เกษตรกร”ทองพูน วงษา”เผยเคล็ดลับ ทำสวนส้มโอเงินล้าน!!


ปลูกส้มโอส่งออก 10ไร่ ทำรายได้หลักล้าน งานเกษตรประณีตของคน อำเภอ บ้านแท่น จังหวัด ชัยภูมิ เน้นเทคนิคการจัดการที่ไม่เหมือนใคร ได้ผลผลิตเกรดเอ ราคาดี มีตลาดรองรับ จับเกษตรผสมผสาน เสริมรายได้ เก็บขายตลอดปี ส้มโอส่งออก เงินล้าน จากการเปิดเผยของคุณทองพูน วงษา อายุ 54 ปี เจ้าของสวนส้มโอเมืองทอง ถึงความสำเร็จของสวนส้มโอเงินล้านว่า เริ่มปลูกส้มโอครั้งแรกตั้งแต่ ปี 2550 จำนวน 10ไร่ ชุดแรก 400 ต้น ได้ผลผลิตต้นละประมาณ 200 ผล ต่อ 1ต้น จะได้ผลผลิตเกรด เอ ประมาณ 100 ผล ขายส่งออก 60% ขายภายในประเทศ 40% ผลเกรด เอ ขายกิโลละ 45 บาท เกรดลองลงมา ขาย กิโลกรัมละ 35 บาท แม่ค้ามารับที่สวนแบบตกเกรด กิโลกรัมละ 25บาท เหมาหมดพื้นที่ 10ไร่ ทำรายได้ต่อปี กว่า 1,500,000 บาทต่อปี นายทองพูน วงษา เจ้าของสวนส้มโอเมืองทอง   “ปีนี้ส้มโอราคาดี ผมจะดูแลส้มโอให้มีคุณภาพ 1 ต้น ออกผลเยอะมาก บางต้นออกถึง 500-800 กว่าลูก แต่ผมจะเด็ดออกเราจะคัดลูกที่สวยๆไว้ต้นละประมาณ 200 ลูก/ต้น เพราะถ้าปล่อยให้ติดผลทั้งหมดจะทำให้ลูกเล็ก ผลล่วง คุณภาพไม่ได้ ขายไม่ได้ราคา ถ้าเราควบคุมคุณภาพได้จะทำให้ส้มโอสวยๆได้ต้นละ 200 ลูกก็เพียงพอ ผมมีส้มโอตอนนี้ 400 ต้น เกือบ 80,000 ลูก บางทีก็มากกว่า บางทีก็ไม่ถึง 1 ผล น้ำหนัก 1-1.5 กิโลกรัม/ลูก ผมได้เกรด เอ 60%ขึ้นไป

ส่วนใหญ่ ส่งออกโดยจะมีพ่อค้าส่งออกมารับซื้อถึงสวน ส่วนเกรดรองลงมาก็มีแม่ค้ามารับถึงที่เหมือนกันครับ” คุณทองพูน เกษตรกรคนเก่ง กล่าวถึงผลผลิตภายในสวน คุณทองพูน กล่าวอีกว่า คำว่าเกรด เอ ไม่ใช่ดูที่น้ำหนักอย่างเดียว ต้องดูผิวสวย และน้ำหนักประกอบกัน บางครั้งน้ำหนักแค่ 8 ขีดก็เป็นเกรดเอได้ แต่ ไม่ว่าจะเป็นเกรดใด ก็ขายไดหมด ตอนนี้ส้มโอบ้านแท่น เป็นที่ต้องการของตลาด ผลผลิตไม่พอขาย ทางจังหวัดมีโครงการขยายพื้นที่ปลูก เดิมทีมีพื้นที่ปลูกกว่า 1,000 ไร่ แต่ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ตลาดส่งออกคือประเทศจีน มีบริษัทมารับซื้อถึงแปลงเกษตร อำเภอบ้านแท่น จึงนิยมปลูกส้มโอ ตอนนี้มีกลุ่มที่ปลูกส้มโอ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกส้มโอบ้านแท่น กับ กลุ่มส้มโอหวานบ้านแท่น ทางจังหวัด เข้ามาสนับสนุนต้นพันธุ์ และปัจจัยการผลผลิตบางส่วน ก็ทำให้มีคนสนใจปลูกมากขึ้นเรื่อย “ส้มโอบ้านแท่นมีผลผลิตออกตลอดปี เพราะส้มโอสามารถทำทวายได้ บางสวนก็จะทำผลผลิตออกปีละ 2 ครั้ง แต่ผลผลิตจะไม่ค่อยได้คุณภาพเต็มที่ ยิ่งทำส้มโอทวายลูกจะเล็กรสชาติจะไม่แน่นอน แต่ก่อนสวนของผมก็ทำปีละสองครั้งผมว่ารสชาติไม่อร่อยเหมือนกับส้มโอปี ตอนนี้ผมเลยทำส้มโอออกปีละครั้ง เน้นให้ออกช่วงเดือน สิงหาคม-กันยายน ผลผลิตจะมีคุณภาพ รสชาติดี คือผมจะเริ่มตัดแต่งกิ่งใส่ปุ๋ยเดือนธันวาคมหรือวันพ่อ แล้วเก็บเกี่ยวผลผลิตเดือนสิงหาคม คือวันแม่ เรียกง่ายๆ ตัดกิ่งวันพ่อเก็บเกี่ยววันแม่ครับ” คูณทองพูนกล่าว คุณทองพูน กล่าวถึงการปลูกส้มโอให้ได้คุณภาพดีว่า การปลูกส้มโอต้องมีเทคนิค มีความเข้าใจ จึงจะได้ผลดี ในสวนเมืองทองจะเริ่มจากการเตรียมแปลงด้วยการยกร่องในสวนพรวนดินให้ร่วนซุย ร่องสวนขนาดใหญ่ ไม่ต้องขุดหลุมลึก ดูระดับถุงชำกิ่งตอนส้มโอพันธุ์ดีก็พอ ปลูกห่างกันต้นละประมาณ 6 เมตร ตามความยาวของร่องสวน

โดยมีเทคนิคการปลูก ดังนี้

1. ปลูกแบบกระจายราก หรือคุณทองพูน เรียกว่า “แพร่ราก” คือเมื่อได้กิ่งตอนมาแล้ว ให้เอาดินออก ค่อยคลี่ดินออกให้เหลือแต่ราก แล้วล้างราก นำมาปลูกลงหลุมแบบกระจายรากออกรอบลำต้นทุกทิศทาง ตอกหลักยึดลำต้นมัดให้แน่น แล้วใช้ดินละเอียดค่อยๆกลบรากให้เต็มหลุมเท่าระดับคอต้นเดิม ใช้ฟางคลุมโคนต้น
2. รดน้ำโดยใช้ระบบสปริงเกอร์ ช่วงแรกๆเปิดทุกวันๆละประมาณ ครึ่งชั่วโมง รดน้ำในตอนเย็น 3. การใส่ปุ๋ย ในช่วงแรกปลูกไป 1 เดือนจะใส่ปุ๋ยคอก ขี่หมู ขี่วัวหรือขี้ไก่ก็ได้ ใส่เดือนละครั้งๆละประมาณ 1 กำมือ และใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 15-15-15 หรือ 16-16-16 ก็ได้ ใส่พอประมาณ เดือนละครั้ง ต้นละ 1 ซ้อนโต๊ะ ทุกวัน อย่าพึ่งใส่เยอะเพราะต้นยังเล็ก
4. ส้มโอ ที่ปลูกจากกิ่งตอนจะออกดอกทุกปี ต้องเด็ดดอกออก ไม่ควรไว้ผลตอนต้นยังเล็กจะทำให้ต้นส้มโอโทรม ไม่แข็งแรงส่งผลในระยะยาว จะทำให้ผลผลิตไม่มีคุณภาพ ควรจะเริ่มไว้ผลผลิต เมื่อปีที่ 3 แต่ไม่ควรเกิน 30 ผล/ต้น ปีที่ 4 ไว้ 30-40 ผล/ต้น ปีที่ 5 ไว้ผล 60-70 ผลต่อต้น ปีต่อๆไปก็ไว้ผลมากขึ้นตามความสมบูรณ์ ในสวนคุณทองพูน ส้มโอโตเต็มที่อายุ 10 ปี ไว้ผลผลิตต่อต้น ประมาณ 200 ผล
5. การบำรุงรักษา ตั้งแต่ส้มโอเริ่มออกดอกหรือการกระตุ้นตาดอก เริ่มตั้งแต่ก่อนส้มโอจะอายุได้ 2 ปี ใส่ปุ๋ยคอกโรยรอบโตนต้นๆละ 1 ถัง ปุ๋ยเคมี ต้นละ 1 กำมือ ใส่พร้อมกันได้เลย โดยโรยปุ๋ยเคมีก่อนแล้วใช้ปุ๋ยคอกกลบไปเลย เมื่อส้มโอเริ่มติดดอกออกผลให้งดใส่ปุ๋ยคอก เพราะจะทำให้เปลือกส้มโอบวม
6. เทคนิคการเปิดตาดอก หลังจากตัดแต่งกิ่ง หรือเตรียมต้นแล้ว ก่อนเปิดตาดอกให้งดน้ำ 20-30 วัน จากนั้นให้อัดน้ำเต็มที่ แล้วใส่ปุ๋ยเลย ปุ๋ยสูตรแรกที่ใส่ คือ 8-24-24 ต้นละ 1 กก. พอเริ่มออกดอก ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 หรือ 16-16-16 ใส่ทุก 2 เดือน หลังจากที่ออกดอกติดผล ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ทุก 15 วัน หยุดใส่ปุ๋ยก่อนเก็บเกี่ยว 1 เดือน ส้มโอตั้งแต่ออกดอก จนถึงเก็บเกี่ยวจะมีอายุ 8 เดือน ทางสวนส้มโอเมืองทอง จะยึดวันเตรียมความพร้อมเปิดตาดอกในวันพ่อ และจะเริ่มเก็บขายได้ในวันแม่ ของทุกปี ส้มโอมีอายุการเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ยาวนาน ถ้าดูแลให้ดี มีการตัดแต่งกิ่งทุกปี บำรุงทุกปี สามารถเก็บผลผลิตได้ยาวนานถึง 30 ปี

สำหรับการปัญหาและอุปสรรคที่พบในการทำสวนส้มโอ จะมีทั้งโรคและแมลง แมลงจะพบในช่างส้มโอแตกใบอ่อน ส่วนมากจะเป็นแมลงงวงช้าง ทางสวนเมืองทองจะใช้สารเคมีไล่แมลงฉีดพ่น สารไล่แมลงทั่วไป ส่วนโรคที่พบ ส่วนใหญ่จะเป็นโรคโคนเน่า ปัญหานี้จะเกิดช่วงฝนตกชุก หรือน้ำท่วมขัง วิธีแก้จะโรยปูนขาวรอบโคนต้น ฉีดพ่นยาแก้เชื้อรา หรือโรยยาแก้เชื้อราแล้วแต่ชนิดของยาแก้ แต่มีวิธีป้องกันด้วยการสูบน้ำออกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้น้ำท่วมในสวน จบแค่ ป.4 ชีวิตมีสุข ด้วยส้มโอ คุณทองพูน เล่าอีกว่าตั้งแต่ทำอาชีพปลูกส้มโอมา กว่า 10 ปี รู้สึกมีความสุขมากมาย สบายใจ ได้เพื่อน ได้รู้จักผู้คนมากมาย ได้มีโอกาสเดินทางไปออกงาน ขายผลผลิต ได้รับการสนับสนุนจากส่วนราชการ ได้ไปศึกษาดูงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ “ผมภูมิใจมากครับกับอาชีพปลูกส้มโอ นอกจากได้เงินใช้แล้ว ที่มากกว่านั้นผมรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น มีคนมาศึกษาดูงานในสวนเรามากมาย เราได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับคนอื่นแบบไม่ปิดบัง รู้สึกว่าได้บุญครับ ตอนนี้สวนเราได้รับคัดเลือกจากทางจังหวัด ให้เป็นศูนย์เรียนรู้การปลูกส้มโอ ประจำจังหวัดชัยภูมิ เป็นสวนต้นแบบให้ผู้สนใจทั่วประเทศ ผมเองได้รับเลือกเป็นเกษตรกรดีเด่นอันดับ 1 ของจังหวัดชัยภูมิ เกษตรกรดีเด่นอันดับ 2 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผมได้รับเกียรติจากทางจังหวัดให้ไปขายหน้าศาลากลาง ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดให้การสนับสนุน ผมขนส้มโอไป 3 ตัน ขายวันเดียว 3 ชั่วโมงขายหมดเลยครับ ตลาดตอบรับดีมาก ส้มโอบ้านแท่นไปที่ไหนก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ผมจบแค่ ป.4 ไม่มีการศึกษามากมาย วันนี้ผมเดินมาได้ขนาดนี้ มีอาชีพที่มั่นคง ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับผู้คนมากมาย ผมเริ่มต้นชีวิตจากลูกจ้าง ทำงานมาแบบสู้ชีวิต เก็บเล็กผสมน้อยมาจนมาเปิดร้าน อลูมิเนียม จากผู้รับเหมาก็มาเป็นเจ้าของเอง ผมขยายกิจการจนเป็นร้านใหญ่ที่สุดในละแวกนี้

ต่อมาผมขยายกิจการไปสู่โรงงานหลังคาเหล็ก มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท เก็บเล็กผสมน้อยมา สร้างรีสอร์ท ชื่อเมืองทองรีสอร์ท ที่ อ.ภูเขียว เปิดร้านขายอุปกรณ์การเกษตร ปุ๋ย-ยา-เคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรทุกชนิด และอีกหนึ่งธุรกิจคือ ร้านกระจก ผ้าม่าน พร้อมกับสะสมที่ดินไว้สร้างอนาคต อีกพอสมควร รวมมูลค่าทรัพท์สินและธุรกิจ ประมาณ 100 กว่าล้านบาท เร็วๆนี้ผมอยากจะเปิดโรงเรียนอนุบาล ให้ลูกๆที่เรียนจบแล้วเข้ามาดูแลกิจการ ทั้งหมดคือความภูมิใจของผมที่สร้างมาด้วยมือของตนเอง ซึ่งผมเรียนมาแค่ ป.4 ได้เท่านี้ผมก็ภูมิใจสุดๆแล้วครับ” คุณทองพูน กล่าวด้วยความภูมิใจ นอกจากนี้ เกษตรกร ป.4 กล่าวต่ออีกว่า เมื่อสร้างความมั่นคงในครอบครัวแล้ว ก็อยากทำในสิ่งที่ตนเองรักบ้าง คือการออกมาทำสวนเกษตร สวนส้มโอ ตอนนี้เก็บผลผลิตแล้ว 10 ไร่ ปีหน้าจะมีสวนใหม่เริ่มให้ผลผลิตอีก 8 ไร่ มีพืชอื่นๆ ผสมผสานอีกหลายอย่าง เช่น แก้วมังกร 500 หลัก ปลูกกาแฟอะราบิกา แซมสวนส้มโอ อีก 800 ต้น พื้นที่ปลูกข้าวอีก 10 ไร่ และพืชผักอื่นๆปลูกผสมไว้อีกหลายชนิด ผลผลิตเริ่มเก็บได้ทุกอย่าง ตามฤดูกาล สวนส้มโอเมืองทอง “วันนี้ นอกจากผลส้มโอแล้ว เรามีแก้วมังกร ที่เก็บขายได้ทุกปี กาแฟก็เริ่มออกผลก็จะเริ่มได้ขาย มีที่นาปลูกข้ากินเอง เรามีผลผลิตออกขายตลอดปี ที่สำคัญกิ่งส้มโอสามารถขายได้ตลอดเวลา กิ่งละ 50 บาท ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย ผมกล้าพูดได้ว่าอาชีพเกษตร ทำให้ดี ดูแลเขาให้ดี รับรองได้เลย ว่าสามารถสร้างรายได้ เลี้ยงชีพได้แน่นอน ที่สำคัญเป็นงานอิสระ ที่สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้และสร้างสุขได้ครับ”

คุณทองพูนกล่าวทิ้งท้าย สนใจเข้าศึกษาดูงาน สวนส้มโอเมืองทอง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณทองพูน วงษา สวนส้มโอเมืองทอง 108 ม.9 บ้านหนองผักหลอด ต.บ้านแท่น อ.บ้านแท่น จ.ชัยภูมิ โทร 06-1974-4854 ข่าวเกษตร

ขอบตุณที่มา : kasetthainews

เเชร์ไว้!! ปลูกมะละกอ รายได้ดี !! ทำเงิน 5 แสนต่อไร่


ทุกปีมะละกอจะแพง เพราะเป็นช่วงที่ให้ผลผลิตน้อยตามธรรมชาติ ราคาหน้าสวนเบอร์เอ ปกติ กก.ละ 30-40 บาท แต่ปีนี้แพงที่สุดในรอบ 20 ปี รับซื้อกันที่ 45-50 บาท ราคาขายส่งตลาดไทขยับขึ้นไปถึง กก.ละ 70-80 บาท…สาเหตุหลักมาจากภัยแล้งเมื่อต้นปี “มะละกอที่เก็บช่วง ส.ค.-ต.ค. ต้องออกดอกในช่วงแล้ง มี.ค.-เม.ย. เมื่อออกดอก ส่วนใหญ่จะร่วง ผลเลยติดน้อย อีกทั้งช่วงแล้งขาดน้ำในช่วงออกดอกและติดผล มะละกอที่เหลือรอดลูกเล็ก ผิวหยาบกระด้างเหี่ยวย่น เก็บได้ไม่นาน ตลาดไม่เอา ที่สำคัญช่วงแล้งยังทำให้ดอกมะละกอมีแต่เกสรตัวเมีย ไร้ตัวผู้ คนปลูกจึงไม่มีลูกให้ขาย”
แต่หากเกษตรกรวางแผนการผลิตที่ดี ธีรยุทธ มนตรี เกษตรกรผู้ปลูกมะละกอ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี บอกว่า… นี่คือโอกาสรับทรัพย์ของเกษตรกร.

จะทำให้มะละกอมีดอกผลในช่วงราคาแพงได้ ก่อนอื่นต้องวางแผนการผลิตให้ดี โดยต้องปรับเปลี่ยนการปลูกเป็นช่วง พ.ย.-ธ.ค. เพื่อให้ออกดอกในช่วง มี.ค.-เม.ย. และเก็บได้ช่วงราคาแพงคือ ส.ค.-ก.ย….ช่วงออกดอก อากาศร้อนมาก มักมีปัญหาดอกร่วงหรือไม่ออกดอก ฉะนั้นน้ำต้องถึง ความชื้นต้องสูง

“เราต้องลดความร้อน และเพิ่มความชื้นในอากาศ โดยการติดตั้งสปริงเกอร์ในแปลง ให้มีระดับความสูงของสปริงเกอร์ในตำแหน่งที่มะละกอออกดอกติดผล หรือสูงประมาณ 1.5 เมตร เพราะต้องให้ดอกและผลชุ่มชื่นอยู่เสมอ อย่าให้ขาดน้ำ”

สำหรับพื้นที่มีปัญหาน้ำน้อยหรือไม่สามารถหาน้ำในฤดูแล้งได้ ธีรยุทธ แนะนำให้เลื่อนเวลาปลูกมาเป็นช่วง ก.ย.-พ.ย. เพื่อให้ออกดอกในช่วงที่ไม่ร้อนเกินไป เพราะมะละกอจะเริ่มออกดอกหลังปลูกประมาณ 2-3 เดือน เก็บผลได้นาน 4-7 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่การดูแลให้ต้นสมบูรณ์แค่ไหน แม้ช่วงนี้ราคามะละกอจะไม่สูงมากนัก แต่เป็นวิธีที่ทำให้เรามีมะละกอออกจากสวนไปทำเงินได้บ้าง

ส่วนการเลี้ยงบำรุงเพื่อเสริมการออกดอกติดผล ธีรยุทธ ใช้วิธีให้ปุ๋ยทางดิน สูตรตัวท้ายสูง ร่วมกับฉีดพ่นปุ๋ยเกล็ดทางใบ สูตรตัวท้ายสูงเช่นกัน รวมทั้งให้ธาตุอาหารรองจำพวกแคลเซียม โบรอน เพื่อให้ดอกตัวเมียบานนานขึ้น มีโอกาสติดผลมากขึ้น

ถ้าทำได้อย่างนี้ มะละกอ 1 ไร่ ใช้เงินลงทุน 15,000-20,000 บาท ปลูก 8 เดือน เก็บผลผลิตได้เดือนละ 8 ครั้ง ครั้งละ 300 กก.นาน 8 เดือน…แค่นำออกมาขายในช่วง 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค.) ที่ขายได้ กก.ละ 45 บ. เป็นเงิน 324,000 บาท นี่ยังไม่นับอีก 5 เดือน ที่เหลือ ขายได้ กก.ละ 15 บาท เป็นเงินอีก 180,000 บาท

อยากรู้เคล็ดลับละเอียดลึกกว่านี้ เสาร์นี้ไป หาข้อมูลได้ที่งานสัมมนา “มะละกอ…พืชเงินล้าน …ปลูกอย่างไรให้รวย” สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย สอบถามได้ที่ 0-2940-5425-6หรือ 08-6340-1713.

ข้อมูลดีๆจาก : https://www.thairath.co.th


ไม่เคยอายมีพ่อติดคุก!!! น้องปอนด์ เด็ก19สู้ชีวิตตามหาความฝันตัวเอง 11ปีไม่ได้กอดพ่อ (มีคลิป)


วันนี้DPSNews มานำเสนอชีวิตเด็กหนุ่มสู้ชีวิตทำตามความฝันตัวเอง เดินทางมาตามหาความฝันไกลจากจังหวัดเชียงราย  “สุริยกุล พรหมเสน” หรือ ปังปอนด์ อายุ 19  ปี เป็นคนจังหวัดเชียงราย  ติดตามได้ที่เฟสบุ๊คsuriyakun prommasen

น้องปอนด์ ชายหนุ่มสุดหล่อที่ทำเอาสาวๆกรี๊ดทั้งรายการ โดยมาประกวดรายการ ลาแบนด้าไทยแลนด์

“ความฝันของผมคือการได้เป็นนักร้อง ได้มีแฟนคลับ มีคนปรบมือให้เรา ทำให้เรามีผลักดันทำตามความฝันตัวเอง ที่ผมมาประกวดรายการ ลาแบนด้าไทยแลนด์ เพราะผมเชื่อว่ารายการนี้ทำให้ความฝันของผมเป็นจริงได้ครับ เพราะความฝันผมอยากมีแฟนคลับเข้ามากรี๊ด มายกป้ายไฟให้กำลังใจ”


ปอนด์ ซึ่งเดินทางมารายการ ลาแบนด้าไทยแลนด์คนเดียว เพราะปอนด์ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงดู  ปอนด์อาศัยอยู่ปู่กับย่า ก็คุณพ่อติดคุก เป็นเรือนจำกลางเชียงรายครับประมาณ 11 ปีได้ ตั้งแต่ปอนด์อายุ 8 ขวบ โดยปอนด์ไปเยี่ยมพ่อที่คุก เขาก็ยิ้มร่าเริงยิ้มกับผม แต่แค่พ่อจะน้ำตาคลอตลอด


ปอนด์อายไหมที่มีพ่อติดคุกแบบนี้  “ไม่อายครับ ถ้าอายผมจะไปบอกให้เขาฟังทำไม ผมภูมิใจแล้วที่มีพ่อ ถึงพ่อจะไม่ได้ดูเเลผมก็ตาม เคยมีคนล้อแบบเอ้ยพ่อออกมายังผมก็ยิ้มให้เขาบอกยังๆ”

ในช่วงที่ไปเยี่ยมพ่อ พ่อที่ติดคุกบอกน้องปอนด์ว่า “ปอนด์เป็นลูกพ่อนะ ไม่ต้องกลัว ผมรักพ่อนะ ถึงไมได้อยู่ด้วยกันก็รักนะผมก็รอพ่อออกมานะ พูดพลางน้ำตาไหลทำเอาคนที่เห็นคลิปเรื่องราวต้องน้ำตาร่วง”

“พ่อพยายามขอโทษเพราะไม่เคยได้ดูแลลูกเลยครับ พ่อบอกออกไปไปเริ่มต้นกันใหม่นะ รอเสมอรักพ่อเสมอ พ่อรักลูกมาก ผมฝากตังค์ให้พ่อ 2000  ผมทำงานร้องเพลงบ้างได้มาก็มาให้ย่าให้พ่อ ก่อนจากพ่อบอกผมว่า พ่ออยากให้ปอนด์สู้นะลูก พ่อเป็นกำลังใจให้ลูก ขอให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิตของลูก”

ปอนด์กล่าว  “ผมมาถึงจุดนี้ผมภูมิใจแล้วครับที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อ พ่อจะเป็นยังไง ผมก็ไม่สนใจผมภูมิใจแล้วครับ ถ้าผมได้เจอคุณสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดคือผมจะวิ่งเข้าไปกอดเลยครับเพราะผมไม่ได้กอดนานแล้วครับเป็น 11 ปีแล้วครับ พ่อเขาส่งพลังมาให้ผมทั้งที่มันมีกระจกกั้นแต่เหมือนว่ามันสื่อถึงกันได้ ผมรอพ่อออกมาทุกวัน”

ดูคลิป



ขอบคุณข้อมูลหาจาก kratisod.com

เกษตรกรปลูกถั่วลิสงครบวงจร สร้างรายได้ยั่งยืน


โครงการการพัฒนาการเกษตรสองฝั่งแม่น้ำชี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดขอนแก่น มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพื่อพัฒนาแหล่งเรียนรู้การเกษตรเชิงระบบสร้างความมั่นคงด้านอาชีพ พัฒนาความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของชุมชนเกษตรกรในพื้นที่ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณสองฝั่งแม่น้ำชี พัฒนาการผลิตพืชในพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำชีให้มีความเหมาะสมและมีความยั่งยืนในการผลิต

โครงการสร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตถั่วลิสงแบบครบวงจรบ้านละหานนา อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนา ที่กรมวิชาการเกษตรโดยสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 ขอนแก่นและศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น ได้ดำเนินการในพื้นที่แห่งนี้

ด้วยถั่วลิสงสามารถปลูกทั้งในสภาพไร่และสภาพหลังนาได้เกือบทุกจังหวัด ในฤดูฝนเกษตรกรจะปลูกในสภาพไร่ ส่วนในฤดูแล้งจะปลูกในพื้นที่สภาพนา แต่ในการปลูกของเกษตรกรพบว่ามีปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ พันธุ์ที่ใช้ปนหรือเมล็ดพันธุ์ไม่บริสุทธิ์ ปัญหาเมล็ดลีบ ไม่เคยใช้ปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียม ไม่มีการคลุกเมล็ดด้วยสารเคมีป้องกันโรค และใส่ปุ๋ยเคมีไม่เหมาะสม ไม่มีการใส่ยิปซัมระยะออกดอก

นอกจากนี้ ยังพบว่าเกษตรกรเน้นการขายถั่วลิสงแบบฝักสด เนื่องจากสามารถจำหน่ายได้ง่าย ตลาดมีความต้องการสูง ส่วนการขายถั่วลิสงแบบฝักแห้งจะมีปริมาณที่น้อย เนื่องจากเกษตรกรต้องนำไปตากเพื่อลดความชื้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้แก่เกษตรกร ทำให้เกิดการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ ดังนั้น การนำเทคโนโลยีการผลิตถั่วลิสงของกรมวิชาการเกษตรเข้าไปดำเนินการส่งเสริม นับเป็นทางเลือกให้เกษตรกรในการเพิ่มผลผลิต ลดความเสี่ยงเรื่องการขาดเมล็ดพันธุ์ในการผลิตถั่วลิสงในฤดูกาลถัดไป โดยเฉพาะการผลิตถั่วลิสงฝักแห้งเพื่อสามารถเก็บได้นาน และจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ให้แก่เกษตรกรรายอื่นๆ ที่มีความต้องการปลูกได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าของถั่วลิสงได้

โครงการสร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตถั่วลิสงแบบครบวงจรบ้านละหานนา ดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อรวมกลุ่มเกษตรกรที่มีความสนใจในการปลูกถั่วลิสงมาร่วมดำเนินกิจกรรมของกลุ่มและสร้างอาชีพเสริมแก่สมาชิกให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและยั่งยืน และมีเป้าหมายในการจัดหาเมล็ดพันธุ์และปัจจัยในการผลิตถั่วลิสงให้ครบวงจร ตั้งแต่การเตรียมปัจจัยการผลิต การปลูก การดูแลรักษา การจำหน่าย และการแปรรูปเพื่อจำหน่าย รูปแบบการดำเนินงานเน้นการผลิตเพื่อจำหน่าย เพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวของสมาชิก และการลดต้นทุนการผลิตด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้แรงงานภายในครอบครัว ลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอกและลงทุนเฉพาะสิ่งที่มีความจำเป็นเท่านั้น

สำหรับการดำเนินการของโครงการ มีขั้นตอนการปฏิบัติ โดย หนึ่ง การเลือกพื้นที่และเกษตรกรในการดำเนินงาน สอง ดำเนินการทดสอบ สาม จัดทำการฝึกอบรมเกษตรกร และจัดเวทีเสวนาเกษตรกรเพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินงาน สี่ คัดเลือกเกษตรกรต้นแบบในการผลิตและกระจายพันธุ์ถั่วลิสง และ ห้า ติดตามผลการดำเนินงานของเกษตรกร

โครงการสร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตถั่วลิสงแบบครบวงจรบ้านละหานนา ได้สนับสนุนองค์ความรู้ต่างๆ ให้เกษตรกรต้นแบบที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 20 ราย ปลูกถั่วลิสงรายละ 1 ไร่ โดยปลูกถั่วลิสงสายพันธุ์ขอนแก่น 6 เมล็ดพันธุ์ถั่วลิสงมีการคลุกสารคาร์บอกซินเพื่อป้องกันโรคโคนเน่าและเชื้อไรโซเบียมเพื่อช่วยในการตรึงธาตุไนโตรเจน ส่วนการเตรียมดินได้หว่านปูนโดโลไมท์เพื่อบำรุงฝักและใช้เมล็ดถั่วลิสง อัตรา 20 กิโลกรัม ต่อไร่ ปลูกในเดือนมิถุนายน และใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 12-24-12 อัตรา 50 กิโลกรัม ต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง หลังปลูก 10-15 วัน และ 30-45 วัน

ผลการดำเนินโครงการสามารถพัฒนาระบบการผลิตถั่วลิสงพันธุ์ขอนแก่น 6 ของกรมวิชาการเกษตร ได้ครบวงจรและยั่งยืน โดยยกระดับผลผลิตฝักแห้งเฉลี่ยของถั่วลิสงพันธุ์ขอนแก่น 6 ได้ถึง 546 กิโลกรัม ต่อไร่ และจากเดิมที่ผลิตได้ 393 กิโลกรัม ต่อไร่

อีกทั้งยังสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วลิสงพันธุ์ขอนแก่น 6 ในฤดูฝน และกระจายพันธุ์ให้กับเกษตรกรที่มีความต้องการได้อย่างเพียงพอ ต่อการปลูกถั่วลิสงในฤดูแล้งได้ เกษตรกรมีรายได้จากการปลูกถั่วลิสง ประมาณไร่ละ 10,000 บาท และเกษตรกรบางส่วนนำถั่วลิสงแห้งทำการแปรรูปผลผลิตถั่วลิสง
จากการขยายผลเทคโนโลยีดังกล่าวไปยังเกษตรกรผู้ปลูกถั่วลิสง อำเภอแวงน้อย อำเภอมัญจาคีรี และอำเภอชนบท โดยเกษตรกรต้นแบบ ทำให้ในปี 2555/2556 มีเกษตรกรผู้ผลิตถั่วลิสงบริเวณสองฝั่งแม่น้ำชี ทั้ง 3 อำเภอ เพิ่มขึ้นเป็น 180 ราย

อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนเมล็ดพันธุ์เพื่อใช้ปลูกในฤดูแล้งยังเป็นปัญหาหลัก ในการผลิตถั่วลิสงในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งยังต้องการการถ่ายทอดและทดสอบเทคโนโลยี เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ในฤดูฝน

ในส่วนการขยายผลเกษตรกรภายใต้โครงการพัฒนาการเกษตรสองฝั่งแม่น้ำชี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดขอนแก่น ได้เรียนรู้และพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตถั่วลิสงแบบต่างๆ จากแปลงทดสอบ แปลงต้นแบบ แปลงกระจายพันธุ์และการฝึกอบรม และสามารถนำเอาเทคโนโลยีการผลิตถั่วลิสงที่ได้รับการถ่ายทอดไปปฏิบัติในพื้นที่ของตนเองอย่างเป็นระบบ โดยการบริหารจัดการทรัพยากรด้านต่างๆ ทั้งแรงงานและปัจจัยการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผลผลิตถั่วลิสงออกสู่ตลาดและจำหน่ายเป็นรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างน้อยร้อยละ 15

ส่งผลทำให้ครอบครัวและชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีความมั่นคงของรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถสร้างเครือข่ายเพื่อเชื่อมโยงการผลิตและการจำหน่ายสินค้าเกษตรให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เป็นต้นแบบให้เกษตรกรหรือผู้สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ระบบการดำเนินงานของกลุ่ม ทำให้เกษตรกรที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการมีความสนใจและมีความกระตือรือร้นที่จะเข้ามารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น

ขอบคุณที่มา https://www.technologychaoban.com/news_detail.php?tnid=3606 เรียบเรียงโดย DPSNews

วิธีเลี้ยงปลาซิว เลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่ไม่มาก สร้างรายได้อย่างยั่งยืน


วันนี้DPSจะพาไปดูวิธีการเลี้ยงปลาซิวเพื่อประกอบอาชีพ สาธิตวิธีโดย คุณบุญชิต สมัตถะ งานนี้ใช้พื้นที่ไม่มาก ต้นทุนพอประมาณ แต่เป็นการเปิดโอกาสสร้างรายได้ให้กับตัวเองและครอบครัวอย่างยั่งยืน ใครมีบ้านสวนอยู่และอยากจะทำการเกษตรเล็กๆ การเลี้ยงปลาซิวก็น่าสนใจไม่น้อยนะครับ

ปลาซิว คือหนึ่งปลาเศรษฐกิจที่ขายได้ราคาดี มีเกษตรกรจำนวนไม่น้อยที่เลี้ยงปลาซิวเพื่อการประกอบอาชีพ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ปลาซิวนั้น ได้ถูกนำมาแปรรูปเป็นอาหารหลากหลายชนิด และก็มีคนนิยมทานกันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ

ขั้นตอนการเลี้ยงปลาซิว

1. เตรียมบ่อเลี้ยงขนาดบ่อ 2 x 4 เมตร ลึก 1 เมตร (เป็นบ่อปูนหรือบ่อพลาสติกก็ได้)

2. หลังจากเตรียมบ่อแล้วให้ทำการเปิด น้ำเข้าบ่อสูง 80 เซนติเมตร และนำท่อนกล้วยลงแช่ในบ่อเพื่อดูดซับกลิ่นปูนแลกลิ่นเคมีจากพลาสติก แช่นาน 1 สัปดาห์

 

3. นำปลาซิวลงบ่อเลี้ยงประมาณ 10 กิโลกรัม (หาปลาซิวจากตามนาในชนบทช่วงฤดูเกี่ยวข้าว)

4. อาหารให้รำอ่อน วันละ 1 ครั้ง

5. ระบบการถ่ายน้ำให้ทำการถ่ายน้ำโดย การเปิดก๊อกน้ำใส่บ่อและทำตัวจุกระบายน้ำออกจากบ่อที่ก้นบ่อด้วย และนำมุ้งเขียวกันไว้ไม่ให้ปลาหลุดออกจากบ่อตามท่อระบายน้ำ (ให้ทำการถ่ายน้ำปีละ 1 ครั้ง)

6. ปรับปรุงสภาพน้ำโดยใส่น้ำหมักฮอร์โมนแม่ ½ ลิตร ต่อ เดือน (สูตรอยู่ด้านล่างครับ)

7.อาหารเสริมสามารถนำปลวกมาสับให้ละเอียดเพื่อนำไปเป็นอาหารเสริมเพิ่มโปรตีนให้ปลาซิวได้ เลี้ยงไว้ 2-3 เดือนสามารถจับขายหรือกินได้ จำหน่าย ราคากิโลกรัมละ 100 บาท


สูตรน้ำหมักฮอร์โมนแม่
ส่วนผสม

ยอดผักบุ้ง หน่อไม้ หน่อกล้วย รวมกัน 10 กิโลกรัม
กากน้ำตาล 10 ลิตร
ฟอสเฟต 10 กก.
รำละเอียด 2.5 กก.
เกลือ 2 ขีด
หัวเชื้อ 1 ลิตร (กากน้ำตาล 4 ลิตร + สารเร่งพด 2.1 ซอง + น้ำ 200 ลิตร ผสมกัน)

น้ำ 70 ลิตร

วิธีทำ
1. นำยอดผักบุ้ง หน่อไม้ หน่อกล้วยมาสับรวมกัน 10 กก.

2. ใส่กากน้ำตาล ฟอสเฟต รำละเอียด เกลือ ในอัตราส่วน 10:10:2.5:2 ขีด และน้ำอีก 70 ลิตร คนให้เข้ากัน ตามด้วยหัวเชื้อ 1 ลิตร

3. หมักไว้ 15 วันเป็นอันว่าเสร็จ พร้อมนำไปใช้งาน


ตัวอย่างผลผลิตที่ถูกแปรรูปจากปลาซิว

 

ขอบคุณที่มา http://www.naibann.com/how-to-breed-pla-sew-for-earning-living/ 

เรียบเรียงโดย DPS News

เเต่งจริง!! “ซง จุงกิ”ซอง&เฮเคียว” ประกาศแต่งงานตุลาคมนี้


ซง จุง กิ พร้อม ซอง เฮ เคียว ประกาศแต่งงาน 31 ต.ค.นี้ ด้านต้นสังกัดนักแสดงสาวออกมาปฏิเสธข่าวลือตั้งครรภ์

ซง จุง กิ และซอง เฮ เคียว สองคู่ขวัญจากซีรีส์สุดฮิต “Descendants of the Sun”  ที่เคยออกมาปฏิเสธข่าวลือเรื่องการคบหาดูใจกันหลายต่อหลายครั้ง ล่าสุด สร้างความประหลาดใจแก่แฟนๆ ด้วยการออกแถลงการณ์ร่วมในวันนี้ผ่านทางต้นสังกัดของทั้งคู่ว่า ซองจุงกิ วัย 32 กับ ซอง เฮ เคียว วัย 35 จะเข้าพิธีวิวาห์ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้
แถลงการณ์ระบุว่า เราขออภัยที่ประกาศข่าวที่อาจทำให้แฟนๆ ของเราต้องประหลาดใจ เราระมัดระวังอย่างมากเนื่องจากการแต่งงานครั้งนี้ เป็นงานที่มีความสำคัญต่อชีวิตของเราและครอบครัวของเรา
หลังประกาศข่าวใหญ่ไม่นาน ยูเอเอ บริษัทต้นสังกัดของซอง เฮ เคียว ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ตามมาทันทีว่า ดาราว่าที่เจ้าสาวไม่ได้ตั้งครรภ์ และเมื่อถูกถามว่าทั้งสองเริ่มคบหากัน หลังนำแสดงเรื่อง  “Descendants of the Sun” ผู้แทนบริษัทรายนี้ตอบสั้นๆ ว่า ไม่ทราบ
ทั้งสองรับบทเป็นคู่รักทหารกับหมอในซีรีส์ยอดฮิต ออกอากาศทางช่อง KBS 2TV  หลังจากนั้น เริ่มมีข่าวลือครั้งแรกว่าคบหากัน เมื่อมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคนหนึ่งอ้างว่าเห็นทั้งคู่ไปช็อปปิ้งและดินเนอร์ด้วยกันที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ขอบคุณที่มาเนื้อหา http://www.komchadluek.net/news/ent/286052


วิธีปลูกมัลเบอรี่(หม่อน)ง่ายๆ ให้ลูกดก เก็บกินได้ตลอดทั้งปี


หม่อน หรือ ลูกมัลเบอรี่ นอกจากรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยถูกปากใครหลายคนแล้ว ยังมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ทั้งช่วยลดระดับน้ำตาลในหลอดเลือด ลดความดันโลหิต บำรุงสายตา ต่อสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ต่อต้านอาการขาดเลือดในสมอง ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย คุณประโยชน์ดีๆมาเพียบแบบนี้ ไม่กินไม่ได้แล้ว ส่วนราคาของผลมัลเมอร์รีจะอยู่ที่ 150 ถึง 250 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว สำหรับใครที่ชอบทานมัลเบอร์รี่วันนี้เรามีวิธีการปลูกหม่อน หรือ (Mulberry)ไปดูวิธีกันเลยครับ

การปลูกมัลเบอร์รีควรเริ่มจากการหาต้นพันธุ์ ซึ่งในประเทศไทยจะมีหลากหลายพันธุ์ที่นิยมปลูก แต่พันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทยก็คือ กำแพงแสน 84 บุรีรัมย์ 60 เชียใหม่60 ซึ่ง 3 พันธุ์นี้เหมาะสำหรับพื้นที่แลภูมิอากาศของประเทศไทยเพราะได้มีการพัฒนาจากสถานบันเกษตรต่าง ๆอย่างต่อเนื่อง 

วิธีปลูกต้นหม่อนกินผลสด

1.เตรียมต้นหม่อนที่จะปลูก (สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายต้นไม้ พันธ์ไม้ต่างๆ หรืออาจทำการปักชำเองก็ได้ ถ้ามีต้นหม่อน)

2. ระยะปลูก ปลูกเป็นแถว แต่ละต้นห่างกัน 4 เมตร เพื่อเผื่อรัศมีทรงพุ่มไว้อย่างน้อย 2.00 เมตร หรือจะปลูกในแปลงพื้นที่สี่เหลี่ยมด้วยระยะปลูก 4.00 x 4.00 เมตรก็ได้

3.การเตรียมหลุมปลูก ขุดหลุมลึก 50 x 50 x 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 10 กิโลกรัมต่อหลุม ใส่ปูนโดโลไมท์หรือปูนขาว ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อหลุม และปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตรา 250 กรัมต่อหลุม หรือจะให้แม่นยำต้องใส่ตามค่าการวิเคราะห์ดิน คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วกลบหลุมด้วยหน้าดินให้พูนเล็กน้อย

4.ขุดดินบนหลุมที่เตรียมไว้ให้ลึกพอประมาณ แล้วนำต้นหม่อนที่เตรียมไว้ลงปลูก กลบดินให้แน่น แล้วรดน้ำให้ชุ่ม

ต้นมัลเบอร์รีให้ผลผลิตได้เต็มที่เมื่อมีอายุครบ 2 ปี ซึ่งระหว่างนั้นเราควรที่จะบำรุงรักษาด้วยการใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยสูตรอย่างสม่ำเสมอ ถ้าต้นมัลเบอร์รีมีความสมบูรณ์จะให้ผลผลิต ประมาณ 1.5-35 กิโลกรัมหรือประมาณ 750-1,850 ผลต่อครั้งต่อต้นเลยทีเดียว

เทคนิคเพิ่มเติมในการปลูกหม่อนให้ได้ผลผลิตดี

การบังคับทรงต้น

ต้นหม่อนที่ปลูกจากกิ่งชำชนิดล้างราก หรือชนิดชำถุง หรือปลูกด้วยท่อนพันธุ์จากกิ่งพันธุ์โดยตรง เมื่อต้นหม่อนเจริญเติบโตได้ประมาณ 6-12 เดือน จะต้องบังคับทรงพุ่มโดยตัดแต่งกิ่งให้เหลือเพียงกิ่งเดียวไว้เป็นต้นตอ มีความสูงประมาณ 80-100 เซนติเมตร จากพื้นดิน ปล่อยให้หม่อนแตกกิ่งใหม่หลายๆกิ่ง เก็บกิ่งที่สมบูรณ์ไว้ กิ่งที่ไม่สมบูรณ์ให้ตัดทิ้งเพื่อให้ด้านล่างโปร่ง ง่ายต่อการปฏิบัติดูแลรักษาด้านเขตกรรมต่างๆ เช่น การกำจัดวัชพืช การใส่ปุ๋ย การพรวนดิน การตัดแต่งกิ่งแขนงและการเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น อนึ่งสำหรับหม่อนที่ปลูกในปีแรกๆ ลำต้นและระบบรากยังเจริญเติบโตไม่มาก อาจจะหักล้มได้ง่าย ดังนั้นจะต้องทำการยึดลำต้นไว้ด้วยไม้ หรือไม้ไผ่ให้แน่นหนา

การใส่ปุ๋ย

ในปีที่ 2 ให้ใส่ปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ตามการวิเคราะห์ความต้องการปูนขาวของดินเพิ่ม ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อต้น ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 250 กรัมต่อต้น

การให้น้ำ

จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้น้ำหม่อนในระยะที่หม่อนติดผลแล้ว (โดยปกติจะมีฝนหลงฤดูหรือฝนชะช่อมะม่วงผ่านเข้ามา จะทำให้ต้นหม่อนแตกตาติดดอก ถ้าไม่มีฝนหลงฤดู หลังโน้มกิ่ง รูดใบ ต้องให้น้ำกระตุ้นการแตกตาแทนน้ำฝน) หากขาดน้ำจะทำให้ผลหม่อนฝ่อก่อนที่จะสุก หรือทำให้ผลหม่อนมีขนาดเล็ก การตัดแต่งกิ่งและการดูแลรักษาทรงพุ่ม ตัดเฉพาะกิ่งแขนงที่ไม่สมบูรณ์และเป็นโรคทิ้ง เพื่อลดการสะสมโรคและแมลง

การบังคับให้หม่อนติดผลนอกฤดูกาล

ใช้วิธีการบังคับต้นหม่อน เพื่อให้ได้ผลผลิตผลหม่อนในระยะเวลาที่ต้องการ มีวิธีการดังนี้

1) ทำการโน้มกิ่งหม่อนที่ปลูกแบบทรงพุ่ม โดยการโน้มกิ่งให้ปลายยอดขนานกับพื้น หรือโน้มลงพื้นดิน รูดใบหม่อนออกให้หมด พร้อมทั้งตัดยอดส่วนที่เป็นกิ่งสีเขียวออกยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ใช้เชือกผูกโยงติดไว้กับหลักไม้ไผ่ ซึ่งปักไว้บนพื้นดินสำหรับยึดเชือกไว้

2) หลังการโน้มกิ่ง 8-12 วัน ดอกหม่อนจะแตกออกพร้อมใบ จากนั้นจะมีการพัฒนาการของ ผลหม่อน โดยผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีขาว สีชมพู สีแดง และสีม่วงดำ ตามลำดับ โดยใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน ผลจะเริ่มแก่และสุก สามารถเก็บไปรับประทานสดหรือนำไปแปรรูปได้ มีระยะเวลาในการเก็บผลประมาณ 30 วันต่อต้น เพราะผลหม่อนจะทยอยสุก เนื่องจากออกดอกไม่พร้อมกัน เมื่อต้นหม่อนมีอายุตั้งแต่ 2 ปี เป็นต้นไปจะให้ผลผลิตผลหม่อนประมาณ 1.5-35 กิโลกรัม(ประมาณ 750-1,850 ผลต่อครั้งต่อต้น) เพียงพอต่อการบริโภคผลสดทั้งครอบครัวทุกวัน ตลอดปี ซึ่งร่างกายต้องการวันละ 10-30 ผลเท่านั้น อีกทั้งยังมีผลหม่อนสดไว้แปรรูปเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้อีกหลายชนิด เช่น น้ำหม่อน แยมหม่อน เชอเบทหม่อน ฯลฯ

 

     เห็นมั้ยคะว่าจริงๆแล้ว หม่อนนั้นปลูกไม่ยากเลย แถมยังเจริญเติบโตได้ง่าย ไม่ต้องประคบประหงมมาก แต่ก็สามารถเก็บผลผลิตเก็บกินได้ทั้งปีหลังจากต้นโตเต็มที่แล้ว ถ้าอยากเก็บลูกหม่อนทานสดๆจากต้น ก็อย่าลืมทดลองปลูกกันดูนะคะ ได้กินผลไม้ดีมีประโยชน์ไม่ต้องไปซื้อให้เปลืองอีกด้วย

 

ขอขอบคุณที่มาจาก : http://www.lookmhee.com/news/105935

โจ๋โหด! เอาใบเลื่อยแทงทะลุหัวใจเพื่อน เหตุเพราะขายยาบ้าปลอมให้!!


วันที่ 4 ก.ค. เมื่อเวลา 06.30 น. พ.ต.ต.วิชิต วรรณพฤกษ์ ร้อยเวร สภ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ รับแจ้งพบศพผู้เสียชีวิตในป่าริมถนนภายในซอยข้างวัดหนองหูลิง บ้านหนองหูลิง หมู่ที่ 3 ต.บัวขาว อ.กุฉินารายณ์ หลังรับแจ้งจึงรายงานไปยังผู้บังคับบัญชา และเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.กุฉินารายณ์ และชุดสืบสวนภ.จว.กาฬสินธุ์ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และทีมแพทย์โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์

โดยที่เกิดเหตุพบศพชายอายุ 20-25 ปี นอนเสียชีวิตริมถนน ตรงซอยข้างวัดหนองหูลิง ตรงข้ามบ้านเลขที่ 322 หมู่ที่ 3 ต.บัวขาว อ.กุฉินารายณ์ สภาพศพสวมเสื้อยืดสีขาว นุ่งกางเกงขาสั้นสีเทา สวมรองเท้าแตะสีเขียว มีคราบเลือดทั่วร่างกาย ทราบชื่อภายหลัง คือ นายสุรศักดิ์ อายุ 24 ปี สภาพศพพบถูกของมีคมแทงเข้าที่หน้าอกลึกเข้าใต้ราวนกด้านซ้าย 1 แผล ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า สีน้ำตาล-ขาว ทะเบียน ฉ-2677 กาฬสินธุ์ จอดอยู่ คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง

จากการสอบถามชาวบ้านที่บ้านอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ทราบว่า เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมาได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์น่าจะเป็นของผู้ตายมาจอดตรงบริเวณที่เกิดเหตุ จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน อยู่นานคล้ายจะชกต่อยกัน ต่อมาอีกไม่นานเสียงเงียบไป จนมาในช่วงเช้า ขณะจะออกไปตลาดก็พบศพถูกฆ่าตายซึ่งคาดว่าจะเป็นการทะเลาะกัน

มีรายงานว่าภายหลังเกิดเหตุ ตำรวจได้คุตัววัยรุ่นที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาเค้นสอบจำนวน 7 คน โดยหนึ่งในนั้นเป็นผู้ต้องหาคือ นายพลรัตน์ อายุ 20 ปี ซึ่งให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมาฆ่า นายสุรศักดิ์ฯ ด้วยตนเอง โดยใช้ใบเลื่อยดัดแปลงที่ตะไบจนแหลมที่พกติดตัวมาแทง เนื่องจากไม่พอใจที่ก่อนหน้านั้นได้นำยาบ้าปลอมมาให้ตนเสพ

ทั้งนี้ผู้ต้องหาให้การว่า จังหวะซึ่งผู้ตายคงจะมาน้ำมันหมด ซึ่งตนเห็นพอดีจึงได้วิ่งเข้าไปต่อว่าเรื่องยาบ้าปลอมจนเกิดทะเลาะกัน ตนสู้ไม่ได้จึงใช้เหล็กแหลมแทงเข้าที่หน้าอก ก่อนที่จะนำร่างผลักเข้าไปริมถนนแล้วหลบหนีไป อย่างไรก็ตามภายหลังจากผู้ต้องการให้การรับสารภาพ ชุดจับกุมได้นำตัวส่งต่อ พ.ต.ต.วิชิต วรรณพฤกษ์ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี สภ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ดำเนินคดีในข้อหาฆ่าคนตายต่อไป

ขอบคุณที่มาจาก ณัฐพล เฉยฉิว

พื้นที่1ไร่!! ทำรายได้หลายเเสน ??


1 ไร่ ได้ 1 แสน หลายคนยังแคลงใจ เป็นได้หรือ? แต่ถ้าจะบอกว่า แสนเดียวมันน้อยไป จะเชื่อหรือไม่

เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ประทีป มายิ้ม เกษตรกรเจ้าของ ศูนย์การเรียนรู้ชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สวนพออยู่พอกิน บ้านมายิ้ม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พื้นที่แค่ 1 ไร่ ปีหนึ่งๆทำเงินได้หลายแสนด้วยหลักการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้เต็มที่ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน…ส่วนแรก 4 ตารางวา ทำเป็นพื้นที่ทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ สารกำจัดศัตรูพืช

“ส่วนที่ 2 ปลูกพืชแบบเศรษฐกิจพอเพียง ยึด 10 เมนูยอดนิยมครัวไทยต้องใช้พืชอะไร ผมก็ปลูกพืชพวกนั้น ข่า ตะไคร้ กระวาน ผักชี ขึ้นฉ่าย ฟักทอง โหระพา กะเพรา พริก มะเขือ มะกรูด มะนาว มะละกอ ฟัก แฟง แตงกวา ปลูกหมด”

 แค่มะละกอ 200 ต้น ประทีป บอกว่า เก็บผลขายได้ทุกวัน วันละ 20 กก. กก.ละ 15 บาท แล้วไหนวันเว้นวันยังจะได้จากพืชผักทั้งหลายอีกครั้งละพันบาท…แค่นี้ได้แล้วเดือนละ 24,000 บาท…ปีละสองแสนกว่าบาท

ส่วนที่ 3 ใช้เนื้อที่ 2.5 ตารางวา ทำคอกเลี้ยงสัตว์แบ่งครึ่งเลี้ยงเป็ดไข่ 10 ตัว อีกครึ่งเลี้ยงไก่ไข่ 10 ตัว ได้ไข่ทุกวัน มีแม่ค้าข้าวแกงมารับซื้อทุก 3 วัน ได้อีกเดือนละ 1,000 บาท ปีละ 12,000 บาท

ส่วนที่ 4 บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ 2 บ่อ…บ่อแรก 2 ตารางวา ขุดไว้เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาดุก เพาะพันธุ์ขายลูกกับใช้ประโยชน์ไว้กินแมลงศัตรูพืช ได้อาหารให้ปลาดุกฟรีๆ เลี้ยงพ่อพันธุ์ไว้ 20 ตัว แม่พันธุ์ 100 ตัว จะได้ลูกพันธุ์ไปขายตัวละ 1 บาท เดือนละ 10,000 ตัว…ปีหนึ่งเกินแสน

บ่อที่ 2 เนื้อที่ประมาณ 11 ตารางวา ก่ออิฐทำเป็นบ่อเลี้ยง 4 กุ้ง 3 ปลา 2 หอย…4 กุ้ง = กุ้งก้ามแดง-กุ้งก้ามกราม-กุ้งแม่น้ำ-กุ้งฝอย ปล่อยลูกพันธุ์อย่างละ 1 พันตัว…3 ปลา = ปลานิล-ปลาตะเพียน-ปลาคาร์พ…2 หอย = หอยขม-หอยโข่ง

พื้นบ่อเป็นดินเพื่อจะได้ผสมพันธุ์ออกลูกได้ เลี้ยงกันแบบธรรมชาติ อาหารเม็ดอย่าฝันว่าจะได้เงิน ประทีป ใช้แหน สาหร่าย ผักกระเฉด ผักบุ้ง พร้อมกับปลูกข้าวไม่หวังเก็บเกี่ยวไปขาย ต้องการแค่ให้ใบร่วงไปเป็นอาหารสัตว์น้ำเท่านั้นเอง

1 ปี จะได้กุ้งก้ามแดงให้จับขายประมาณ 1.5 แสนบาท…กุ้งก้ามกราม ปีหนึ่งจับได้ 2 หน เป็นเงิน 14,000 บาท…กุ้งแม่น้ำได้ปีละหน 2,400 บาท…จับขายเฉพาะตัวใหญ่ ตัวเล็กเก็บไว้เลี้ยงต่อ โตขึ้นได้ขนาดเมื่อไรถึงขาย แถมยังได้มีโอกาสปล่อยให้จับคู่ผสมพันธุ์ออกลูกหลานให้เราเลี้ยงไปขายได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

ปลาตะเพียน 10 ตัว ไม่ได้หวังขาย เลี้ยงไว้เพื่อตรวจวัดคุณภาพน้ำ เช้าขึ้นมาปลาตะเพียนลอยหัว ถึงคราวเปลี่ยนน้ำ…ปลานิลเลี้ยงไว้ 10 คู่ ออกลูกหลานมาให้จับขายปีละ 3 หน หนละ 20 กก. ปีหนึ่ง 2,400 บาท ส่วนปลาคาร์พ ซื้อลูกปลาตัวละ 5 บาท มาเลี้ยง 4-5 เดือน เอาไปขายร้านปลาสวยงามได้ตัวละ 80 บาท

หอยขมและหอยโข่ง เลี้ยงไว้ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกก้นบ่อ ปล่อยลูกพันธุ์อย่างละ 1-2 กก. เลี้ยงจนโตออกลูกออกหลาน สามารถจับขายได้ทุกสัปดาห์ หอยขมได้ 200 บาท หอยโข่ง 300 บาท…ปีละ 26,000 บาท

รวมแล้วพื้นที่ 1 ไร่ ประทีปทำเงินได้…ปีละไม่ต่ำกว่า 6 แสนบาท.

ขอบคุณที่มา https://www.thairath.co.th/content/536759

แชร์สนั่นโซเชียล!! หนุ่มขับรถเจอ“ยายหาบขนมขาย” ไม่มีรองเท้าใส่เลยถอดให้ (มีคลิป)


เกิดเป็นภาพและโพสต์เรียกน้ำตาชาวโซเชียล หลังผู้ใช้เฟซบุ๊ก คุณหญิง ดาร์ลี่ กับแฟนหนุ่ม บังเอิญไปเจอ “คุณยายแก่ๆ” หาบขนมขาย โดยไม่มีรองเท้าใส่ อยู่ริมถนนท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว จึงได้ช่วยเหมาขนมและแฟนหนุ่มได้สละรองเท้าของตัวเองให้คุณยาย โดยระบุข้อความทั้งหมดว่า

“วันนี้เจอคุณยายหามขนมมาขายในปั้ม ปตท.แห่งหนึ่ง ใน อ.กุฉินารายน์ จ. กาฬสินธุ์ ยายไม่ได้ใส่รองเท้า เราบอกให้ยายเดินเข้าไปข้างเซเว่นเพื่อที่เราจะได้ช่วยซื้อขนมแต่ยายปฏิเสธพร้อมท่าทางหวาดกลัว เราเลยถามว่าทำไมไม่เข้าไปล่ะยาย แกตอบด้วยเสียงสั่นๆว่า “เดียวเขาด่า ยายเพิ่งโดนเขาด่ามาเมื่อกี้นี้เอง”

เราเลยรีบซื้อขนมกับแกหนึ่งห่อ จากนั้นยายก็เดินจากไป แล้วเราก็ทำธุระในปั๊มต่อ หลังจากเสร็จธุระแล้ว เราก็ออกจากปั๊มแล้วไปเจอยายอีกครั้งซึ่งห่างจากปั๊มไม่ไกลนัก ด้วยความสงสารเราจึงลงจากรถอีกครั้ง เพื่อไปเหมาขนมให้ยาย พร้อมกับมอบรองเท้าที่เราใส่ให้ยายหนึ่งคู่

พร้อมกับพูดคุยกับยาย จึงได้ความว่า ยายมีสามีตาบอดหนึ่งคนกับลูกชาย 2 คน คนโตไปทำงานที่กรุงเทพฯ ส่วนคนเล็ก ติดยาเสพติด ซึ่งยายได้ทำงานหาเลี้ยงเพียงคนเดียว อีกทั้งยายยังตาบอดหนึ่งข้าง

ดูคลิป!!


ขอบคุณข้อมูลจาก www.socialhot24.com