ่งลงมาดูพร้อมกับรัฐมนตรี พอตำรวจและรัฐมนตรีมาถึง ทั้งคู่ได้เห็นชายดังกล่าว ทั้งตำรวจและรัฐมนตรีได้นั่งลงไปกับพื้นทันที เสมือนกับว่าขาทั้งสองข้างได้อ่อนแรงลงไปทันใด
…และได้เงยหน้ามองดูชายซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าตนด้วยอาการตัวสั่น ชายคนนั้นที่ทั้งคู่ได้เห็น เป็นชายที่มีรูปอยู่บนธนบัตร คือ ในหลวงองค์ปัจจุบันนั่นเอง
ในหลวงได้ตรัสถามรัฐมนตรีและตำรวจติดตามว่า
“พวกท่านจะรีบไปไหนหรือถึงกับจะต้องฝ่าไฟแดงข้าพเจ้ายังรอติดไฟแดงได้เลย” รัฐมนตรีไม่ตอบได้แต่นั่งตัวสั่นและกราบลงบนพระบาทและในหลวงก็ได้ทรงขึ้นรถ ตำรวจที่นำขบวนรัฐมนตรีมานั้นก็ได้ทูลว่า “ให้ข้าพระพุทธเจ้าขับรถนำรถพระที่นั่งของพระองค์ไปมั้ยพุทธเจ้าข้า”
ในหลวงตรัสว่า “เราไม่ต้องการให้ท่านมานำขบวนรถเราหรอก เราขับไปเองคนเดียวได้ ท่านไปนำรถของท่านรัฐมนตรีเถอะ” และในหลวงก็ได้ทรงขับรถออกไปจากสี่แยกนั้น โดยไม่ได้มีรถตำรวจนำไปแต่อย่างใดเลย“
ข้อคิด ที่ได้จากเรื่องนี้ แม้ทรงเป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่ก็ทรงเคารพระเบียบวินัย และกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างที่ถูกต้องให้ประชาชนได้ปฎิบัติตาม เพื่อความมีวินัยของจราจรบนท้องถนน
“ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
ข้าราชบริพารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาท
(ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเหตุการดังกล่าว)
ทีมา : gooza.com
Facebook rolled out several features allowing its users to celebrate LGBTQ Pride Month in June, including features for Instagram and Messenger.
Vice president and executive sponsor of pride@facebook Alex Schultz listed all of the social network’s Pride Month features in a Newsroom post, writing:
As Pride celebrations begin around the world, Facebook is proud to support our diverse community, including those that have identified themselves on Facebook as gay, lesbian, bisexual, transgender or gender nonconforming. In fact, this year, over 12 million people across the globe are part of one of the 76,000 Facebook groups in support of the LGBTQ community, and more than 1.5 million people plan to participate in one of the more than 7,500 Pride events on Facebook.
Here are the details on Pride Month features on Facebook, Instagram and Messenger:
Pride-themed profile picture frames (pictured above) on Facebook, with users potentially seeing messages atop their News Feeds prompting them to create those frames. In addition, users who react to those messages may see special animations, also at the top of their News Feeds.
A limited-edition Pride rainbow Reaction.
Pride-themed masks and frames in Facebook Camera, which can be accessed by swiping to the left of News Feed and clicking on the magic wand.
As announced last week, Instagram introduced special Pride month stickers for Instagram Stories and a rainbow brush editing tool.
Messenger Camera will offer Pride-themed stickers, frames and effects.
Schultz concluded:
Last year, for the first time ever, we began publicly sharing self-reported data around our LGBTQ community at Facebook. In a recent, voluntary survey of our employees in the U.S. about sexual orientation and gender identity, to which 67 percent responded, 7 percent self-identified as being lesbian, gay, bisexual, queer, transgender or asexual. We are proud to support the LGBTQ community, and while more work still remains, we are eager to be active partners going forward.
cr. http://www.adweek.com/digital/facebook-lgbtq-pride-month-2017-features/
The social media network announced in a post on Friday, “We believe in building a platform that supports all communities. So we’re celebrating love and diversity this Pride by giving you a special reaction.”
June is traditionally when LGBTQ people across the world celebrate Pride. The rainbow flag takes on a poignant tone this year, though: Gilbert Baker, the activist who created the rainbow flag in 1978 at Harvey Milk’s request, died in March 2017. He described himself as “the gay Betsy Ross,” according to his New York Times obituary.
According to Facebook, it’s available for all of Pride Month.
And people, especially LGBTQ people, were a bit confused.
หลังจากทางFacebook มีการเพิ่มรีเเอ็กชั่นปุ่มถูกใจใหม่ โดยเป็นรูปสายรุ้ง เเต่หลายๆคนยังไม่สามารถทำได้นั้น วันนี้ทาง DPSNews จะมาสอนวิธีการทำง่ายนิดเดียวๆ
ขั้นเเรกเลยง่ายนิดเดียว เเค่กดถุกใจเเฟนนี้ เเค่นี้ก็จะได้ไลค์สายรุ้งกันมาใช้เเล้ว
ใครยังไม่ขึ้น ลองเข้าเฟสออกใหม่นะครับ ทำง่ายไหมละ เเค่นี้ก็ได้เเล้ว ลองทำดูนะครับ เเชร์กันต่อๆไป
ขอบคุณรูปจาก Thitirath Kinaret