10 วิธีสุดเริ่ด!! บอกลาผิวแตกลายงา ให้ผิวกลับมาสวยเนียนกริบ !

ผิวแตกลายงา ใครได้เป็นก็ไม่มั่นใจกันทุกคน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยนี้ เกิดจากการที่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังของเราฉีกขาดค่ะ อาจมีสาเหตุมาจากการขยาย เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือการออกกำลังกายที่ต้องยืดร่างกายมากๆ ก็สามารถทำให้เกิดรอยเหล่านี้ได้
รอยผิวแตกลายงา ไม่ได้มีผลกระทบเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายแต่อย่างใด แต่กระทบต่อความมั่นใจของสาวๆ ได้โดยตรง สรุปเทรนดี้เลยมีวิธีขจัดรอบผิแตกลายงา ซึ่งเป็นวิธีที่ทำเองได้ที่บ้าน ไม่ยุ่งยาก และเห็นผลอย่างแน่นอนทีเดียวเชียวล่ะ พูดมาซะขนาดนี้แล้ว เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามีวิธีไหนบ้างที่ทำให้ผิวแตกลายงาของเราจางหายไปในที่สุด !

1. น้ำมันละหุ่ง


นำน้ำมันละหุ่งมาทาบริเวณผิวที่แตกลาย จากนั้นก็ค่อยๆ นวดเบาๆ ประมาณ 5-10 นาที จากนั้นใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ นำมาวางทาบในบริเวณที่นวด แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นก็เช็ดทำความสะอาดให้เรียบร้อยค่ะ


สำหรับวิธีแก้ปัญหาผิวแตกลายด้วยน้ำมันละหุ่งนั้น ขอแนะนำว่าคุณควรทำซ้ำได้ทุกวัน จนกว่ารอยผิวแตกลายจะค่อยๆลดเลือน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน จึงจะสามารถเห็นผลที่ชัดเจน… ใช้เวลาหน่อยแต่อย่าเพิ่งท้อไปก่อนนะคะ

2. ว่านหางจระเข้


ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติในการฟื้นฟู และซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ
โดยนำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกออก ล้างจนเหลือแต่วุ้นขาวๆ แล้วนำมาทาลงไปบริเวณที่มีปัญหาผิวแตกลาย ทิ้งไว้ 10-15 นาที ทำเป็นประจำทุกเช้าเย็น แล้วผิวที่แตกลายก็จะค่อยๆจางลงไปในที่สุดค่ะ

3. ไข่ขาว


นำไข่ขาว 2 ฟองมาคนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาทาบริเวณที่แตกลายงา ทิ้งไว้จนไข่ขาวแห้ง จากนั้นนำน้ำเย็นล้างออก โดยอาจทาน้ำมันละหุ่งหลังจากทำความสะอาดผิวแล้วก็ได้ เพราะจะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นและลดรอยแตกลายงาได้อย่างมีประสทธิภาพอีกด้วยค่า

4. น้ำมะนาว


นำสำลีชุบน้ำมะนาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นผิวแตกลาย ทำเป็นประจำทุกวัน กรดในน้ำมะนาวจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทั้งยังช่วยให้บริเวณผิวหนังที่แตกลายค่อยๆจางลงอีกด้วย

5. น้ำตาล


นำน้ำตาลผสมกับน้ำมันอัลมอนด์และน้ำมะนาว โดยผสมในสัดส่วนที่พอเหมาะ คืออย่าให้เหลวหรือแห้งจนเกินไป จากนั้นนำมาขัดเบาๆบริเวณผิวที่แตกลาย แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง แค่นี้รอยแตกลายงาก็จะค่อยๆจางไปค่ะ

6. มันฝรั่ง


นำมันฝรั่งสดมา 1 หัว แล้วปอกเปลือก และล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำมันฝรั่งที่ได้ไปบดให้ละเอียด แล้วนำมาทาบลงบริเวณผิวหนังที่แตกลาย ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า หมั่นทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

7. หญ้าอัลฟัลฟ่า


นำหญ้าอัลฟัลฟ่า มาบดให้ละเอียดแล้วผสมเข้ากับน้ำมันดอกคาโมมายด์ประมาณ 2 หยด จากนั้นนำมาทาบริเวณที่เป็นรอยแตกลายงา ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง รับรองว่ารอยแตกลายจะค่อยๆจางหายไปในไม่ช้าค่ะ

8. โกโก้บัตเตอร์


นำโกโก้บัตเตอร์ผสมเข้ากับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา จากนั้นนำมาทาบริเวณผิวที่แตกลายงา ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง จะทำให้ผิวชุ่มชื่นและช่วยผลัดเซลล์ผิวบริเวณที่แตกลายงาได้อีกด้วยนะคะ

9. น้ำมันมะกอก


นำน้ำมันมะกอก ผสมกับน้ำส้มสายชู และน้ำเปล่า จากนั้นนำมานวดวนๆ บริเวณผิวที่แตกลายงา ใช้เหมือนเป็นครีมทาผิวก่อนนอนเลยค่ะ เพราะในช่วงเวลาที่เราหลับ น้ำมันจะค่อยๆ ซึมเข้าไปในชั้นผิว และเป็นตัวช่วยที่ดีในการสมานรอยแตกลายงาค่ะ

10. น้ำเปล่า


ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว และหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ โซดา รวมถึง น้ำอัดลมทั้งหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำในปรืมาณที่ต้องการทั้งยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น ทั้งยังเป็นการบำรุงผิวจากภายในอีกด้วยค่ะ
รู้แล้วก็อย่าลืมไปลองทำตามกันดูนะคะ รับประกันความดีงามแน่นอน… หมั่นทำเป็นประจำทุกวันรับรองได้ว่าผิวของสาวๆ จะกลับมาสวยงามเช้งกระเด๊ะเหมือนเดิมจ้าา!!

ขอบคุณบทความ saroop

ความรู้ต้องอ่าน!! สร้างบ้านเสร็จแล้ว ตกแต่งบ้านอย่างไรให้บ้านเย็นไปตลอดชีวิต

เราเป็นเมืองร้อน ดังนั้นควรศึกษาหลักการออกแบบและตกแต่งบ้านอย่างไรให้บ้านเย็นสบาย ไม่เก็บความร้อนสำหรับใครที่สร้างบ้านและตกแต่งเสร็จแล้ว อาจทำโน่นทำนี่เสริมได้เช่นติดผ้าม่าน ติดฉนวนกันความร้อน ฯลฯ แต่ถ้าจะให้ดี
การจะทำให้บ้านของเราเย็นคงต้องเริ่มตั้งแต่การออกแบบและตกแต่งบ้านเลย

Sanook! Home จึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการตกแต่งบ้านตั้งแต่การเลือกวัสดุ เฟอร์นิเจอร์ จัดวางข้าวของในบ้านเอาไว้ให้เผื่อใครสร้างบ้านและอยู่ในขั้นตอนการตกแต่งว่าควรมีหลักการอย่างไรบ้าง

1.ติดตั้งพัดลมระบายอากาศ ถือเป็นการลงทุนที่ไม่สูงเลยสำหรับการติดตั้งพัดลมระบายอากาศให้กับห้องบางห้องที่ไม่มีอากาศถ่ายเทเพราะห้องๆ นั้นจะมีความร้อนสะสมมาก

2.ก่อนจะติดตั้งเครื่องปรับอากาศแต่ละห้องให้คำนวณขนาดของห้องว่าเหมาะสมกับเครื่องปรับอากาศหรือเปล่า เพราะถ้าเลือกเครื่องปรับอากาศไม่เหมาะสมจะทำให้เกิดการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

3.เวลาจะเลือกเฟอร์นิเจอร์ในบ้านให้เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่น้ำหนักเบา ออกแบบในลักษณะโปร่ง และโทนสีอ่อน เพราะเฟอร์นิเจอร์ที่มีโครงสร้างและมีน้ำหนักจะสะสมความร้อนพร้อมฝุ่น

4.การบิวท์อินเฟอร์นิเจอร์ให้เป็นส่วนเดียวกับผนังห้อง หรือผนังบ้านจะเป็นเหมือนเกราะช่วยป้องกันความร้อนจากภายนอกได้

5.การนำต้นไม้มาปลูกในบริเวณบ้านจะช่วยให้ร่มเงาและป้องกันแสงแดดให้กับตัวบ้าน ทำให้บ้านเย็น

 

6.เลือกใช้ธรรมชาติมาเป็นพื้นที่ด้านนอก สำหรับพื้นที่บางส่วนภายในบริเวณบ้านแทนที่เราจะใช้คอนกรีตอาจเปลี่ยนเป็นการปลูกพืชคลุมดินแทน

7.เพื่อให้ลมพัดผ่านเข้าไปภายในบริเวณบ้านได้สะดวก และทำให้อากาศไหลเวียนเป็นอย่างดี เวลาคิดจะสร้างรั้วบ้านควรเลือกรั้วบ้านแบบโปร่ง

ขอบคุณที่มาจาก : sanook 

เรียบเรียงโดย : DPSNews

ที่ดินไม่มีโฉนด ต้องอ่าน!!! กรมที่ดินประกาศรังวัดครั้งใหญ่ 30 จังหวัด พื้นที่ใดบ้าง เช็คเลย

อาจจะยังคงเป็นปัญหาสำหรับประชาชนหลายๆครัวเรือนเลยทีเดียวค่ะ สำหรับกรณีของ ที่ดินที่อยู่อาศัยหรือที่ครอบครองอยู่ แต่กลับไม่มีโฉนดเป็นหลักฐานในการครอบครอง ซึ่งอาจจะทำให้มีปัญหาทางคดีความในภายภาคหน้า และยังคงมีหลายครัวเรือนที่ยังไม่มีโฉนดที่ดิน

ล่าสุด เฟซบุ๊กเพจชื่อ ทนายคู่ใจ ได้ออกมาแจ้งข่าวดี เมื่อกรมที่ดินมีประกาศที่จะทำการรังวัดที่ดิน เพื่อออกโฉนดที่ดิน โดยทางเพจได้ระบุว่า

“กรมที่ดินประกาศรังวัดครั้งใหญ่ ที่ดินใครยังไม่มีโฉนด ตามจังหวัดที่มีรายชื่อนี้ ให้สอบถามสำนักงานที่ดินท้องที่ได้เลยครับ ฝากแชร์ด้วยครับ !!”

เราไปดูแบบเต็มๆชัดๆกันดีกว่าค่ะ

ทั้งนี้หลังจากได้เผยแพร่ออกไปได้มีประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ทนายคู่ใจ เเละ ntbdays.com

อย่ารอช้า! ใช้สิทธิประกันสังคม ตรวจสุขภาพประจำปีฟรี ไปใช้สิทธิ์กันเถอะ

ด้วยความที่ทำงานเป็นลูกจ้าง-มนุษย์เงินเดือน ก็เลยขอถือโอกาสนี้ย้ำเตือนทุกท่านถึงสิทธิประโยชน์จากเงินประกันสังคมที่เราและนายจ้างของเราร่วมกันสมทบส่งเงินเข้ากองทุนกันทุกเดือน นั่นคือ การตรวจสุขภาพประจำปี ฟรี!

เราจะมาดูกันว่า มีรายการอะไรบ้างที่ผู้ประกันตนสามารถใช้บริการได้ และการรักษาทางทันตกรรม หรือค่าทำฟัน ซึ่งตั้งแต่ปีที่แล้ว สำนักงาน”ประกันสังคมประกันสังคมเพิ่มวง”เงิน”และสามารถรักษาฟรีตามวงเงิน โดยไม่ต้องสำรองจ่ายไปก่อน เหมือนอดีตที่ผ่านมา

มาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า มีรายการอะไรบ้าง? ที่ผู้ประกันตนสามารถใช้บริการได้ และการรักษาทางทันตกรรม หรือค่าทำฟัน ซึ่งตั้งแต่ปีที่แล้ว สำนักงานประกันสังคมเพิ่มวงเงิน และสามารถรักษาฟรีตามวงเงิน โดยไม่ต้องสำรองจ่ายไปก่อน เหมือนอดีตที่ผ่านมาแล้วค่ะ


1. การตรวจสุขภาพประจำปี ฟรี

ผู้ประกันตนสามารถใช้บริการในสถานพยาบาลที่ผู้ประกันตนได้เลือกใช้สิทธิ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพียงยื่นบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาล (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2561 สามารถใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียวเท่านั้น) ณ สถานพยาบาลตามที่ผู้ประกันตนเลือกไว้

สำหรับการตรวจสุขภาพประจำปีนั้น จะมีการตรวจร่างกายของผู้ประกันตนตามหมวดหมู่ และแบ่งตามกลุ่มอายุ ดังนี้

ตรวจร่างกายตามระบบ คือ

1. การคัดกรองการได้ยิน (Finger Rub Test) อายุ 15 ปีขึ้นไป ตรวจได้ 1 ครั้งต่อปี

2. การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุข

-อายุ 30-39 ปี ตรวจทุก 3 ปี
-อายุ 40-54 ปี ตรวจได้ทุกปี
-อายุ 55 ปีขึ้นไป ตรวจตามความเสี่ยง

3. การตรวจตาโดยความดูแลของจักษุแพทย์

-อายุ 40-54 ปี ตรวจ 1 ครั้งต่อปี
-อายุ 55 ปีขึ้นไป ตรวจทุก ๆ 1-2 ปี

4. การตรวจวัดสายตาด้วยสาย Snellen Eye Chart อายุ 55 ปีขึ้นไป ตรวจ 1 ครั้งต่อปี

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Lab) มีดังนี้

1. ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด CBC

-อายุ 18-54 ปี ตรวจได้ 1 ครั้ง
-อายุ 55-70 ปี ตรวจ 1 ครั้งต่อปี

2. ตรวจปัสสาวะ UA อายุ 55 ปีขึ้นไป ตรวจ 1 ครั้งต่อปี

3. ตรวจน้ำตาลในเลือด FBS

-อายุ 35-54 ปี ตรวจทุก 3 ปี
-อายุ 55 ปีขึ้นไป ตรวจ 1 ครั้งต่อปี

4. การทำงานของไต Cr อายุ 55 ปีขึ้นไป ตรวจ 1 ครั้งต่อปี

5.ไขมันในเส้นเลือดชนิด Total & HDL Cholesterol อายุ 20 ปีขึ้นไป ตรวจทุก 5 ปี

การตรวจอื่น ๆ มีดังนี้

1.เชื้อไวรัสตับอักเสบ HB sAg ตรวจได้ 1 ครั้ง

2.มะเร็งปากมดลูกแบบ Pap Smear

-อายุ 30-54 ปี ตรวจทุก 3 ปี
-อายุ 55 ปีขึ้นไป ตรวจตามความเหมาะสม

3. ตรวจมะเร็งปากมดลูกวิธี VIA อายุ 30-54 ปีขึ้นไป ตรวจทุก 5 ปี

4. ตรวจเลือดในอุจจาระ FOBT อายุ 50 ปีขึ้นไป ตรวจ 1 ครั้งต่อปี

5. การเอ็กซ์เรย์ทรวงอก Chest X–ray อายุ 15 ปีขึ้นไป ตรวจ 1 ครั้งต่อปี

2. การรักษาทางทันตกรรม

เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา มีการเพิ่มค่ารักษาทางทันตกรรมเป็น 900 บาทต่อปี โดยผู้ประกันตนสามารถทำฟันฟรี โดยไม่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้าตามกรอบวงเงิน 900 บาทได้ ในโรงพยาบาลเอกชน 535 แห่ง และโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ

คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ ขอเชิญชวนให้ทุกท่านไปใช้สิทธิตรวจสุขภาพประจำปีกันอย่างน้อยปีละครั้ง จะได้มีเรี่ยวแรงมาทำงานที่เรารักกันต่อไปนะค่ะ!!!

ที่มา : สำนักงานประกันสังคม เเละ bestrdnews.com

“ลุงเชย วัดมะกอก” ศพโบราณสุดเฮี้ยน ให้โชคลาภ?

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ !! สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ค้นพบ ศพโบราณ “ลุงเชย วัดมะกอก สุดเฮี้ยนให้โชคให้ลาภชาวบ้านมาแล้วนักต่อนัก เซียนหวย นักเสี่ยงโชคทั่วทุกสาระทิศมาได้มาลองเสี่ยงโชค รวมไปถึงยังเป็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนให้ความนับถือ วัดมะกอกหรือวัดอภัยทายาราม นั้นเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในถนนพญาไท ย่านอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งมีป่าช้าอยู่ท้ายวัด ปัจจุบันวัดนี้อายุก็ราวๆ 100 กว่าปีแล้ว

และป่าช้าเก่าแก่แห่งนี้ มีศพคนโบราณมากมาย ซึ่งเฮี้ยนมาก! จนกระทั่งมีคนพบศพ ลุงเชย โดยร่างกายของลุงเชยนั้นไม่เน่าเปื่อย จึงนำศพของลุงเชยมาทำการขอขมาทำพิธีอาบน้ำศพและจัดแต่งกายให้ลุงเชยเสียใหม่ ส่วนชื่อลุงเชยนั้น ชาวบ้านเรียกกันหลังพบศพ เพราะเชื่อว่าเป็นศพคนโบราณเพราะมีความสูงถึง 2 เมตร และมีผู้คนมากราบไหว้ นี่คือที่มาคราวๆจากที่ชาวบ้านเล่าต่อๆกันมา ส่วนความศักดิ์สิทธิ์ยืนยันกันว่า แม่นและเฮี้ยนมากเลยทีเดียว

ทำให้ชาวบ้านย่านวัดมะกอกต่างก็ร่ำลือกัน จนผู้คนจากทั่วสารทิศที่ทราบข่าวก็มากราบไหว้ มาดูให้เห็นด้วยตาของตัวเอง พร้อมกับได้ขอโชคขอลาภกันด้วย ร่ำลือกันว่าให้โชคให้ลาภมาแล้วนักต่อนัก ชาวบ้านแห่บูชากราบไหว้ แถมยังเจอเรื่องเหลือเชื่อและปาฏิหาริย์มานับไม่ถ้วน เคยมีกลุ่มวัยรุ่นมาลองดี ต้องเจอดีเต็มๆ มีชายแก่เข้าฝันบอกว่า “พวกเอ็งมาลบหลู่ข้า!” ทำเอาจับไข้กันไป ร้อนจนต้องมาขอขมากันยกใหญ่

จนมีคนมาบนกับลุงเชยว่าหากถูกหวยจะปรับปรุงศาลาติดกระจกครอบกันของหายให้ ปรากฏว่าถูกเลขเข้าจังๆ เขาเลยมาปรับปรุงศาลาให้ ปัจจุบัน ศพลุงเชย อยู่ในศาลามีกระจกครอบ ให้คนมากราบไหว้ ซึ่งคนนำของมาเซ่นไหว้มากมาย

และก็ยังมีอีกหลายๆคนที่เดินทางมาจากสถานที่ไกลๆจากต่างจังหวัดบ้าง มาขอหวยขอโชคกับลุงเชย แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แล้วบุญวาสนาของแต่ละคน หากจะเสี่ยงโชคควรใช้วิจารณญาณ ขอให้ทุกคนโชคดี

ขอบคุณที่มา : sanook

‘น้องเมย์’ สุดยอด! เขี่ยอากาเนะร่วงรอบชิง 2-1 เกม ผ่านเข้าชิงแบดฯมาเลย์

การแข่งขันแบดมินตัน รายการ เปอโรดัว มาเลเซีย มาสเตอร์ส 2018 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ ยอดนักแบดมินตันสาวไทย มือ 1 ของไทย มือ 5 ของรายการ ลงสนามพบ อากาเนะ ยามากูชิ ชาวญี่ปุ่น มือวางอันดับ 2 ของรายการ

การแข่งขันแบดมินตันรายการ “เปอเรอดัว มาเลเซีย มาสเตอร์ 2018” ที่อาเซียตา อารีนา กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 350,000 ดอลลาร์ (ราว 11.2 ล้านบาท) ซึ่งในวันนี้เป็นชิงชัยในรอบตัดเชือก หรือรอบรองชนะเลิศ

โดยคู่ที่น่าสนใจในประเภทหญิงเดี่ยว “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ มือวางอันดับ 5 ของรายการจากไทย โคจรมาพบกับคู่ปรับเก่า อากาเนะ ยามากูชิ เต็ง 2 ของรายการจากญี่ปุ่น ซึ่งคู่เพิ่งพบกับมาในรอบตัดเชือก ซุปเปอร์ซีรีส์ ไฟนอลส์ 2017 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และเป็น อากาเนะ ที่เอาชนะไปได้แบบหืดจับ

เริ่มเกมแรก เป็น อากาเนะที่ทำได้ดีกว่าเล็กน้อยในช่วงแรก อาศัยลูกเหนียว และตบท้ายคอร์ตที่หนักหน่วง ออกนำไปก่อน 11-9 จากนั้น “น้องเมย์” เริ่มแก้ข้อผิดพลาดได้ ก่อนทำคะแนนพลิกขึ้นไปแซง 17-14 จากนั้น รัชนก เริ่มมั่นใจ ผสมกับ อากาเนะ มีลูกผิดพลาดเยอะ ทำให้ รัชนก เอาชนะไป 21-15 พร้อมกับขึ้นนำ 1-0 เกม

เกมสอง เกมเป็นไปอย่างสูสี แต่เป็น “น้องเมย์” ชิงจังหวะได้ดีกว่า ทำคะแนนขึ้นนำไปก่อน 11-9 จากนั้น อากาเนะ อาศัยรับเหนียว ให้น้องเมย์ ตีผิดพลาดเอง ทำคะแนน แซงขึ้นนำ 13-12 ก่อนจะเอาชนะไปในที่สุด 21-16 กลับมาเสมอกันที่ 1-1 เกม ต้องไปตัดสินกันที่เกมสุดท้าย

เกมสุดท้าย เป็นไปอย่างสูสี ทั้งสองฝ่ายต่างรับเหนียว และตีผิดพลาดเองน้อยมาก ก่อนมาเสมอกันที่ 11-11 จากนั้นทั้งสองฝ่ายผลัดกันนำมาโดยตลอดกก่อนสกอร์มาเสอมอีกครั้งที่ 19-19 น้องเมย์ ออกมาตีด้วยความมั่นใจ ก่อนเอาชนะไปในที่สุด 21-19 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปพบกับ ไถ้ ซื้อ หยิง มือหนึ่งของรายการ จากไต้หวัน ที่เอาชนะ คาโรลิน่า มาริน มือ 4 ของรายการ จาก สเปน 2-1 เกม

สรุปผล รัชนก อินทนนท์ ชนะ อากาเนะ ยามากูชิ 2-1 เกม 21-15, 16-21 และ 21-19

ขอบคุณข่าวจาก : ไทยรัฐ เเละ sanook

เรียบเรียงโดย : DPSNews

10 อันดับ คณะที่ ”ยากที่สุด” และมีเด็กซิ่วเยอะที่สุด

มีนักเรียนไทยจำนวนไม่ใช่น้อย ที่มีความพากเพียรจะสอบเข้าในสาขาแผนกที่อยากแม้กระนั้นผลปรากฏว่าสอบเข้ามิได้บางครั้งก็อาจจะด้วยเหตุผลข้อพิสูจน์ในมากมายประการ

ในเวลาเดียวกันก็มีผู้เรียนจำนวนมาก ที่ได้โอกาสเข้าศึกษาในสาขาแผนกของมหาวิทยาลัย สถาบันที่อยากได้แล้ว แม้กระนั้นไม่อาจจะจบหลักสูตรได้ด้วยบางเหตุผล ยกตัวอย่างเช่น เกรดเฉลี่ยมิได้ตามเกณฑ์เกลียดชังไม่ถนัดในสาขาวิชานั้นหรืออาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเหตุผลอื่นท้ายที่สุดจำต้องออกมาจากระบบการเรียนเพื่อไปพบลู่ทางใหม่

แล้วก็นี่เป็น 10 อันดับ คณะที่ได้โอกาสที่จะเสร็จต่ำที่สุด จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

อันดับที่ 10 เภสัชศาสตร์

อันดับที่ 9 ศิลปะศาสตร์

อันดับที่ 8  นิเทศศาสตร์

อันดับที่ 7 ได้แก่ พยาบาล

อันดับที่ 6 บริหาร(บัญชี)

อันดับที่ 5  รัฐศาสตร์

อันดับที่ 4 มนุษยศาสตร์

อันดับที่ 3  คณะวิศวะกรรมศาสตร์

อันดับที่ 2 ได้แก่ คณะเทคนิคการแพทย์

ลำดับ 1 คณะวิทยาศาสตร์ (บริสุทธิ์ เคมี ชีวะ จุล)

เรียบเรียง : DPSNews

ที่มา: dak-d

‘เคล็ดลับทำให้ผมตรงสวย’ โดยไม่ต้องยืดหรือหนีบ ให้ผมเสีย!

เส้นผมเรียบตรง นุ่มสลวย เหมือนในโฆษณาแชมพูและครีมนวดผมต่างๆ คงเป็นเส้นผมในฝันของสาวๆหลายๆคนใช่ไหมคะ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเกิดมาแล้วมีเส้นผมที่สวยงามแบบนั้น ยิ่งสาวไทยส่วนใหญ่มักจะมีเส้นผมที่หยิกหยักศกกันเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น หลายๆคนจึงหาวิธีที่จะทำให้ผมตรงสวย นั้นก็คือการไม่ยืดหรือหนีบผม ทำให้เส้นผมทั้งแห้งและเสียขึ้นไปอีก!หมักผมด้วยน้ำมะนาว + หัวกะทิ


เพียงแค่นำหัวกะทิคั้นสด 2 ถ้วยตวง ผสมให้เข้ากับ น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปแช่เย็นในช่องฟรีซ ประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อนำออกมาจากตู้เย็นจะพบว่าน้ำกะทิจะมี 2 ชั้น คือด้านบนจะมีสีขาวข้น และด้านล่างจะมีสีใสๆ ให้ใช้เฉพาะครีมสีขาวข้นที่อยู่ด้านบนชโลมให้ทั่วคีรษะ นำผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นแล้วบิดให้แห้ง แล้วมาคลุมเส้นผมทั้งหมด หมักผมทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง เสร็จแล้วล้างออกให้สะอาดและสระด้วยแชมพูตามปกติ เพียงเท่านั้นก็จะสังเกตได้ว่าผมนุ่มลื่นและตรงมากขึ้นน้ำมันมะพร้าวช่วยได้


ก่อนสระผม เพียงแค่นำน้ำมันมะพร้าวมาชโลมให้ทั่วเส้นผม หมักทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที หลังจากนั้นก็สระผมได้ตามปกติค่ะ เพียงเท่านี้สาวๆจะสังเกตได้ว่าเส้นผมนุ่มสลวยเรียบตรงขึ้น ลดอาการชี้ฟูของเส้นผม ทำให้จัดทรงได้ง่ายมากยิ่งขึ้นค่ะ

ไม่ควรมัดผมไว้นานๆ


การมัดผมนานๆ หรือ มัดผมแน่นจนเกินไปจะเป็นการทำลายเส้นผม เส้นผมหัก หรือเป็นรอยไม่ตรงสลวย ดังนั้นถ้าสาวๆอยากมีผมที่ตรงสวยควรหลีกเลี่ยงการมัดผมเป็นเวลานานและไม่ควรมัดผมแน่นจนเกินไป ควรปล่อยผมให้เหยียดตรงไปตามธรรมชาติดีกว่าค่ะ

ลองใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อผมตรงสิ


แน่นอนว่าถ้าสาวๆที่อยากมีผมเรียบตรงสวยแล้วล่ะก็ควรเลือกแชมพู ครีมนวด ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมสูตรที่ช่วยให้ผมตรง เรียบสวย นะคะ เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้ผมตรงสวยได้มากยิ่งขึ้น

เคล็ดลับง่ายๆเพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยให้สาวๆมีผมที่เรียบตรง นุ่มสลวย ได้ง่ายๆแล้วค่ะ แถมยังเป็นวิธีที่ไม่ทำร้ายเส้นผม ไม่ต้องใช้ความร้อนจากการหนีบหรือยืดที่โดนเส้นผมโดยตรง เส้นผมจึงไม่เสีย นอกจากผมจะตรงสวยแล้ว ยังดูสุขภาพดีมีน้ำหนักอีกด้วยค่ะ!

ขอบคุณบทความ gangbeauty

มัลเบอร์รี (ลูกหม่อน) สรรพคุณชัดเรื่องลดน้ำหนัก เปี่ยมวิตามินซี ต้านมะเร็งก็เริด

มัลเบอร์รี หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลูกหม่อน ผลไม้พื้นบ้านแบบไทย ๆ สุดยอดแหล่งวิตามินซี มิตรแท้คนรักสุขภาพ
เทรนด์การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ก็ยังเป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญมากพอ ๆ กับการดูแลสุขภาพและการออกกำลังกายต่าง ๆ ทำให้อาหารเพื่อสุขภาพมากมายหลายอย่างที่เราอาจจะไม่คุ้นเคยกันมาก่อนได้รับความนิยมกันมากขึ้น อย่างเช่น มัลเบอร์รี ที่อาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อกันเท่าไร แต่ในเรื่องของสรรพคุณนั้นโดดเด่นจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดอีกชนิดหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับผลไม้อย่างมัลเบอร์รี หรือที่มีชื่อเรียกอีกอย่างไทย ๆ ว่า ลูกหม่อน ลองไปดูกันสิว่าเจ้าผลไม้ชนิดนี้จะมีดีแค่ไหน และทำไมถึงเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ อยากรู้ก็ตามมาดูกันเลยค่ะ

มัลเบอร์รี คืออะไร ?

มัลเบอร์รี (Mulberry) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Morus nigra. L. เป็นหนึ่งในพืชตระกูลเบอร์รี โดยคนไทยมักจะรู้จักกันในชื่อของลูกหม่อน เนื่องจากเป็นผลของต้นหม่อนที่ใช้ในการเลี้ยงหนอนไหม อันเป็นจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมผ้าไหม โดยลักษณะของต้นหม่อน เป็นพืชยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดกลาง เนื้อไม้อ่อน เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่เขตร้อน ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบ ไม่มีหนาม แต่มียางสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม ใบมีลักษณะขอบหยัก ปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือเป็นรูปหัวใจ ผิวใบสาก ก้านใบเรียวเล็ก ดอกเป็นรูปทรงกระบอก โดยจะออกตามซอกใบและปลายยอด ผลของหม่อน หรือลูกมัลเบอร์รี มีลักษณะเป็นผลรวมทรงกระบอก สีของผลเป็นสีเขียวอ่อน แต่เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีแดงเข้ม ไปจนเกือบดำ มีรสหวานอมเปรี้ยว

ทั้งนี้ มัลเบอร์รีมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ได้แก่ มัลเบอร์รีสีขาว มัลเบอร์รีสีแดง และมัลเบอร์รีสีดำ มัลเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ โดยมัลเบอร์รี 100 กรัมมีคุณค่าทางอาหารดังนี้

12 ประโยชน์มัลเบอร์รี เด่นดีเรื่องสุขภาพ

เช่นเดียวกับญาติในตระกูลเบอร์รี มัลเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย ด้วยเพราะคุณค่าทางโภชนาการที่อัดแน่นอยู่ในผลสีเข้ม และรสชาติที่หวานอมเปรี้ยวถูกปาก อีกทั้งยังสามารถรับประทานได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบผลสด ผลอบแห้ง มัลเบอร์รีกวน หรือจะดื่มเป็นเครื่องดื่ม อย่างน้ำมัลเบอร์รี จึงทำให้มัลเบอร์รีกลายเป็นผลไม้ยอดนิยมได้ไม่ยาก เราลองไปดูกันดีกว่าว่ามัลเบอร์รีมีดียังไงกันบ้าง

1. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

อาการระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมักเป็นปัญหาของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่มัลเบอร์รีมีสรรพคุณช่วยไม่ให้น้ำตาลในเลือดเกิดการผกผันโดยจะเข้าไปชะลอการย่อยของคาร์โบไฮเดรต ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่เกิดการผกผันจนส่งผลเสียต่อร่างกาย

2. ลดคอเลสเตอรอล

คอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่อยู่ในร่างกายซึ่งจำเป็นต้องควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ เพราะหากมีมากเกินไปอาจจะทำให้เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ อาทิ โรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งการรับประทานมัลเบอร์รีสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL) และกระตุ้นการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (HDL) อีกทั้งยังช่วยลดไขมันในตับ และความเสี่ยงไขมันพอกตับได้อีกด้วยค่ะ

3. อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

มัลเบอร์รีถือเป็นพืชในตระกูลเบอร์รีที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงคุณค่า ที่ช่วยป้องกันเซลล์ต่าง ๆ จากการถูกทำลาย อันเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ และริ้วรอยที่เกิดขึ้นก่อนวัย ไม่เพียงเท่านั้น สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รียังช่วยบำรุงผิวให้ดูเนียนนุ่ม กำจัดจุดด่างดำที่เกิดขึ้นบนผิว และยังบำรุงผมให้เงางามได้อีกด้วย

4. บำรุงสมอง

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ทำการทดลองกับหนูตัวผู้ พบว่า เมื่อให้หนูทดลองที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมองกินมัลเบอร์รี หนูเหล่านั้นจะมีความจำที่ดีขึ้น และลดการเกิดภาวะออกซิเดชั่น อันเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รีก็ยังป้องกันไม่ให้เซลล์สมองถูกทำลายด้วย

5. ป้องกันโรคมะเร็ง

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าโรคมะเร็งเกิดจากภาวะความผิดปกติของเซลล์ที่เกิดจากการที่เซลล์ถูกทำลาย ซึ่งวิธีการป้องกันก็คือการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และในมัลเบอร์รีก็มีเจ้าสารนี้อยู่ไม่ใช่น้อย โดยสารเหล่านี้จะไปทำการยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง และกำจัดเซลล์มะเร็งไปพร้อม ๆ กัน นับว่าเป็นอาหารต้านมะเร็งที่ให้ผลที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

6. กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่ไม่ค่อยพบได้ง่ายในพืช แต่กลับมีในมัลเบอร์รี ซึ่งเจ้าสารชนิดนี้จะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายสามารถส่งออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ได้มากขึ้น

7. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

มัลเบอร์รีเป็นพืชที่มีสารอัลคาลอยด์ (Alkaloids) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยจะไปกระตุ้นเซลล์แมคโคเฟจ (macrophages) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคและเชื้อไวรัสที่เข้ามาในร่างกาย ส่งผลให้เราไม่ป่วยง่ายค่ะ

8. ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง

เรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารที่พบได้ในเปลือกผลไม้บางชนิด เช่น องุ่น และพืชตระกูลเบอร์รีบางชนิด และในมัลเบอร์รีก็มีอยู่ไม่น้อยเลยเชียวล่ะ ว่ากันว่าหากบริโภคอาหารที่มีสารชนิดนี้จะช่วยควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงจนเกินไป และลดความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดด้วย

9. บำรุงสายตา

ซีแซนทีนที่อยู่ในมัลเบอร์รี เป็นสารสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพดวงตา โดยสารนี้จะเข้าไปลดภาวะออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นในดวงตา ป้องกันการเกิดจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รีก็ยังช่วยให้ดวงตาใสปิ๊ง นี่ยังไม่รวมถึงวิตามินบี 1 ที่มีประโยชน์ในการบำรุงสายตาโดยตรง ดีขนาดนี้ใครจะอดใจไหว

มัลเบอร์รี

10. ช่วยในการล้างพิษ

ในแพทย์แผนจีน มัลเบอร์รีถือเป็นสมุนไพรชั้นดีที่ช่วยล้างพิษในตับ ไต และเลือด อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกาย ช่วยแก้อาการเมาค้างได้ดี คอดื่มทั้งหลายทราบแล้วต้องหามากินด่วนเลย

11. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

แคลเซียม วิตามินเค ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม ที่มีอยู่รวมกันในผลมัลเบอร์รีแบบจัดเต็ม ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อกระดูกและป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทั้งยังชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกตามวัยได้ ยิ่งถ้ารับประทานกับโยเกิร์ตละก็จะยิ่งได้แคลเซียมเพิ่มขึ้นอีกเพียบเลย

12. ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย

ปริมาณไฟเบอร์ที่ไม่เป็นรองใคร ทำให้มัลเบอร์รีเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ดีสำหรับระบบขับถ่าย ไฟเบอร์ในมัลเบอร์รีจะเข้าไปกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ และช่วยแก้ปัญหาท้องผูก อีกทั้งยังช่วยแก้ท้องอืด และจุกเสียดได้อีกด้วย

The concept of weight loss. Beautiful slender female body. Young woman in jeans large size.

ข้อควระระวังในการรับประทานมัลเบอร์รี

อย่างไรก็ตามแม้มัลเบอร์รีจะมีประโยชน์ แต่ก็ควรระมัดระวังในการรับประทาน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้มัลเบอร์รีไม่ควรรับประทานอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้อาการกำเริบ ขณะที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานก็ควรรับประทานแต่พอดี เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หากรับประทานมากเกินไปอาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตราย ทางที่ดีก่อนรับประทานควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนจะดีที่สุดค่ะ

ด้วยประโยชน์ที่อัดแน่นในผลไม้สีแดงเข้มนี้ ถ้าจะให้เรียกว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดแบบไทย ๆ ก็คงจะไม่ผิด ซึ่งในปัจจุบันก็ยังหารับประทานได้ง่าย ทั้งแบบผลสด ผลอบแห้ง น้ำผลไม้ รวมทั้งในรูปแบบอาหารเสริม ใครสะดวกรับประทานแบบไหนก็ลองหามาทานเพื่อเสริมสร้างสุขภาพกันเลย และจะยิ่งดีขึ้นไปอีกถ้าดูแลสุขภาพในด้านอื่น ๆ ไปด้วยค่ะ

ขอบคุณที่มา : kapook

เรียบเรียงโดย : DPSNews

เผย 14 “ลางบอกเหตุ” หากคุณเจอกับตัวเอง แสดงว่ากำลังจะมี “ลาภก้อนโต”

วันนี้เราจะพาไปดู ความเชื่อที่เกี่ยวกับลางบอกเหตุ แล้วลางบอกเหตุนั้นสามารถบอกได้ว่าเป็นลางดีหรือลางร้าย แต่วันนี้ที่เราเอามา จะเป็น 14 ลางบอกเหตุ ที่คุณกำลังจะเจอกับโชคลาภก้อนโตเลยที่เดียว ความเชื่อแบบนี้แล้วแต่คนจะเชื่อ มันไม่สามารถบอกได้เป็นความจริงหรือไ่ม่ เราไปดูกันเลยดีกว่า ว่าจะมีลางบอกเหตุ อะไรบ้าง


1. คนโบราณมีความเชื่อว่าถ้าจิ้งจกร้องทัก ห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด

โดยเฉพาะการเดินทางไกลอาจจะไม่ปลอดภัย โดยถ้าเสียงนั้นอยู่ด้านหลังหรือตรงศีรษะให้เลื่อนการเดินทาง แต่หากเสียงร้องทักอยู่ด้านหน้าหรือซ้ายให้เดินทางได้ จะทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นสะดวกสบาย

2. คนโบราณมีความเชื่อว่าถ้าตุ๊กแกร้องตอนกลางวันเชื่อว่าจะมีเหตุร้าย

เนื่องจากคนโบราณเชื่อว่าตุ๊กแกคือวิญญาณของปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้วมาอาศัยอยู่ คอยคุ้มครองลูกหลานจากภัยอันตรายนั่นเอง แต่ตามปกติแล้วตุ๊กแกที่อาศัยในบ้านมักจะร้องตอนกลางคืน ดังนั้นถ้าร้องตอนกลางวันถือเป็นลางบอกเหตุร้าย

3. คนโบราณมีความเชื่อว่าถ้านกแสกเกาะหลังคาบ้านจะเกิดลางร้าย

เพราะนกแสกเป็นนกที่ถือว่าให้ความอัปมงคล เนื่องจากโดยธรรมชาตินกแสกมักจะไม่มาปะปนอยู่ตามที่อยู่อาศัยของคน จึงเป็นที่มาว่าหากนกแสกมาอยู่ตามบ้านเรือน นั่นคือลางร้ายที่กำลังจะมาแล้ว

4. คนโบราณมีความเชื่อว่าถ้านกถ่ายรดบนศีรษะเชื่อว่าจะโชคร้าย

หากกำลังจะออกเดินทางแล้วถูกนกถ่ายรดที่ศีรษะซะก่อน ให้หยุดการเดินทางทันที หรือเลื่อนกำหนดออกไปเป็นวันรุ่งขึ้น

5. คนโบราณมีความเชื่อว่าถ้าตอนกลางคืนถ้าได้ยินเสียงคนร้องทักห้ามขานรับ

เพราะเชื่อว่าเป็นเสียงของดวงวิญญาณอาจจะมาหลอนมาหลอกหรือเป็นการเชิญวิญญาณเข้าบ้าน

6. คนโบราณมีความเชื่อว่าถ้าหากสัตว์ป่าเข้าบ้านเชื่อว่าจะนำความอัปมงคลมาให้

ควรจุดธูปเทียน ดอกไม้และเชิญให้ออกจากบ้าน พร้อมกับขอพรให้นำพาสิ่งดีงามมาให้

7. คนโบราณมีความเชื่อว่าถ้าหากกำลังสางผมหรือหวีผมแล้วหวีหักคาผม

เชื่อว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีตามมาให้นำหวีนั้นทิ้งไปเลย ไม่ให้เก็บไว้ใช้หรือนำไปซ่อมมาใช้ใหม่ ก็คล้ายๆกับความเชื่อที่ว่าไม่ให้ใช้ของที่หักหรือชำรุดแล้วนั่นเอง

8. คนโบราณมีความเชื่อว่าถ้าหากตอนกลางคืนถ้าได้กลิ่นธูปลอยมาจะมีดวงวิญญาณมาหา

เชื่อว่าจะเป็นดวงวิญญาณของคนสนิท ญาติที่เสียชีวิตแล้วกำลังมาหา

9. คนโบราณมีความเชื่อว่าถ้าหากนกในกรงที่เลี้ยงไว้ร้องในเวลากลางคืนจะมีเรื่องร้าย

เชื่อว่าจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง หรือเกิดเรื่องไม่ดีภายในบ้านต้องระมัดระวังตัวให้มากๆ

10. ลางบอกเหตุ “งูเลื้อยตัดหน้ารถ”

แสดงว่าจะมีโชคลาภเรื่องเงินทอง หลายคนเชื่อและมักจะนำเลขรถซื้อสลากฯ

11. ลางบอกเหตุ “เหรียญตกให้เก็บ”

ตามความเชื่อว่า หากใครเดินไปเจอเหรียญตกให้เก็บเป็นเหรียญนำโชค

12. ลางบอกเหตุ “รถชนก่อนหวยออก”

ใครที่รถเฉี่ยว ชนก่อนหวยออก หลายคนเชื่อว่าเคราะห์ร้าย แต่บางคนนำเลขรถมาซื้อสลากฯ เพราะเชื่อว่าเมื่อมีเคราะห์ไปแล้ว ความโชคดีเรื่องเงินทองจะตามมา

13. ลางบอกเหตุ “ตา ปาก คิ้วกระตุก-เขม่น”

คนโบราณเชื่อว่า หากใครเขม่นคิ้วขาว จะมีโชคลาภ หรืออาจได้ลาภลอย

14. ลางบอกเหตุ “คันมือ- มือลอก”

โดยเฉพาะฝ่ามือและหากยิ่งเป็นมือซ้าย แสดงว่ากำลังจะมีลาภด้านเงินทอง
ขอบคุณที่มาข่าว :

เรียบเรียง : DPSNews