โอ้โห! ปลูกส้ม 20 ไร่ รายได้หลายล้านบาท/ปี


อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ขึ้นชื่อว่ามีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงและเป็นศูนย์กลางของความเจริญในเขต จ.เชียงใหม่ตอนบน  มีประชากรเป็นอันดับสองของ จ.เชียงใหม่ แล้วยังเป็นต้นกำเนิดของ “ ส้มสายน้ำผึ้ง ” และเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของ อ.ฝาง นอกจากนี้สวนส้มที่นี่ยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว สวนส้มเชียงใหม่ กันเป็นจำนวนมากต่อปี สวนส้ม สายน้ำผึ้ง ของเกษตรกรฝีมือดีคนหนึ่งที่มีกระบวนการดูแล สวนส้ม ให้ได้ผลผลิตทั้งปี ผลผลิตรวม 4,000-5,000 ตะกร้า สร้างรายได้อย่างงามภายใต้ประสบการณ์ที่ทำ สวนส้ม มานานกว่า 16 ปี

คุณอนงค์ ชุมภูทัน หรือ ป้านงค์  เกษตรกรชาวสวนส้มที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเกษตรกรต้นแบบที่เดินหน้าพัฒนาสวนส้มบนพื้นที่ 20 กว่าไร่ เน้นปลูกสายพันธุ์สายน้ำผึ้งและนัมเบอร์วันไว้ร่วม 1,000  กว่า ต้นส้ม เนื่องจากส้มทั้ง 2 สายพันธุ์ ซึ่งในช่วงแรกของการสร้างสวนส้มนั้นต้องลงทุนค่อนข้างมากทั้งเรื่องการเตรียมพื้นที่ การเตรียมต้นพันธุ์ การบำรุงดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 4 ปี ต้นส้ม จึงจะสามารถให้ผลผลิตได้

สำหรับ วิธีปลูกส้ม และการดูแลรักษา สวนส้ม ป้านงค์จะเน้น การปลูกส้ม ในระยะ 3×5 เมตร มีการวางระบบน้ำให้กับ ส้ม ทุกต้นแบบมินิสปริงเกลอร์ มีแหล่งน้ำที่สมบูรณ์เนื่องจากพื้นที่ของ อ.ฝาง มีแหล่งน้ำใต้ดินที่ตื้นกว่าที่อื่น หากต้นพันธุ์สมบูรณ์และมีการดูแลที่ดีจะทำให้ ต้นส้ม บางต้นออกลูกได้เป็นครั้งแรกเมื่อมีอายุตั้งแต่ 2 ปีเต็มขึ้นไป เพื่อฝึกให้ต้นส้มเรียนรู้ที่จะติดดอกออกผลผลิตได้และให้ผลผลิตได้ในปริมาณมากขึ้นเมื่อมีอายุครบ 3 ปี เน้นป้องกันเพลี้ยไฟทำลายยอดด้วยสารเคมีอิมิดาโคลพริดที่จะทำให้ต้นส้มแคระแกรนและไม่คอยโตได้ แต่ ต้นส้ม จริงๆแล้วจะเริ่มให้ผลผลิตได้เต็มที่ เมื่อต้นส้มมีอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไปที่สามารถเก็บผลผลิตขายในเชิงการค้าได้ทั้งรสชาติและคุณภาพผลผลิตที่ออกมาสู่ตลาด

ต้นส้มสายน้ำผึ้งที่ดูแลและจัดการสวนด้วยตนเอง
การปลูกส้ม สายน้ำผึ้ง

วิธีปลูกส้ม การดูแลและบำรุงรักษา ต้นส้ม จะมีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งปีหลังจากที่เริ่มเก็บผลผลิตได้ในครั้งแรก โดยจะเริ่มต้นจากการตัดแต่งกิ่งหลังจากฤดูการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยตัดแต่งกิ่งส้มจะเลือกกิ่งแขนงที่ไม่สมบูรณ์  ตัดกิ่งที่อ่อนแอ กิ่งที่มีใบน้อยทิ้งไปตัดยอดเพื่อให้ต้นส้มเตี้ยลง เน้นตัดแต่งกิ่งให้โปร่งประมาณ 4-5 ส่วน/ต้น เพื่อง่ายต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิต ประหยัดค่าแรงและแรงงานในการเก็บผลผลิต หลังตัดแต่งกิ่งได้ประมาณ 7 วันจะฉีดพ่นอาหารเสริมพืชเพื่อให้ต้นส้มเริ่มแตกตาดอก 3-5 วัน ก่อนที่ดอกจะบานใช้เวลาไม่ถึงเดือน เพราะดอกส้มจะออกเร็ว 3-5 วัน หลังดอกบานได้ประมาณ 5 วัน ดอกก็จะร่วง จึงต้องดูแลในส่วนนี้ให้มากกว่าช่วงที่เป็นผลอ่อนเพราะถ้าผลผลิตจะเสียก็จะเสียตอนออกดอกนี้เอง

ทางสวนจึงต้องดูแลให้ดีเป็นอย่างมากช่วงออกดอก เพราะช่วงออกดอกนั้นจะทำให้เกิดไรแดงได้ง่าย จึงต้องดูแลเป็นอย่างดี  หลังจากนั้นส้มจะเริ่มแตกใบอ่อนที่จำเป็นต้องรักษาใบอ่อนด้วยการใส่ปุ๋ยดิน ฉีดพ่นทางด้วยปุ๋ยเกล็ดและสาหร่ายจะช่วยให้ส้มมีใบและดอกที่แข็งแรงและสมบูรณ์ขึ้น มีการใช้สารเคมีป้องกันหรือกำจัดเพลี้ยไฟและไรแดงจำพวกที่ชอบเข้าทำลายใบอ่อน ดอกส้มและผลอ่อนของส้มอยู่เป็นประจำ การป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่าแก้ปัญหาภายหลังที่ทำได้ค่อนข้างยากลำบากกว่า  เน้นใส่ปุ๋ยคอกหรือขี้หมูที่ได้จากการเลี้ยงหมูขุนเอาไว้เพื่อให้ได้ขี้หมูใส่ต้นส้มทุกปี  ใส่ปุ๋ยอินทรีย์เม็ดเพื่อปรับสภาพดินให้ดี ใส่ปุ๋ยเคมีเพื่อบำรุงต้นและใบให้สมบูรณ์  มีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละ 15 นาที  จะทำให้ต้นส้มมีใบอ่อนที่สมบูรณ์เปลี่ยนเป็นใบแก่ที่พร้อมจะแทงช่อดอกออกมาเมื่อต้นส้มได้รับน้ำและได้สัมผัสกับอากาศที่เหมาะสม ก่อนบำรุงช่อดอกด้วยปุ๋ยคอก ฮอร์โมนและอาหารเสริมทางใบ ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 เพื่อบำรุงทางดินเดือนละ 1 ครั้ง เพราะส้มจะมีลักษณะการกินโดยใช้รากฝอยหากินลงไปไม่ลึกจากหน้าดิน การฉีดพ่นสารเคมีป้องกันเชื้อราและเพลี้ยไฟเข้าทำลายช่อดอกให้เสียหาย

“ถ้าดูแลใบให้ดี ดูแลช่อดอกให้ดีต้นส้มจะโตเร็ว เจริญเติบโตได้ค่อนข้างดี ส้มต้องตัดแต่งกิ่ง ทำทรงพุ่ม ถ้าไม่ตัดแต่ง กิ่งทรงพุ่มก็ไม่สวย ยอดใหม่ก็ไม่มี เพราะการตัดแต่งกิ่งจะทำให้เกิดยอดใหม่  เกิดใบใหม่ ส่วนใบแก่ก็จะร่วงทิ้งไปและเน้นทำช่อดอกให้มันดีที่สุด ช่วงช่อดอกสำคัญมากต้องดูแลให้ดี ”  ป้านงค์ให้เหตุผลและความสำคัญของการตัดแต่งกิ่ง

ผลผลิตที่เป็นของฝากชั้นดีให้กับทุกท่านและทีมงานนิตยสารเมืองไม้ผลและพืชสุขภาพ
ผลผลิตและราคา ส้มสายน้ำผึ้ง ทำให้ผลผลิตในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 4,000-5,000 ตะกร้า ในราคาเฉลี่ย 35 บาท/กก. มีรายได้หลายล้านบาทต่อปี ส่วนราคาในปีนี้คุณอนงค์บอกว่า น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว ผลผลิตคละไซซ์อยู่ที่ 40-50 บาท/กก.

ที่สำคัญ สวนส้มเชียงใหม่ แห่งนี้เน้นใช้แรงงานในครอบครัวซึ่งทิศทางการตลาดของ ส้ม ในอนาคตนั้นน่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งส้มฝางมี จุดแข็งคือให้ผลผลิตที่ดีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เกิดจากสภาพดินที่ดี มีพื้นที่เหมาะสม มีภูมิอากาศที่ดี ทำให้ต้นส้มติดดอกออกผลง่าย ให้ผลผลิตที่ดีทั้งรสชาติ สีสันและขนาดที่ดีกว่าที่อื่น ส่วนจุดอ่อนนั้นคงอยู่ที่การตลาดของที่นี่เกษตรกรต้องทำผลผลิตให้มีคุณภาพ ต้องวางแผน การปลูกส้ม และดูแลให้เหมาะสม  “คนบางคนมองว่าทำไมเรามี วิธีปลูกส้ม ทำส้มลูกใหญ่ ทำไมไม่ทำส้มลูกเล็ก แต่ป้าเป็นเกษตรกร ป้าก็ต้องทำส้มให้ลูกใหญ่ไว้ก่อน ถึงอย่างไรลูกเล็กก็ขายได้กิโลกรัมละ 20 บาท แต่ลูกใหญ่ขายได้กิโลกรัมละ 25 บาท ใช้แรงงานเราเองเพียงไม่กี่คนจะเก็บได้เพิ่มอีก 5 บาท” ป้านงค์ย้ำถึงจุดยืนในการปลูกส้ม ซึ่งข้อดีของการทำ สวนส้ม คือ ส้มให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี  สร้างเนื้อสร้างตัวได้ก็เพราะส้ม เพราะทำ สวนส้ม จึงมีวันนี้ได้และอยากฝากถึงเกษตรกรที่กำลังปลูกสวนส้มอยู่ว่า

“ใครที่ทำส้มอยู่ตอนนี้จะดี เพราะเดี๋ยวนี้อากาศเริ่มดีขึ้น แต่สมัยก่อนส้มแย่ แก้ปัญหาไม่ได้  แต่ในสมัยนี้เราแก้ปัญหาได้แล้ว ใครจะทำก็ทำได้ ใครจะ การปลูกส้ม ยินดีด้วย แต่ราคาคงจะไม่ตกต่ำเหมือนสมัยก่อน เพราะบางคนก็ท้อแท้แต่ผลผลิตอะไรที่เราทำด้วยตัวเองนั่นแหละมันจะดี และมั่นคงที่สุด ” ป้านงค์กล่าวในตอนท้าย

ขอบคุณที่มา https://goo.gl/e7RWvrเรียบเรียงโดย DPSNews

ฮือฮาปลูก”กล้วยมังกร” ฝังดิน รดน้ำทิ้งไว้ 2 เดือน พอเอาขึ้นมาผ่าทำเอาตะลึง!! จริงเหรอเนี่ย? (มีคลิป)


คลิปเด็ด มาอีกแล้วกับคลิปวิธีการปลูกผลไม้ที่เป็นการปลูกแบบผสม ซึ่งกำลังเป็นที่ยอดฮิตกันอยู้ในทุกวันนี้ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้นั้นมีคนปล่อยคลิปวิธีการปลูกกล้วยและกีวี่เข้าด้วยกันทำยอดวิวพุ่งสูงปรี๊ดไปถึง 100 ล้านกว่าวิว

และวันนี้เราก็มีอีกหนึ่งคลิปที่เกี่ยวกับการปลูก แต่เป็นการปลูกผลไม้สองชนิดเข้าด้วยกันนั่นก็คือ “กล้วยและแก้วมังกร” จากนั้นก็นำไปฝังดินรดน้ำปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2 เดือนจนรากงอกออกมา แล้วทำการผ่าดูซึ่งที่เห็นข้างในนั้นคือกล้วยที่มีการยัดไส้แก้วมังกรอยู่นั่นเอง

ชาวเน็ตเลยสงสัยว่าคลิปนี้จะเป็นคลิปที่ถูกทำขึ้นมาอีกแน่ๆ เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ที่กล้วยที่ถูกตัดไปแล้วนั้นจะออกมาเต็มลูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็จริงเพราะมันเป็นไปไม่ได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามคลิปนี้ก็สามารถทำยอดวิวพุ่งทะลุกว่า 5 ล้านวิว เป็นที่เรียบร้อยหลังจากปล่อยออกมาได้เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น

โดยทางเราได้สัมภาษณ์ไปทางเจ้าของเพจ “ครูซ่าส์ท้าเต้น” เจ้าของคลิปคนไทยที่สร้างคลิปนี้ขึ้นมา ซึ่งทางครูซ่าส์ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับทางเราว่าสาเหตุที่จัดทำคลิปนี้ขึ้นมานั้น ก็เพื่อสะท้อนสังคมให้กล้าคิด กล้าทำ ในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ อยากให้คนไทยมีความคิดสร้างสรรค์แปลกๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นการปลุกใจผู้คนอย่างหนึ่งให้กล้าลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั่นเอง” 

(คลิปนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแรงผลักดันให้คนกล้าคิดกล้าแสดงออก และความบันเทิงเท่านั้น!!)

ผ่าแก้วมังกรออก

ผ่ากล้วย

นำมาประกบกัน

รดน้ำฝังดิน

ปล่อยให้เป็นแบบนี้นานกว่า 2 เดือน

นำขึ้นมา

แล้วดูผลลัพธ์ที่ได้

alt=”” width=”600″ />

ชมคลิป

ขอบคุณที่มา https://helen.co.th/12634/

เคยเห็นไหม?? องุ่นบราซิล ลูกออกตามต้น!


องุ่นบราซิล, องุ่นต้น หรือ ฌาบูชีกาบา  เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ชมพู่ (Myrtaceae) เป็นไม้โตช้า ไม่ผลัดใบ เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา ใบเดี่ยว ใบอ่อนเป็นสีแดง แก่แล้วเป็นสีเขียว ดอกเป็นดอกช่อ สีขาว ผลมีลักษณะคล้ายองุ่น กลมรี ออกเป็นกระจุกแน่นตามลำต้น และกิ่งก้าน ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่เป็นสีม่วงเกือบดำ ลักษณะคล้ายผลตะขบไทย มีเมล็ดอยู่ข้างใน

ผลสุกใช้แปรรูปเป็นน้ำผลไม้ วิสกี้ ไวน์ และแชมเปญ และรับประทานสดเป็นผลไม้ในตลาดบราซิล นิยมรับประทานสด ใช้ทำแยม ทาร์ต พบสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านมะเร็งในผล

ชื่อองุ่นต้นบราซิล เป็นไม้ยืนต้น เนื้อแข็ง สูง 10-15 เมตร ลำต้นใหญ่ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเทา  แตกกิ่งก้านต่ำเป็นพุ่มกว้าง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ เป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ใบดกให้ร่มเงาดีมาก โดยเฉพาะตอนแตกใบอ่อน ใบจะเป็นสีแดงสดก่อนเปลี่ยนเป็นสีเขียวทำให้ดูงดงามสดใสยิ่งนัก นักเลงบอนไซในบ้านเรานิยมนำเอาต้นไปทำเป็นไม้แคระ หรือบอนไซสวยงามมาก “องุ่นต้นบราซิล” จริงๆว่าเปรี้ยวปนหวาน มีเนื้อหุ้มเมล็ด 1 เมล็ด แบบฉ่ำน้ำชุ่มคอดีมาก ซึ่งเพื่อนได้บอกอีกว่า “องุ่นต้นบราซิล” ปลูกแล้วโตเร็ว ติดผลดกมาก สามารถเก็บผลไปแปรรูป ทำน้ำผลไม้ หมักทำเหล้าวิสกี้ ไวน์ และ แชมเปญ ได้คุ้มค่า และมีผลทั้งปี จึงนำเสนอในคอลัมน์อีกครั้งตามระเบียบ

องุ่นต้นบราซิล เป็นไม้ยืนต้น เนื้อแข็ง สูง 10-15 เมตร ลำต้นใหญ่ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเทา แตกกิ่งก้านต่ำเป็นพุ่มกว้าง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ เป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ใบดกให้ร่มเงาดีมาก โดยเฉพาะตอนแตกใบอ่อน ใบจะเป็นสีแดงสดก่อนเปลี่ยนเป็นสีเขียวทำให้ดูงดงามสดใสยิ่งนัก นักเลงบอนไซในบ้านเรานิยมนำเอาต้นไปทำเป็นไม้แคระ หรือบอนไซสวยงามมาก

ดอกเป็นสีขาว ออกตามลำต้นและกิ่งก้าน ดอกเป็นฝอยๆ หรือเป็นพู่คล้ายดอกพู่จอมพล เวลามีดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูแปลกมาก “ผล” เป็นรูปทรงกลม ผลโตเต็มที่ประมาณผลตะขบป่า หรือประมาณปลายนิ้วหัวแม่มือผู้ใหญ่ ผลสุกเป็นสีม่วง หรือ ม่วงดำ คล้ายสีของผลหว้า แต่เปลือกของผล “องุ่นต้นบราซิล” จะเหนียวและหนากว่า เวลารับประทานเนื้อในต้องใช้ เล็บจิก หรือฉีกให้เปลือกขาดจึงจะกินได้ เนื้อในเป็นสีขาวหุ้มเมล็ด เป็นปุยเหมือนเนื้อของกระท้อน รสชาติเปรี้ยวนำปนหวานนิดๆคล้าย รสชาติของผลหว้าอร่อยมาก เวลาติดผลจะเป็นพวงหรือเป็นกลุ่มกระจายตามลำต้นและกิ่งก้านน่าชมยิ่ง เหมือนกับไข่ปลาหรือไข่กบสีดำติดกระจายอยู่บนต้นไม้แปลกมาก ดอกและผลมีตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอนกิ่ง

องุ่นต้นบราซิล ยังมีสรรพคุณทางสมุนไพรด้วย โดยในประเทศบราซิลถิ่นกำเนิดของต้นไม้ชนิดนี้ ใช้ เปลือกหรือผิวของลำต้น ไปทำยารักษาโรคหืด โรคท้องร่วง และ ลดการอักเสบเรื้อรังของต่อมทอนซิลได้ดีมาก (วิธีรับประทาน ใช้ต้มน้ำดื่มกะจำนวนไม่มากนัก ดื่มวันละหลายครั้ง) และจากสรรพคุณดังกล่าว “องุ่นต้นบราซิล” จึงเป็นไม้น่าปลูกเป็นอย่างยิ่งครับ.


ปลูกองุ่นริมรั้ว ปลูกในเมืองได้ ง่ายนิดเดียว ผลผลิตเป็นกอบเป็นกำ!!!


การปลูกองุ่นริมรั้ว นอกจากจะมีผลผลิตให้ได้ทาน หรือสร้างรายได้แล้ว ยังเป็นความเพลิดเพลิน และสร้างความร่มเย็นให้กับบริเวณบ้านอีกด้วย สำหรับการปลูกองุ่นริมรั้ว เริ่มจาก การหาทำเลที่ปลูกภายในรั้วบ้าน ซึ่งองุ่นต้องการแสงแดดส่องอย่างน้อยครึ่งวัน หากปลูกในที่ร่มองุ่นจะไม่ออกผลหลังจากนั้น หากิ่งพันธุ์องุ่น เลือกปลูกพันธุ์ที่ทนต่อสภาพอากาศร้อน และทนต่อโรคได้ดี และควรมีใบสวยงาม การปลูกตามบ้านเรือนมักจะมีปัญหาเรื่องพื้นที่จำกัด มีพื้นที่ให้องุ่นเลื้อยน้อย ดังนั้นควรเลือกพันธุ์ที่มีข้อสั้น คือมีระยะห่างระหว่างใบน้อย หากเป็นพันธุ์ข้อยาวจะเลื้อยออกนอกค้างเร็วมาก

การเตรียมพื้นที่ปลูก เช่น หลุมปลูก หรือกระถางต้นไม้ก็ได้ แต่ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องพื้นที่ควรปลูกลงดินเพราะในดินมีแร่ธาตุอาหารมาก ทำให้ง่ายต่อการดูแล ลืมรดน้ำก็ไม่ตาย ไม่ใส่ปุ๋ยให้มันก็หาดูดเอาจากในดิน หากปลูกลงกระถางจะต้องดูแลมาก หากปลูกลงดินควรเตรียมหลุมปลูกโดยขุดดินเดิมออกมาก่อน ขุดให้ได้ขนาดหลุม กว้าง 2 คืบ ลึก 2 คืบ ใส่ปุ๋ยคอกรองที่ก้นหลุมเยอะๆ จากนั้นนำดินดีผสมกับปุ๋ยคอกเททับลงไป นำต้นกล้าวางลงแล้วกลบด้วยดินดีผสมปุ๋ยคอก รดน้ำให้ชุ่ม ไม่ต้องทำร่มให้ต้นกล้า ช่วงแรกรากยังน้อยดูดน้ำไม่เก่งควรรดน้ำปล่อยๆ ทั้งเช้าและเย็น

ระยะแรกที่ปลูก ถ้ายังไม่พร้อมทำค้าง(ซุ้ม) ให้มันเลื้อย ให้ใช้ไม้ปัก หรือใช้เชือกขึงให้องุ่นไต่ขึ้นไปแทน หากมีค้างแล้วก็ผูกเชือกไปที่ค้าง เมื่อเลื้อยขึ้นร้านได้แล้ว ให้ตัดแต่งกิ่งก้านให้สวยงามตามทิศทางที่ต้องการ อย่าเพิ่งเร่งให้ออกผล เมื่อต้นองุ่นสมบูรณ์แล้ว ให้ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอธรรมดาอย่าง 15-15-15 หรือสูตรที่ดีกว่านี้ ก็สามารถติดดอกออกผลได้ กิ่งองุ่นจะออกดอกติดผลพร้อมกัน ผลสุกในเวลาไล่เลี่ยกันให้จัดสรรผลผลิตให้ดีๆ หากปลูกเพื่อความเพลิดเพลินไม่ได้เชิงพาณิชย์ ก็สามารถนำไปแบ่งเพื่อนบ้าน หรือแจกจ่ายญาติพี่น้องได้

ที่มา:  https://news.mthai.com/economy-news/453403.html เรียบเรียงโดยDPSNews

10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน มีอะไรบ้างมาดูกัน


วันนี้DPSNews จะพาเพื่อนๆไปพบกับเรื่องของ 10 ข้อที่ควรรู้เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ว่าต้องควรปฎิบัติอย่างไรซึ่งหลายๆท่านอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อน และหากมีการปฎิบัติที่ผิดขั้นก็อาจจะมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดตามมาได้เช่นกัน เดี๋ยวเราไปชมกันเลยครับกับเกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันนี้

เรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนนั้นถือว่า มีประโยชน์อย่างมากในการทำตาม เพราะถ้าหากมีการปฎิบัติที่ไม่ถูกต้องก็อาจจะส่งผลตามมาได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนมีดังนี้

1.ควรหยุดรถทันที

ควรทำการหยุดรถทันทีเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็ตาม และไม่ควรเคลื่อนย้ายรถหากว่ายังไม่ได้มีการตกลงกันในเรื่องอุบัติเหตุว่าใครเป็นผู้ที่ผิด ทางทีดีควรรอจนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาตีเส้นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุในที่เปลี่ยวก็ควรที่จะเลื่อนรถไปจอดในที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันการถูกจี้ปล้นในที่เปลี่ยว

2.อย่าพูดขอโทษ

เรื่องของการพูดขอโทษเมื่อเกิดอุบัติเหตุถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแต่การพูดขอโทษในบางครั้งอาจจะเป็นการยอมรับว่าคุณได้เป็นฝ่ายกระทำผิด ซึ่งอาจจะทำให้เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

3.ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

เมื่อเกิดอุบัติเหตุควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณให้ละเอียด แก่ประกันภัยของคู่กรณีหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ

4.ขอข้อมูล
หลังจากที่เราได้ให้ข้อมูลดังกล่าว ไปแล้วเราก็ควรข้อข้อมูลรถคู่กรณีด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากคู่กรณีไม่ให้ข้อมูล ก็ควรจดเลขทะเบียนและรูปพรรณของรถเอาไว้

5.แจ้งตำรวจ
เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะเล็กหรือน้อย ก็ตามควรที่จะแจ้งตำรวจทุกครั้งหากเกิด อีกฝ่ายนึงไปแจ้งความภายหลังคุณอาจจะกลายเป็นผู้ที่หลบหนีได้ จะทำให้เป้นฝ่ายผิดทุกกรณี

6.หาพยาน

ซึ่งพยานนั้นสามารถหาได้จากบริเวณดดยรอบที่เกิดเหตุ หากเขายินยอมเป็นพยานก็ควร ขอ ชื่อ-ที่อยู่ไว้เพื่อทำการติดต่อ

7.ไปโรงพยาบาล
หากสงสัยว่าเกิดอาการบาดเจ็บ ควรไปหาหมอเพื่อทำการตรวจร่างกาย แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้การเรียกร้องค่าเสียหายนั้นยากขึ้น

8.ต้องรีบแจ้งความ
เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตต้องรีบแจ้งความทันที เพราะบริษัทประกันภัยจะไม่มีการับใบแจ้งความย้อนหลัง

9.ตกลงเรื่องค่าเสียหายให้ดี
เมื่อเจ้าหน้าที่ประกันภัยมาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จะแนะนำคุณในเรื่องของค่าเสียหายว่าจะให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้ชดใช้หรือจะรับผิดชอบเองเพราะในบางกรณีนั้น ที่ให้บริษัทประกันภัยเป้นผู้ชดใช้อาจจะสงผลให้ค่าเบี้ยประกันเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัทประกันภัย แต่ถ้าหากเป็นผู้ชดใช้เองจะทำให้เสียเงินน้อยกว่า ค่าเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้น

10.อย่ารีบรับข้อเสนอ

          เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หากอีกฝ่ายเป็นผู้ยอมรับผิดอย่าพึ่งรีบรับขอสนอให้ทำการยอมความ เพราะถ้าหากเกิดบาดเจ็บแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน จะทำให้เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ยาก
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันที่ทางทีมงานได้นำมาให้เพื่อนๆได้ชมกันเกี่ยวกับเรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ซึ่งเพื่อนๆสามารถนำไปใช้ได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ขอบคุณที่มา http://car.boxzaracing.com/knowledge/5783 เรียบเรียงโดยDPSNews

“ใบเตย เพลงที่มีงู”โดนโจ๋ฮือปาน้ำแข็งหน้าบนเวที ‘ดีเจแม็กกี้’ ถูกตื้บซ้ำคาผับดัง(มีคลิป)

วันที่ 26 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนพัฒน์ นุชเทศ หรือดีเจแม็กกี้ เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนและ “น้องใบเตย” เจ้าของท่าเต้นสุดฮิตโลกโซเชี่ยล “เพลงที่มันมีงูออกมา” ถูกทำร้ายร่างกายที่ผับแห่งหนึ่งย่านวังทองหลาง ขณะนี้ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีแล้วโดย นายธนพัฒน์ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของใบเตย เผยว่า “ผมเองก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดครับ เรื่องเกิดจาก ใบเตยเต้นอยู่บนเวทีอยู่ดีๆ โดนกลุ่มผู้ชายเอาน้ำแข็งก้อนใหญ่ปาใส่ทั้งหัว ทั้งหน้า ทั้งท้อง จนต้องเต้นไปด้วยเอามือปิดหน้าไปด้วย เพราะโดนน้ำแข็งปา กลุ่มผู้ชายที่ทำร้ายไม่พอใจที่ผมไปต่อว่า เลยพาพวก 6 คนขึ้นมารุมผมบนบูทดีเจ ต่อหน้าคนอีก 500 คนในร้าน ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นกันหมดทุกคน คลิปจากหลายร้อยคนที่ถ่ายอยู่ในตอนนั้นมันมี ขอให้ทุกๆ อย่างเป็นไปตามความยุติธรรมแล้วกันครับ ใครที่มีคลิปกรุณาส่งให้ผมทุกคลิปที”

ทั้งนี้ นายธนพัฒน์หรือ ดีเจแม็กกี้ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว “ข่าวสด” ว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.30 น. ของวันนี้ ขณะที่ตนกำลังทำหน้าที่เป็นดีเจที่ผับแห่งหนึ่ง และน้องใบเตยกำลังเต้นอยู่บนเวที มีกลุ่มชายประมาณ 5-6 คน ปาน้ำแข็งก้อนขึ้นมาบนเวทีโดนตัวใบเตยจนแทบล้มจากเวที โดยใบเตยยังเต้นต่อไปแต่เอามือมาปิดไว้ไม่ให้โดนใบหน้า เมื่อตนเห็นท่าไม่ดีจึงประกาศผ่านไมค์ว่า ให้การ์ดจับตัวเอาไว้

ใบเตย

ดีเจแม็กกี้กล่าวต่อว่า “พอพูดเสร็จ กลุ่มนั้นก็ยกพวกขึ้นมาบนเวทีมาทำร้ายผม ดีเจคนอื่นที่เข้ามาห้ามก็โดนลูกหลงด้วย จนมีการ์ดเข้ามาแยกผมจากชายกลุ่มนั้น” ดีเจคนดังเล่าต่อว่าระหว่างถูกทำร้าย ชายกลุ่มนี้ได้พูดขึ้นด้วยว่า “กูใหญ่พอตัวละกัน แจ้งตำรวจไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครทำอะไรกูได้” จากนั้นการ์ดจึงนำตัวตนขึ้นรถและตนได้ไปแจ้งความทันทีที่ สน.วังทองหลาง

 

ดีเจแม็กกี้
ทั้งนี้ ดีเจแม็กกี้ ยืนยันว่า ไม่เคยมีปัญหากับใครมาก่อน และไม่รู้จักคนกลุ่มนี้ แต่จะอย่างไรก็ตามไม่ควรทำร้ายผู้หญิง ตอนนี้ทั้งตนและน้องใบเตยรู้สึกไม่ปลอดภัย และตอนนี้จะหยุดงานไปสักพักก่อนจะมีความคืบหน้าอื่นๆ ต่อไป

ดูคลิป!

สุดยอด! ปลูกลองกองแบบเกษตรอินทรีย์


วันนี้DPSNews จะมานำเสนอเกี่ยวกับการปลูกลองกอง เทคนิคการปลูกลองกองแบบเกษตรอินทรีย์ ได้กระปุกยาว ผลดก ราคาดี

การเลือกต้นพันธุ์ลองกองที่จะนำมาปลูก

ต้นกล้า (จากการเพาะเมล็ด) ควรคัดเมล็ดจากต้นแม่พันธุ์ที่มีทรงพุ่มแข็งแรง ออกดอก สม่ำเสมอ ผลดกมีรสชาติดี

ต้านทานต่อโรคและแมลงซึ่งการปลูกด้วยต้นเพาะเมล็ดจะให้ผลผลิตช้ากว่า การขยายพันธุ์แบบไม่ใช้เพศ

ต้นพันธุ์ที่ได้จากการขยายพันธุ์ไม่อาศัยเพศ

* การทาบกิ่ง โดยใช้ต้นตอลางสาดหรือดูกู ซึ่งนิยมใช้ วิธีการทาบกิ่งแบบฝานบวบแปลง

* การเสียบกิ่งมี 2 แบบ การเสียบข้าง และการเสียบยอด ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน ใช้ต้นตอเป็นลองกอง

* การติดตา (Budding)

* ต้นกล้าที่ปลูกควรมีอายุ 1-1.5 ปี และควรมีใบแก่ทั้งต้น เพราะจะทำให้ ลองกองสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี

* หลังจากปลูกแล้วควรทำร่มเงาพรางแสง และควรคลุมโคนต้นด้วยเศษ หญ้าหรือใบไม้

* การเลือกพื้นที่ปลูกควรเป็นดินร่วนระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ท่วมขัง

* ระยะปลูกที่เหมาะสม 4×6, 6×6 และ 6×8 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่นั้น ๆ แต่แนวแถวควรอยู่ในแนวทิศเหนือ-ใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงการบังแสงจากต้นข้างเคียง

ขั้นตอนการปฏิบัติในสวนลองกอง

การปลูกและการดูแลรักษาลองกองก่อนออกดอก

การเตรียมพื้นที่ปลูก

เลือกพื้นที่ปลูก ควรเป็นพื้นที่ราบ น้ำไม่ท่วมขัง ดินเป็นดินร่วน ระบายน้ำได้ดี
กำหนดระยะปลูกที่เหมาะสม 4×6 เมตร หรือ 6×6 เมตร หรือ 6×8 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่
วางแผนเกี่ยวกับการวางระบบน้ำ

การเตรียมต้นเพื่อปลูกและช่วงเวลาควรปลูก

ควรใช้ต้นกล้าที่มีอายุ 1-1.5 ปี และมีใบแก่ทั้งต้น
เลือกต้นที่แข็งแรง สมบูรณ์
ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
ทำร่มเงาพรางแสงหลังจากปลูก

การตัดแต่งกิ่งเพื่อสร้างทรงพุ่ม

ต้นลองกองหลังจากปลูก ตัดยอดเมื่อต้นสูงประมาณ 1.-1.5 เมตร

ตัดกิ่งที่ไม่ต้องการ รวมทั้งส่วนยอดที่สูงกว่า 1.5 เมตร ออก

เลือกกิ่งแขนงที่แข็งแรง 4 -6 กิ่ง กิ่งที่อยู่ต่ำสุดควรสูงจากพื้นดิน 80 เซนติเมตร

เลือกกิ่งที่ทำมุมกว้าง ตัดแต่งให้ทรงพุ่มโปร่ง และตัดกิ่งที่ทำมุมแคบกับลำต้นออก

ตัดกิ่งยอดและกิ่งกระโดงที่แตกขึ้นมาใหม่

กำหนดแนวทรงพุ่มให้อยู่ในกรอบของ 4 เมตร หรือแนวทรงพุ่มที่ต้องการ

 

การให้น้ำ

– การให้น้ำปีแรกที่ปลูกควรให้อย่างสม่ำเสมอ เมื่ออายุ 2-3 ปี ควรให้สัปดาห์ ละ 2 ครั้ง

การให้ปุ๋ย (ปุ๋ยอินทรีย์หรือน้ำหมักชีวภาพ)

ใช้ มีเฮ น้ำหมักชีวภาพ ได้ตั้งแต่เริ่มบำรุงต้น (ปลูกใหม่หรือหลังเก็บเกี่ยว) ใบ, เตรียมตาดอกและให้ผล โดยผสมมีเฮ 1 ลิตรต่อน้ำ 1,000 ลิตร ฉีดพ่นทั้งใบ, ต้น และลงดิน บริเวณทรงพุ่มเป็นประจำ โดยใช้ 10-15 วันต่อ 1 ครั้ง แล้วให้น้ำตาม หรือ ราดมีเฮลงบริเวณทรงพุ่มขณะให้น้ำต้นละ 20-30 ซีซี

การตัดแต่งช่อดอก

 

ตัดช่อดอกครั้งแรกเมื่อช่อดอกยาว 3-5 เซนติเมตร เหลือ 1-2ช่อดอกต่อ กลุ่มตาดอก

ตัดแต่งระยะห่างช่อดอก 20-30 เซนติเมตร

อัตราช่อดอกต่อกิ่ง

– เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ไว้ดอก 3-5 ช่อ

– เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว ไว้ดอก 10-15 ช่อ

ขอบคุณที่มา https://goo.gl/KmjUoT เรียบเรียงโดยDPSNews

15 เรื่องน่ารักๆ ของหมอปลาวาฬ “ในไทบ้านเดอะซีรีย์”


วันนี้DPSNews จะพามาดูนางเอกสาวตัวเล็ก ยิ้มหวาน จากภาพยนตร์ที่หลายๆคนชอบดู “ไทบ้านเดอะซีรีย์” กับบทบาทคุณหมอปลาวาฬ สาวเรียบร้อย พูดน้อยแต่กลับผิดหวังในเรื่องของความรัก หลายคนคงอยากจะรู้จักสาวน้อยคนนี้แล้วว่าเป็นใครมาจากไหน เราไปรู้จักตัวตนของ “ฟิฟิม-สิริอมร อ่อนคูณ” ให้มากขึ้นกันดีกว่า 

รู้จักกับ คุณหมอปลาวาฬ “ไทบ้านเดอะซีรีย์”

ประวัติส่วนตัว คุณหมอปลาวาฬ

ชื่อ : ฟิฟิม-สิริอมร อ่อนคูณ

กำลังศึกษา : ชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาการสารสนเทศ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

เกิดวันที่ :  21 พฤษภาคม 2539 เป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด

ส่วนสูง : 165 ซม.

น้ำหนัก : 44 กก.

อาชีพในฝัน : จริงๆ แล้วฟิฟิมฝันอยากฝันเป็นหลายอาชีพมากเลยค่ะ แต่ว่าตอนนี้ฟิฟิมอยากจะทำอาชีพนักแสดงให้ดีที่สุดเสียก่อนค่ะ

งานอดิเรกสุดโปรด : ชอบดูภาพยนตร์ค่ะ

เป้าหมายในอนาคต : อยากมีฐานะที่มั่นคง สามารถเลี้ยงครอบครัวได้

คติประจำตัว : สติ

ผลงาน : ภาพยนต์ไทบ้านเดอะซีรีย์

15 เรื่องน่ารักๆ ของ “ฟิฟิม สิริอมร” นางเอกสาวจาก “ไทบ้านเดอะซีรีย์”

1. สเป็ค ชอบผู้ชาย สูง ยิ้มน่ารัก ตลก ใส่ใจ กวนนิดๆ ไม่เจ้าชู้

2. สิ่งที่อยากทำกับเพื่อน คืออยากไปทะเล เล่นสกีน้ำ ตีบอลเล่ย์ ริมทรายหาด กับแก๊งค์เพื่อนสาว

3. วิชาที่ชอบ ชอบวิชาที่ได้ลงพื้นที่ปฏิบัติงานจริงๆ แต่ที่ไม่อยากเรียนเลยสักนิดคงเป็นวิชาภาษาอังกฤษ

4. เรื่องโก๊ะ จำได้ขึ้นใจเลยค่ะ ตอนนั้นเราไปเรียนช้าเลยรีบวิ่งกับเพื่อนเข้าไปในห้องเรียน แล้วค่อยๆ เดินแบบรีบมุดหลบชิดมุมผนังห้องไป ดันหัวชนกับกล่องไฟดังตุ๊มมม!! คือคนเยอะมาก หัวเราะกันทั้งห้อง ขำทั้งคลาสเรียน ทั้งตลกตัวเอง ทั้งเจ็บตัว ทั้งอาย

5. ความรัก รักแรกพบ? ไม่เคยมีรักแรกพบ แฟนแต่ละคนไม่ใช่คนที่เจอกันปุ๊บเฮ้ย! ชอบคนนี้รักคนนี้เลย ไม่เคยมีเลยค่ะ ส่วนมากเขาเข้ามาคุยเอง หรือไปหาหยอกๆ หยอดๆ เล่นๆ ขำๆ จุดเริ่มต้นของความรักฟิฟิมต้องศึกษากันก่อน ไม่ใช่มองตาแล้วรักกันเลย

6. จำได้ว่าในสมัยก่อนนะคะ เราก็จะแอบเจ้าชู้หน่อย คุยเล่นไปเรื่อยๆ ไม่ใส่ใจใครสนใจใครมาก แต่เชื่อมั้ยคะ เวลาตกลงคบใครฟิฟิมต้องอดทนสูงนะ จะดูไปเรื่อยๆ คบไปเรื่อยๆ ดูว่าใครคนไหนจะมีความอดทนมาก อดทนน้อย “ระยะเวลาเป็นตัวช่วยสำคัญในการคบกันนะคะ”

7. มีเหตุการณ์ที่จำฝังใจที่สุดๆ คงเป็นพี่จับไปประกวด BG หนุ่มสาวร้อยเอ็ด คือเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยนะคะ ที่จะไปประกวด ความสามารถอะไรก็ไม่ได้เตรียม ช่วงโชว์ความสามารถเราไปยืนโชว์เต้นหลีดซะงั้น ท่าเต้นกับเพลงมันตลกมากเลยนะคะ ที่ไม่คาดฝันมาก่อนคงเป็น ฟิฟิลม์ชนะเลิศของการประกวด

8. ที่เที่ยวหน้าร้อน อยากไปอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา อยากไปทะเลสวยๆ ไปกับเพื่อนๆ กับครอบครัวไปเล่นน้ำทะเลดับร้อนกัน คงจะสนุกมากเลยนะคะไปช่วงหน้าร้อนแบบนี้

9. เป็นคนขี้เหงามาก ติดเพื่อนมากๆ ถ้ามีแฟนก็ติดแฟนมากๆ ไม่ให้ห่างเลย กลัวไม่มีใครสนใจ กลัวไม่มีใครคุยด้วยค่ะ

10. ชอบเวลาแฟนเซอร์ไพรส์ ที่ผ่านมาล่าสุดคือช่วงวาเลนไทน์ค่ะ ปลื้มมากประทับใจที่สุด ก็ไม่มีอะไรมากนะคะ แค่อ้อนเเฟนให้ทำกับข้าวให้กิน ทำตัวเหมือนลูกแมวต้องมีเเม่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ วันนั้นฟิฟิมมีความสุขมากจริงๆ เลยค่ะ

11. เรื่องงานเป็นยังไงบ้าง? ตอนนี้มันเหนื่อยเกินจะรับไหว แต่เราเป็นผู้หญิงทึก ฮึด แข็งแรงแค่นี้สบายมากสำหรับเราค่ะ

12. ครอบครัวมีพี่น้องสองคนค่ะ เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ฟิฟิมเป็นคนโตค่ะ

13. อาชีพในฝัน คิดว่าในอนาคตอยากทำงานรับราชการเหมือนคุณแม่ค่ะ อยากทำงานกับแม่ค่ะ เป็นผู้คุมกรมราชทัณฑ์

14. ครูในดวงใจ ชื่อคุณครูอัญชัญ สอนนาฎศิลป์ อยู่ รร.สตรีศึกษา จ.ร้อยเอ็ด

15. เวลาว่างสิ่งที่ฟิฟิมชอบที่สุด คงเป็นการได้มารวมตัวกันครบกับแก๊งค์เพื่อนๆ นั่งเมาท์ ชวนกันเล่นเกมหาของกินอะไรอร่อยๆ ตกตอนกลางคืนก็ชวนกันดูหนังผีกอดกันตัวกลมเพราะกลัวพี่ด้วยกันทั้งกลุ่มมันน่าสนุกดีนะคะ

 

รวมภาพความน่ารักของฟิฟิม ในชุดนักศึกษา

ขอบคุณที่มา http://campus.campus-star.com/star/32167.html

เรียบเรียงโดย DPSNews

“จั๊กจั่น อคัมย์สิริ”น้ำตาคลอ! เปิดใจครั้งแรกหลังไม่ต่อสัญญาช่อง 7(ดูคลิป)


หลังจากที่ทางช่อง 7  ร่อนจดหมายด่วน ระบุว่านางเอกสาว  “จั๊กจั่น อคัมย์สิริ สุวรรณศุข”  ได้สิ้นสุดสัญญาการเป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 7 แล้ว ซึ่งกลายเป็นข่าวฮือฮา  ล่าสุด   “จั๊กจั่น อคัมย์สิริ ” ออกมาเปิดใจครั้งแรก  ผ่านรายการ “สนามบันเทิง ” ซึ่งบรรยากาศในห้องส่งวันนั้น พี่น้องนักข่าวมารวมตัวกันมากมาย โดยเฉพาะรายการเส้นทางบันเทิง ทีมกล้องและพีอาร์ หลั่งน้ำตามาบอกลากันเป็นครั้งสุดท้าย 

โดยผู้จัดการส่วนตัวสาวจั๊กจั่นเผยว่า คนดูทางบ้านอาจจะงงว่าทำไมจั๊กจั่นตาแดงก่ำ ตาบวมตอนให้สัมภาษณ์ แต่ทุกคนที่อยู่ในห้องส่งสตูฯ7วันนี้คงเข้าใจดี เริ่มตั้งแต่ทีมงานแจ้งว่าจะเตรียมสถานที่ให้จั่นเปิดใจพร้อมทำแบคดร็อปไว้ให้ น้องๆเส้นทางบันเทิงบอกจะตั้งแถวรอคุณแม่จั่นกัน จนตอนเช้าตรู่ที่พาจั่นไปนั่งแต่งหน้าทำผมที่ตึก 1 หลายคนแวะเข้ามาจั่นในห้องแต่งตัวแต่เช้า เดินโอบเดินจูงจั่นไปเข้ารายการที่สตู7 ทีมงานมายืนรอกันจริงๆ มากันทั้งแผนกแม้กระทั่งหัวหน้าอย่างพี่จุ๋ม พี่ยุ้ยปาป้าก็มา มาโอบมากอดบอกลาจั่น แบบนี้ใครมันจะทนได้ล่ะ? สารภาพจากใจว่า รู้ว่าเรารักกัน แต่ไม่คิดว่าจะทำให้ประทับใจและซาบซึ้งใจได้ขนาดนี้ ขอบคุณทุกความรู้สึกดีๆ ทุกความเป็นครอบครัวที่ชาว 7 สีมีให้ชะนีน้อยนะคะ ประทับใจมากจริงๆ❤️❤️ อาติดแท็กไม่ครบก็ช่วยๆกันแปะนะ ขอบอกลาก้อย แก้ว โตโต้ด้วยนะคะ วันนี้ไม่ได้เจอกัน …. #จนกว่าจะพบกันใหม่

ทั้งนี้จั๊กจั่น เผยเหตุผลของการไม่ต่อสัญญาว่า  “อยู่ในวงการมา 15 ปี  ทำงานที่ช่อง7 เกือบ10 ปีแล้ว   อาชีนักแสดง ต้องมีอาชีพเสริมควบคู่ เพราะอาชีพนักแสดง เป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง เลยมาทำธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งทำมา2 ปีแล้ว ธุรกิจนี้ เป็นธุรกิจที่ช่วยทำการตลาด ช่วยโปรโมทสินค้า ออกสื่อพรีเซ้นท์สินค้าที่รับมา โดยต้องออกโปรโมทตามช่องต่างๆ  ด้วยความที่เป็นนักแสดงช่อง7 และโลโก้ดาราช่อง7 ค่อนข้างชัด ก็เลยเกรงใจช่อง7 หากต้องไปโปรโมทสินค้าที่ช่องอื่น  และที่สำคัญช่องอื่นๆ ก็ไม่สะดวกใจที่จะให้ดาราช่อง7 เข้าไปโปรโมท ก็โดนปฏิเสธมาหลายครั้ง การตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับช่อง7 เป็นเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรในใจแน่นอน  ยังจำวันแรกที่มาทำงานที่ช่อง7  ได้ตอนนั้น เรื่องแรก สู่แสงตะวัน ยังจำบรรยากาศเก่าๆได้   จั่นไม่เซ็นต์กับช่องไหนแล้ว ถ้าไม่ใช่ช่อง7 เป็นนักแสดงอิสระ ต้องขอบคุณผู้จัดละครหลากหลายค่ายที่ติดต่อมาหลังจากมีข่าวว่าตนไม่ต่อสัญญาเผยแพร่ไป ถ้าช่อง7 มีงานอะไรให้รับใช้ ติดต่อมาจะพิจารณาช่อง7เป็นที่แรก “

ชมคลิป

ข้อมูลจาก : http://www.thaijobsgov.com/jobs/137550 

เรียบเรียงโดย DPSNews

เลี้ยงปูนา แบบง่ายๆสบายรายได้ดี วิธีการเลี้ยงปูนาในบ่อปูน


ปูนาเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับเราคนไทยมาช้านานน่ะค่ะ เพราะว่าปูนาหาง่ายในสมัยก่อน และในปัจจุบันเมนูของปูนาก็มีมากมายที่หลายๆท่านนำมาทำเป็นอาหาร ทั้งต้ม,ปี้ง,ย่าง หรือเมนูที่ผู้เขียนโปรดปรานก็จะเป็นยำปูนาใส่มะม่วงรสแซ่บๆเผ็ดๆพูดมาแล้วน้ำลายไหลเลยค่ะ ปูนาทุกวันนี้ไม่ได้อยู่แต่ในนาเหมือนชื่อแล้วล่ะค่ะ ทุกวันนี้มีการเพาะเลี้ยงปูนาไว้เป็นอาหารและก็ทำเป็นอาชีพกันมากมาย ผู้เขียนก็เลยมีเคล็ดลับและวิธีการเลี้ยงปูนาแบบง่ายๆ วิธีการเลี้ยงปูนาในบ่อปูน หรือเลี้ยงปูนาในบ่อดิน เลี้ยงในบ้านที่มีพื้นที่น้อยๆมาฝากกันครับ

ในอดีตตั้งแต่สมัยยังเด็กๆของผู้เขียนหรือผู้อ่านหลายท่านที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด จะคุ้นเคยกับปูนาตัวเล็กๆที่พ่อแม่เก็บมาจากไร่จากสวนจากทุ่งนามาฝาก เอามาปี้งย่างหรือเอามาดองเก็บไว้ใส่ส้มตำก็แซ่บน้ำตาไหลเลยล่ะค่ะ คิดถึงแล้วก็นึกถึงวันวาน

ในปัจจุบันปูนาที่อยู่ในท้องนาจริงๆก็ยังมีให้เห็นน่ะค่ะ แต่ว่าจะน้อยกว่าแต่ก่อนนิดหน่อยเพราะว่าเจอสารเคมีจากปุ๋ยหรือเจอยาปราบศัตรูพืชบ่อยๆก็ลดน้อยถอยลงไปบ้าง ปัจจุบันก็มีชาวบ้านหรือเกษตรกรที่มีพื้นที่ได้ปรับพื้นที่ทำการเพาะพันธ์ุเลี้ยงปูนาเพื่อจำหน่าย และราคาะปูนาก็น่าสนค่ะ เพราะปูนาเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่องจึงไม่เป็นที่น่าห่วงสำหรับผุ้เพาะเลี้ยงว่าจะไม่มีตลาดรองรับ ทั้งขายแบบปูนาเป็นๆ หรือจะดองเป็นปูดองไปขายก็ได้ราคาเพิ่มขึ้่นอีก


สำหรับท่านที่มีพื้นที่น้อย หรืออยากลงทุนเลี้ยงปูนาแบบไม่ใช้ต้นทุนสูงมากนักและทำให้การดูแลรักษาง่ายอีกด้วยค่ะ การเลี้ยงปูนามีวิธีการเลี้ยงได้หลายวิธีด้วยกันค่ะ
การเลี้ยงปูนาในบ่อซีเมนต์เลี้ยงได้ทั้งในบ่อกลมและบ่อสี่เหลี่ยมผืนผ้า

ข้อดีของการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ก็คือ ดูแลง่ายปูนาไม่ไต่หนีใช้พื้นที่ไม่มากมีแค่พื้นที่เล็กๆ ก็สามารถเพาะเลี้ยงได้แล้ว

การเลี้ยงปูนาในบ่อดิน

สำหรับการเลี้ยงปูนาในบ่อดิน ค่าใช้จ่ายจะมากกว่าการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์และก็ต้องมีพื้นที่เพื่อที่จะขุดบ่อเพราะพื้นที่ในการเลี้ยงปูนาแบบบ่อดินนั้น ต้องมีอวนมุ้งตาถี่ล้อมรอบบ่อเพื่อป้องกันปูนาไต่หนี แต่ข้อสำคัญของบ่อเลี้ยงปูนาแบบในบ่อดินคือ ประมาณ 3ใน4 ของพื้นที่ของบ่อดินควรเป็นดินสูงประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อให้ปูนาได้ขุดรูอยู่ด้วยค่ะ ส่วนที่เป็นพื้นที่ดินนี้จะลาดเข้าหาอีกส่วนหนึ่งที่เป็นน้ำ

มาดูเคล็ดลับการเลี้ยงกันเลยน่ะค่ะ การเตรียมบ่อเลี้ยงปูนา แบบเลี้ยงในบ่อปูนกลมหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า

สำหรับท่านที่เลี้ยงในบ่อปูนกลมหรือสี่เหลี่ยมที่มีความกว้าง 2เมตรยาว 3 เมตร สูง 1 เมตร ให้หาท่อพีวีซี จำนวน 2 ท่อ มาใส่ไว้ในบ่อเพื่อทำเป็นที่ระบายน้ำออกจากบ่อด้วยน่ะค่ะ
ในกรณีที่ทำบ่อใหม่ให้ใส่น้ำลงไปเพื่อลดความเค็มจากปูนซีเมนต์ในบ่อแช่น้ำไว้ประมาณ 1-2 วันแล้วถ่ายน้ำออก ใส่ต้นกล้วยลงไปแช่น้ำในบ่อทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน ใส่เกลือสินเทาลงไปในบ่อด้วยก็ได้ค่ะ หรือน้ำส้มสายชูประมาณ 2-3 ถ้วย แล้วถ่ายน้ำทิ้ง
หลังจากนั้นให้นำดินมาใส่ลงไปในบ่อปูนให้มีความสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร หรือใส่ได้ตามปริมาณของบ่อหรือสภาพพื้นที่ค่ะ
ควรตั้งบ่อไว้ในที่ร่มเพราะปูนาไม่ชอบอากาศที่ร้อน ถ้าอากาศร้อนมากๆจะทำให้ปูตายได้แต่ถ้าไม่มีที่ร่มก็ให้ทำตาข่ายพรางแสงหรือหลังคาใส่ตรงบ่อ
ใส่ท่อหรือแผ่นกระเบื้อง,อิฐบล๊อคเพื่อให้ปูจะได้มีแหล่งที่ซ่อนตัวและหลบภัยเพราะว่าปูนานั้นมีนิสัยชอบทำร้ายกันเอง
ทำตาข่ายปิดปากบ่อเพื่อป้องกันไม่ให้ปูปีนหนี

วิธีเลี้ยงปูนา

สำหรับบ่อใหม่ให้แช่ต้นกล้วยและเกลือ20-30 วันจะเป็นการลดความเค็มของปูน(เทคนิคคล้ายๆกับการเลี้ยงกุ้งฝอย)

ใส่ดินโคลนและวางท่อหรืออิฐไว้ให้ปูได้หลบซ่อนตัว
สำหรับการเตรียมบ่อเลี้ยงปูนาในบ่อดิน
หากท่านใดมีบ่อเก่าที่เคยใช้งานมาก่อนแล้วเช่นเคยขุดบ่อเลี้ยงกบหรือเลี้ยงปลาก่อนหน้านั้นก็สามารถนำมาเลี้ยงปูนาได้โดยไม่ต้องขุดบ่อใหม่ จัดการบ่อให้มีสภาพแวดล้อมเลียนแบบธรรมชาติมากที่สุด เช่นปลูกข้าว,ผักบุ้ง,หญ้า,จอกแหน,สาหร่าย ปูนาจะได้มีแหล่งอาหารทางธรรมชาติและก็จะได้เป็นที่หลบซ่อนของปูได้อีกด้วย
ใส่น้ำที่ใส่ดินโคลนลงไปแล้วประมาณ 30 เซนติเมตร

วิธีเลี้ยงปูนา

บ่อนี้เป็นบ่อเดิมที่เคยใช้งานก็ทำความสะอาดแล้วก็ใส่ดินแล้วก็ปลูกพืชน้ำใส่เลียนแบบธรรมชาติก็สามารถเลี้ยงปูนาได้แล้ว

ปลูกพืชน้ำใส่เพื่อเป็นอาหารของปูและเป้นที่หลบซ่อนให้ปูนาไปในตัว
 เคล็ดลับการดูแลและวิธีการเลี้ยงปูนา

สำหรับท่านที่ต้องการคัดพ่อพันธ์ุแม่พันธ์ุปูนา ให้นำปูนาที่ได้มาจากแหล่งแม่น้ำธรรมชาติโดยเลือกขนาดความยาวของปูนาที่มีลำตัวประมาณ 4 เซนติเมตร คัดเอาแต่ตัวที่แข็งแรงและมีขาที่ครบสมบูรณ์มาปล่อยลงในบ่อที่เตรียมไว้ ให้ใช้ปูนาตัวผู้ 25 ตัวและปูนาตัวเมีย 25 ตัวต่อบ่อ
การให้อาหารปูนา ให้อาหารสัปดาห์ละ 3 ครั้งอาหารที่ใช้เลี้ยงปูนาได้แก่ ข้าวสุกจะเป็นข้าวสวยหรือข้าวเหนียวก็ได้ ปลาให้สับเป็นชิ้นเล็กๆกุ้งฝอย,ผักสดเช่นผักบุ้งหรือผักกาด
ไม่ควรให้อาหารปูมากเกินไปและต้องคอยหมั่นสังเกตุดูว่าให้อาหารแค่ไหนปูถึงจะกินหมดเพราะถ้ามีอาหารเหลือก็จะทำให้อาหารเน่าเสียได้ หากอาหารเหลือให้เก็บออกอย่าทิ้งไว้ให้เน่าคาบ่อเพราะจะทำให้ปูไม่แข็งแรงทำให้เป็นโรคได้
การระบายน้ำนั้นต้องระบายน้ำออกจากบ่อและเปลี่ยนน้ำใหม่ประมาณ 2-3 ครั้งต่อเดือน


วิธีการเลี้ยงและดูแลปูนาที่อยู่วัยเจริญพันธ์ุและลูกปู

ปูนาจะผสมพันธ์ุกันในช่วงฤดูฝน แม่ปู 1 ตัวจะมีไข่ประมาณ 500-700 ฟอง ดังนั้นปูนา 1 ตัวจะออกลูกได้ประมาณ 500-700 ตัว
การเจริญพันธ์ุปูนาจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือนจึงจะโตเต็มที่
กรณีที่ลูกปูเริ่มตั้งแต่นำเลี้ยงใส่ในบ่อ ให้อาหารโดยลูกปูที่มีช่วง 15 วันแรกควรให้ไรแดง,หนอนแดง,เทา หรือไข่ตุ๋น กินเป็นอาหาร
หลัง 15 วันให้ปลาสับหรือกุ้งฝอย,อาหารเม็ดที่ใช้เลี้ยงลูกปลาดุก
เมื่อลูกปูมีอายุได้ 30 วันก็สามารถนำไปปล่อยเลี้ยงในบ่อดินหรือบ่อปูนเพื่อให้มีขนาดโตเต็มวัย
ถ้ามีเนื้อที่ ที่ทำเป็นบ่อดินหรือบ่อปูนที่มีขนาดใหญ่สามารถปล่อยลงเลี้ยงได้ทีละปริมาณ 10,000 ตัวต่อเนื้อที่ 1 ตารางเมตร
ปูนามีการลอกคราบเหมือนสัตว์น้ำชนิดเดียวกันเหมือนกับกับสัตว์จำพวกกุ้งหรือปูชนิดอื่น หลังจากฟักเป็นตัวแล้วปูนาจะทำการลอกคราบประมาณ 13-15 ครั้ง ก็จะโตเป็นปูนาเต็มวัย สามารถได้ขนาดตามที่ท้องตลาดต้องการระยะเวลาก็จะอยู่ประมาณ 6-8 เดือนขึ้นไป

วิธีเลี้ยงปูนา

แม่ปูกำลังมีไข่เต็มท้อง แม่ปูตัวหนึ่งสามารถมีลูกปูได้มากถึง 500-700 ตัว

วิธีเลี้ยงปูนา

ปูนาตามแหล่งธรรมชาติตัวเล็กตัวใหญ่สามารถคัดมาเลี้ยงตอนเป็นลูกปู ตัวใหญ่ก็คัดแยกมาเป็นแม่พันธ์ุได้
วิธีการสังเกตการลอกคราบของปูนา

ปูนาที่จะมีการลอกคราบให้เราสังเกตได้จากรอยต่อทางส่วนท้ายของกระดองจะกว้างมากกว่าปกติ เมื่อใกล้จะลอกคราบปูจะนิ่งและเหยียดขาออกไปทั้งสองข้าง จากนั้นรอยต่อทางส่วนท้ายของกระดองก็จะเปิดออก
ส่วนท้ายพร้อมกับขาเดินคู่สุดท้ายของปูนาจะออกมาก่อนส่วนอื่นๆ ขาคู่ถัดมาจะค่อยๆโผล่ออกมาตามลำดับส่วนก้ามคู่แรกจะโผล่ออกมาเป็นอันดับสุดท้าย ปูนาจะใช้ระยะเวลาในการลอกคราบโดยประมาณ 1 ชั่วโมง

ขอบคุณที่มา: https://goo.gl/7cteH3 เรียบเรียงโดยDPSNews