ไอเดียเก๋ไม่ซ้ำใคร! เค้กมะพร้าวไส้แตก แหวกตลาด ทำรายได้หกหลักต่อเดือน


เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย! สำหรับธุรกิจขายขนม ที่เริ่มต้นจากการทำงาน และริเริ่มด้วยตัวเองทั้งหมด

จุดเริ่มต้น ที่ได้มาทำธุรกิจเบเกอรี่ เพราะต้องออกจากงานประจำที่ทำอยู่มาตลอด 10 ปี และจากความหลงใหลในคุณประโยชน์ของมะพร้าว โดยใช้ความชอบการทำขนมมาสร้างสรรค์ ใส่ไอเดีย และต่อยอดจากสิ่งที่หลงใหล สู่การทำเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้หกหลักต่อเดือน จนขยายตลาดส่งเบเกอรี่ขายในห้าง และมีพาร์ตเนอร์ในการทำเบเกอรี่ขายได้

เพราะต้องออกจากงานจึงได้เริ่มต้นขายขนม

คุณเสน่หา ชูสันติ หรือ คุณเอี่ยว อายุ 35 ปี เจ้าของร้านเบเกอรี่ แบรนด์ Bakery Mind by Aeiw เล่าให้ฟังว่า “เริ่มต้นจากตอนทำงานประจำ เป็นแมเนเจอร์ด้านงานประกันโทรศัพท์ มากว่า 10 ปี โดยมีความคิดว่าอยากมีธุรกิจส่วนตัวอะไรสักอย่างหนึ่งมาตลอด พยายามมองช่องทาง หาว่ามีรูปแบบที่จะสามารถทำได้ยังไงบ้าง ช่วงก่อนที่จะต้องได้ออกจากงานตอนนั้นคุณพ่อเสีย ช่วงนั้นเราก็คิดว่าจะซื้อเครื่องชงกาแฟ กับเตาอบเล็กๆ มาลองทำขนม เพื่อแก้เหงา และทำควบคู่ไปกับการทำงานประจำ

การทำเบเกอรี่เริ่มจากการศึกษาจากยูทูบ ว่ามีอะไรที่เราพอจะสามารถทำได้บ้าง ก็ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ จนมาลองทำเค้กมะพร้าว เพราะด้วยความชอบมะพร้าวของเรา ชอบประโยชน์ ชอบความกลมกล่อมของมะพร้าว จึงเริ่มต้นลองทำเค้กมะพร้าว จากการเริ่มทำเค้กมะพร้าวในครั้งแรก มันสามารถรับประทานได้ ด้วยรสชาติต่างๆ ที่เราทำ ก็เลยลองเอาไปแบ่งในเพื่อนๆ ทาน พอเพื่อนๆ ได้ลองชิม เขาก็บอกว่าอร่อย ให้ลองทำเอามาขาย จึงเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ หลังเลิกงานก็มีการทำเบเกอรี่เล็กๆ น้อยๆ ทำไปขายให้กับเพื่อนร่วมงานในบริษัท ทำไปได้ 2-3 เดือน ก็เกิดมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้ต้องออกจากงาน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ต้องหันมาทำเบเกอรี่อย่างเต็มตัว”

จากวันที่ต้องได้ออกจากงานและมาเริ่มต้นทำเบเกอรี่ขายก็เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว คุณเอี่ยว บอก

“โดยโจทย์ง่ายๆ ของคุณเอี่ยว คือเมื่อออกจากงานประจำแล้ว จะทำอย่างไรก็ได้ให้มีรายได้ชดเชยกับงานประจำที่เคยทำก่อนหน้านี้ ซึ่งมีรายได้ที่ค่อนข้างสูงพอสมควร พอเริ่มต้นทำธุรกิจเบเกอรี่ในช่วงแรก จึงเป็นการเริ่มต้นทำขนมอยู่ภายในครัวที่บ้าน โดยทำเอง ส่งเอง ขายเองทุกอย่าง ทุกขั้นตอน ทำอยู่อย่างนี้มาเกือบปี ด้วยเพราะไม่อยากมีต้นทุนใดๆ จนถึงระดับที่ว่าพอจะมีลูกค้า และได้รับการตอบรับจากลูกค้าบ้างแล้ว แต่ตอนนั้นยังทำเป็นเค้กมะพร้าวทั่วๆ ไป โดยการอบใส่ฟอยล์ หน้าตาเค้กก็ทั่วไปอยู่ พยายามทำรูปแบบเค้กอยู่หลายอย่างมาก เช่น เค้กส้ม เค้กช็อกโกแลต ก็ลองทำหมด ที่คิดว่าจะสามารถทำรายได้ชดเชยกับเงินเดือนที่เคยได้รับ

พอผ่านช่วงตรงนั้นมา 1 ปี เราก็ได้คิดอย่างหนึ่งว่า จำเป็นจะต้องขยายช่องทางเพิ่มเติมแล้ว ด้วยเพราะ ทำคนเดียวมันหนักเกินไป หนักจนที่เรียกว่าไม่สนุกกับการทำขนมอีกแล้ว เพราะว่าออร์เดอร์เกินกำลังของเราแล้ว จึงจำเป็นต้องหาคนมาช่วยทำ และต้องขยายตลาดเพิ่มแล้วด้วย จึงมองหาทำเลการเปิดเป็นหน้าร้าน และความฝันของคนทุกคนที่ทำขนมก็อยากจะมีคาเฟ่ ซึ่งก็เช่นกัน ก็อยากเปิดร้านคาเฟ่ แต่ด้วยการทำคาเฟ่ อาจจะไม่ถูกจริตกับสิ่งที่เราทำ รอลูกค้ามานั่งร้าน ซึ่งมันไม่เวิร์กสำหรับเรา เพราะชอบการวิ่งหาลูกค้าเองมากกว่า จึงไปมองตลาดอยู่ที่กลุ่มลูกค้าร้านกาแฟ ร้านอาหาร โดยการเอาตู้ขนมของเราลงไปตั้งและฝากขาย ซึ่งขณะที่วิ่งหาร้านขายส่ง ร้านคาเฟ่ของเราก็ยังทำอยู่ควบคู่กันไปด้วย จนเจ้าของที่ เขาก็อยากได้ที่ตรงนั้นคืน จึงบีบให้เราออกก่อนสัญญา”

จุดเริ่มต้นและการเปลี่ยนรูปแบบ

ร้านขนมใหม่ ไฉไลกว่าเดิม

เมื่อโดนบีบจากเจ้าของที่ ก็จำเป็นต้องปิดร้านเบเกอรี่นั้นลงไป คุณเอี่ยว เธอจึงได้เล่าว่า “หลังจากที่ปิดร้านลง ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปทำธุรกิจที่หนองคาย เปิดขายเบเกอรี่เป็นร้านแบบ Take home ปรากฏว่าผลตอบรับดี และได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดด้วย พอช่วงปลายปีที่แล้วจึงได้โอกาสทำร้านแบบ Take home ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการขยายตลาดเพิ่มจากการที่ขายส่ง มามีหน้าร้านเป็นของตนเอง อยู่ที่ซอยราษฎร์บูรณะ 29 และปัจจุบันมีตู้ขายเบเกอรี่อยู่ในเซ็นทรัลเวสต์เกต และเซ็นทรัล สาขาแจ้งวัฒนะ ในอนาคตอันใกล้ ก็มีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่ม”

เน้นไปที่การทำตลาดขายออนไลน์ มีตัวแทนจำหน่าย และรูปแบบหน้าร้านแบบ Take home

“ที่เน้นไปทำการขายบนตลาดออนไลน์ เป็นเพราะเจอปัญหาที่ทำให้ต้องหยุดคิด เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปีแรกๆ ที่ทำขาย หนึ่งเลยคือ การที่ประหยัดต้นทุนมากเกินไปนั้น ทำให้ธุรกิจเราเติบโตช้าเกินไป ไม่คุ้มค่าเหนื่อย  สอง เราเลือกที่จะทำทุกอย่างให้มีรายได้ เลือกที่จะไปลงตู้ตามร้านอาหาร ร้านกาแฟ โดยใช้วิธีการขายขาด มันทำให้เราขายเอกลักษณ์ ไม่มีแบรนด์ สาม คือ ร้านค้าบางร้านที่เอาขนมเราไปขาย เขาไม่ยอมดูแลขนมของเรา มันเลยไม่สด อร่อยเท่าที่ควรจะเป็น เมื่อมาคิดทุกอย่างแล้ว มาคิดตัวเลข ระบบการจัดการทุกอย่างแล้ว มันไม่คุ้มเลย จึงคิดใหม่ว่า จริงๆ แล้ว ขนมเราควรสร้างแบรนด์ และสร้างตัวตนขึ้นมา มีไอเดียที่ใส่เข้าไป และมองไปที่การทำการตลาดบนออนไลน์เป็นหลัก จึงเกิดแบรนด์ชื่อว่า Bakery Mind by Aeiw”

โดยไอเดียที่คุณเอี่ยวใส่ลงไปในขนมของเธอนี้คือ เกิดจากการมองเห็นมะพร้าว และความชอบ หลงใหลในตัวมะพร้าว เธอจึงหยิบเอาลักษณะเด่นของมะพร้าวในแต่ละเรื่อง เช่น ลักษณะของลูกมะพร้าว น้ำมะพร้าว สีสันของมะพร้าว นำมาสร้างเรื่องราวบนเบเกอรี่ของเธอ ผ่านเบเกอรี่ทั้งหมด 6 ชนิดหลัก และได้กลายเป็นสินค้าซิกเนเจอร์ของแบรนด์

เบเกอรี่ 6 ชนิดหลักคือ 1. เค้กกะลา เป็นเนื้อใบเตย มะพร้าวครีมสด รูปลักษณ์ของมันคือเป็นเค้กที่อบไปทั้งกะลาเลย 2. เค้กมะพร้าวไส้แตก ซึ่งเป็นคัพเค้ก ไส้มะพร้าว เคลือบด้วยสังขยา 3. เครปพัฟ เป็นแผ่นเครป ที่ใช่ครีมสดน้ำมะพร้าวและไส้มะพร้าวลงไป 4. เค้กมะพร้าวกล่องฟอยล์ ซึ่งก็เอามาดัดแปลง แต่งหน้าเค้กเป็นหน้าหมี รสชาติจะเหมือนกับเค้กกะลา 5. เป็นคุกกี้น้ำมะพร้าว 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเลือกใช้น้ำมะพร้าวเอามาผ่านในกระบวนการทำ 6. ขนมจัดเลี้ยง/แนวเค้กวันเกิด โดยการนำเอาเค้กมาดัดแปลงเป็นรูปต่างๆ ให้มีความน่าสนใจ โดยใช้ประโยชน์จากมะพร้าวครบทุกสัดส่วน เอามาดัดแปลง ใส่ไอเดีย และขายความแปลกไม่เหมือนใคร เพราะโจทย์หลักของการทำเบเกอรี่นี้คือ ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าเห็นขนมแล้วมีความสุข แล้วสนุกกับการได้ทานขนม ซึ่งสินค้า 3 ตัวแรก เป็นซิกเนเจอร์ของที่ร้าน

ด้านวัตถุดิบหลักอย่างมะพร้าวน้ำหอม คุณเอี่ยว เลือกใช้มะพร้าวน้ำหอมจากสวนที่ส่งออกไปขายยังสิงคโปร์ ซึ่งมะพร้าวก็จะค่อนข้างมีคุณภาพ

รายได้ หกหลักต่อเดือนขายเดือนละกว่า 3 หมื่นชิ้น

นอกเหนือจากการเปิดหน้าร้านรูปแบบ Take home ที่ปากซอยราษฎร์บูรณะ 29 และเซ็นทรัลแล้วนั้น ยังมีบริการดีลิเวอรี่ ซึ่งลูกค้าจะเสียเงินค่าจัดส่งตามระยะทาง

ยอดขายต่อเดือน ตามสัดส่วนที่ได้รับนี่ถือว่าดี ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว อย่างสาขาในห้าง ยอดขายต่อเดือน 6  หลัก ส่วนสาขาหลักอย่างปากซอยราษฎร์บูรณะ 29 ซึ่งเป็นแหล่งรวมลูกค้าหลัก ยอดขายก็อยู่ที่ 6 หลักเช่นกัน

สำหรับยอดขายเบเกอรี่ที่ขายได้เฉลี่ยวันหนึ่ง 700 ชิ้น เดือนหนึ่ง 30,000 ชิ้น ซึ่งนับรวมเบเกอรี่ทุกประเภทที่ขายภายในร้านและสาขาตามห้าง แต่ยอดขายที่มีตัวแทนรับไปขายยังไม่ได้รวมในจำนวนนี้ เนื่องจากยอดขายของตัวแทนจะไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่ คุณเอี่ยว กล่าว

อีกหนึ่งโปรเจ็กต์ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้คือ เหตุเพราะเกิดจากการติดปัญหาเรื่องการขนส่ง ลูกค้าปลีกในต่างจังหวัดจะไม่ได้ทานขนมของเรา ซึ่งมีมาถามบ่อยมาก เราก็เลยจัดโปรแกรม Bakery Mind Partner ขึ้นมา ลักษณะคล้ายแฟรนไชส์ แต่ความพิเศษคือ 1 จังหวัด ต่อ 1 คนเท่านั้นที่จะเป็นเจ้าของสาขา เมื่อตกลงจะทำร้านค้าร่วมกันแล้ว ก็จะมีการไปสอนวิธีการทำเบเกอรี่ให้ และให้สิทธิ์เจ้าของบริหารจัดการการตลาดด้วยตัวเองได้ ซึ่งตอนนี้ที่ใกล้จะเปิดแล้ว คือระยองและสมุทรปราการ

ซึ่งคุณเอี่ยว บอกว่า “ที่คิดทำได้เช่นนี้เพราะเคยเจอปัญหาต่างๆ มาก่อน เนื่องจากการที่ต้องเริ่มทำธุรกิจแบบ Born to be ด้วยตนเอง จึงมีภาพในหัว ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสำเร็จหรือไม่ จึงต้องลองด้วยตนเองอย่างรอบคอบ ต้องติดต่อหาร้านค้าเอง วิ่งหาตลาด ทำทุกอย่างด้วยตัวเองหมด ทำให้ได้ประสบการณ์มาพอสมควร จึงทำให้คิดว่า หากใครที่อยากจะเริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆ เริ่มต้นได้จากครัวที่บ้านตนเอง แบบที่เราเคยทำมาก่อน ก็อยากสนับสนุนให้เขามีอาชีพ และงานทำ”

โดยแนวคิดการบริหารของคุณเอี่ยว กับการทำธุรกิจเบเกอรี่คือ เธอให้ความสำคัญกับฐานการผลิต ใส่ความเป็นเจ้าของให้กับพนักงานทุกคนในร้านที่มีกว่า 20 ชีวิต ให้เขามองว่า เป็นร้านของเขา งานของเขา เขาเป็นเจ้าของ เพื่อจะได้รักและทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และทำให้สินค้ามีคุณภาพ อีกข้อหนึ่งคือ การให้ความสำคัญกับพนักงานขายหน้าร้าน ซึ่งเป็นด่านแรก จะต้องมีการสอนสคลิปการขาย การปิดการขาย การแนะนำลูกค้าต่างๆ เป็นการพัฒนาพนักงานได้ด้วย

สำหรับใครที่สนใจอยากได้ไอเดีย หรือสนใจแนวคิดการทำธุรกิจเบเกอรี่ไอเดียเก๋ ไม่ซ้ำใคร สามารถเข้าไปดูได้ที่ Facebook page : Bakery Mind by Aeiw หรือโทรศัพท์ (062) 463-649

ที่มา https://www.sentangsedtee.com/featured/article_34095

หนุ่มวัย 25 ปีคนองแอบผลิตระเบิด ขว้างไม่ทันระเบิดแขนขวาขาด


หนุ่มวัย 25 ปีคนองแอบผลิตระเบิด จำนวน 3 ลูกแล้วพกติดตัวขับ จยย.ออกจากบ้าน หลังรองจุดที่บ้านแล้ว 1 ลูก แวะกลางทุ่งจุดอีก 1 ลูก แต่ขว้างไม่ทันระเบิดแขนขวาขาด กู้ภัยหามส่ง รพ.นาดี

เมื่อเวลา 18.00 น.วันนี้ 23 มิถุนายน 2560 ร.ต.อ.ยุทธภูมิ ดำรงค์ธรรม ร้อยเวรสอบสวน สภ.นาดี ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุว่ามีผู้ถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บบริเวณถนนสายบ้านเนินสวนอ้อย(กบินทร์บุรี)-บ้านสระแท่น(นาดี)
หลังรับแจ้งจึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ พบ นายสุวิชา ผาโท (ทราบภายหลัง) อายุ 25 ปี บ้านเลขที่ 18/2 หมู่ที่ 11 ตำบลย่านรี อำเภอกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ถูกระเบิดที่บริเวณข้อมือด้านขวาขาด ขณะนี้เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสัจจะพุทธธรรม นำผู้ได้รับบาดเจ็บส่ง รพ.นาดี

เบื้องต้นให้การว่าเป็นระเบิดที่ทำขึ้นมาเอง จำนวน 3 ลูก และได้ทดรองจุดที่บ้านแล้วจำนวน 1 ลูก จึงขับรถจักรยานยนต์ออกมาจากบ้านเพียงคนเดียวถึงที่เกิดเหตุ ได้นำระเบิดที่ใส่ในกระเป๋าสะพายออกมาจุดชนวนระเบิดเพื่อจะขว้างลงทุ่งนา แต่ขว้างไม่ทันเกิดระเบิดขึ้นก่อนทำให้ข้อมือขวาขาด และยังให้การต่อว่ายังมีระเบิดชนิดเดียวกันอีก 1 ลูก อยู่ในกระเป๋าและยังอยู่ในที่เกิดเหตุ

ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสาน ชุด EOD เพื่อเก็บกู้ระเบิดที่อยู่ในกระเป๋า ส่วนคนเจ็บขณะนี้ได้ถูกส่งตัวต่อไปรักษาที่ รพ.กบินทร์บุรี แล้ว และเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนเพื่อทำการขยายผลต่อไป ฃ ทีมข่าว ” มองเมืองปราจีน “

ขอบคุณภาพเเละที่มาข่าวจาก ชมรมสื่อ มองเมืองปราจีน

สาวใต้! ถอนเงิน 100 ล้าน มาไลฟ์สดโชว์ อ้างพาคนบูชาสาริกาสายขาวจนรวย


สาวใต้ถอนเงิน 100 ล้านจากแบ้งค์มาไลฟ์สดโชว์ อ้างพาคนบูชาสาริกาสายขาวจนรวย

ทำเอาหลายคนฮือฮาที่ไม่เคยมีบุญตาเห็นเงินสดๆกองเป็น 100 ล้านเมื่อสาวเจ้าของเฟสบุค สุมาลี เลิศวิลัย หรือชื่อเล่นคุณเปิ้ล ทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ไปถอนเงิน 100 ล้านมาถ่ายทอดสดบนเฟสบุคพร้อมเล่าที่มาความสำเร็จว่าได้เงินมายังไงขนาดนี้ จากเด็กสาวสู้ชีวิตล้างจานตามร้านอาหารจนวันนี้กลายเป็นมหาเศรษฐีมีเงินสดๆในธนาคารมากกว่า 100 ล้าน

เปิดธุรกิจให้คนที่บูชาและมีความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะสาริกาลิ้นทองสายขาว พระพิฆเนศ มาบูชาเอาไปไหว้เอาไปนับถือหวังว่าจะมีโชคลาภและเริ่มมีคนสนใจมาช่วยกันจัดจำหน่ายเครื่องลางของขลังเกิดกลายเป็นธุรกิจขึ้นมามีระบบตัวแทนมีทีมกระจายเป็นซ็อปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งคุณเปิ้ลบอกอย่างจริงใจเลยว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ได้บังคับหรือไปหลอกใครมา ทุกคนเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยทำให้สาริกาลิ้นทองที่ตนเองปลุกเสกขึ้นมาขายดีอันเนื่องมาจากคนที่ซื้อไปนับถือเห็นผล

บอกเลยเป็นความเชื่อ และที่ตัวเองกล้าเอาเงินเป็น 100 ล้านมาไลฟ์สดเพราะเป็นเงินที่ได้มาจากการทำธุรกิจที่ถูกต้อง แม้จะโดนโจมตีจากคนที่คิดไม่ดีว่าเสียภาษีหรือปล่าว เจ้าตัวไม่กลัวเพราะเงินทุกบาทได้มาอย่างโปร่งใสแล้วปีหนึ่งก็เสียภาษีเกือบๆ 10 ล้าน ถ้าเป็นเงินที่ไม่ถูกกฏหมายคงไม่กล้าเอามาไลฟ์สดให้เห็นแบบนี้

เชื่อในบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองนับถือและบูชา โชคลาภวาสนาก็จะเข้ามาหาแต่คุณเปิ้ลก็สอนเรื่องการเป็นคนทำมาหากิน ไม่ใช่นั่งอยู่เฉยๆแล้วโชคจะหล่นทับ ทุกคนต้องขยันดิ้นรนสู้ชีวิตด้วย ซึ่งจากบรรดาลูกค้าที่บูชา สาริกา ได้ลาภมากมาย ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งก็มี บางคนค้าขายที่ดินไม่ได้ก็ขายได้ กิจการเจริญรุ่งเรื่อง เป็นเรื่องพูดปากต่อปากเลยทำให้เกิดกระแสความนิยมพลอยทำให้ธุรกิจบูชาของคุณเปิ้ลเติบโตอย่างที่เห็น

โดนมองว่าเอาเงินปลอมมาอวด คุณเปิ้ล ปฏิเสธชัดเจนพร้อมไม่สนใจคนที่คิดไม่ดี บอกว่าคนที่คิดแบบไหนก็ต้องได้แบบนั้น คิดดีพูดดีทำดีย่อมได้ดี เชื่อตัวเองทำทุกอย่างอย่างจริงใจและบริสุทธิ์จนตอนนี้มีกิจการสาขาร้านตัวเองเกิดตามหัวเมืองใหญ่และในห้างสรรพสินค้าในนามว่าแอปเปิ้ลช็อป

เอาเงินมาโชว์ 100 ล้านเจ้าตัวบอกว่าเงินที่หาได่ไม่ได้เอาไว้อวดแต่เพื่อยืนยันความจริงแล้ว มากไปกว่านั้นยังเอาเงินที่ได้ตรงนี้ไปสร้างสถานที่เคารพสักการะไว้บูชาให้คนไปกราบไว้ เรียกว่าได้เงินมากแค่ไหนก็เอาไปสร้างวัดทำบุญมหาศาล

ได้ทั้งบุญและกุศลแถมรวยทรัพย์มากขึ้น นี่แหละถึงทำให้ผู้คนเกิดความเชื่อและศรัทธาในตัวคุณเปิ้ล

มีแฟนคลับเฝ้าติดตามและส่องชีวิตคนรวย ซึ่งเดิมทีคุณเปิ้ลก็เคยบอกว่ายากจนมาก เป็นเด็กล้างจานตามร้านอาหาร

แฟนคลับหลายคนบอกเป็นบุญมากๆที่ได้เห็นเงินเป็นล้านๆกองใหญ่ขนาดนี้

เป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลล้วนๆ ไม่ได้มีเจตนาในการให้คนไปหลงเชื่องมงายในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งบูชาจะเกิดโชคลาภวาสนา อยู่ที่การขยัน ลงมือทำ การเป็นคนดี กตัญญู โดยมีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจไว้บูชาให้สบายใจ

ขอบคุณที่มา: http://www.kratisod.com/news/10152

ส่องค่าเทอม ลูกดาราคนดังสูงมาก เเต่เพื่อให้อนาคตที่ดี


“การศึกษา” ต้องบอกเลยว่า สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้วย่อมอยากให้ลูกๆได้เข้าเรียนในโรงเรียนดีๆเพราะเชื่อว่าบุตรหลานจะได้ความรู้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ไม่แปลกเลยที่เหล่าบรรดาดาราและคนดังทั้งหลาย จะส่งบุตรหลานเข้ารียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ถ้าได้เห็นค่าเทอมแล้วจะต้องร้องโอ้โห! กันเลยทีเดียว

“น้องณดา-น้องณดล” สองพี่น้องแห่งบ้านปุณณกันต์ น้องณดาและน้องณดล ลูกของแม่กบ สุวนันท์ กับพ่อบรู๊ค ดนุพร ปุณณกันต์ ได้เข้าเรียนที่โรงเรียน Harrow International School ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง มีค่าเทอมต่อปีสูงถึง 672,000 บาท และน้องณดลที่อยู่ในชั้นเตรียมอนุบาลมีค่าเทอมประมาณปีละ 507,000 บาท

“น้องมะลิ พาขวัญ” ลูกสาวของคุณพ่อ ปอ ทฤษฎี พระเอกในดวงใจตลอดกาล และคุณแม่โบว์ แวนดา สหวงษ์ ได้เข้าเรียนที่ Prep International Kindergarten เป็นโรงเรียนนานาชาติที่พ่อ “ปอ” ตั้งใจเลือกไว้ให้น้องมะลิโดยเฉพาะ และคุณแม่โบว์ได้สานต่อส่งน้องมะลิเข้าเรียน โดยมีค่าเทอมต่อปีประมาณ 275,000 บาท

“น้องวันใหม่ ฉัตรบริรักษ์” สมาชิกของบ้านฉัตรบริรักษ์ ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ปัจจุบันกำลังเรียนอยู่ที่ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ ค่าเทอมประมาณปีละ 280,000 บาท

“น้องเนซ สิรินทร์” ลูกสาวของคุณแม่แหม่ม เรียนที่ โรงเรียนบางกอกพัฒนา (Bangkok Patana School) ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติ โดยมีค่าเทอมปีละประมาณ 595,100 บาท

“น้องโปรด อัษศดิณย์” ลูกชายของคุณแม่”เป้ย ปานวาด”ปัจจุบันน้องโปรดเรียนโรงเรียนเดียวกับน้องณดาและน้องณดลคือ Harrow International School ซึ่งมีค่าเทอมปีละประมาณ 672,000 บาท

ที่มา https://goo.gl/k7NGhW

เรียบเรียงโดยDPSNews

ใครบอกแม่บ้านทำงานบ้านได้อยางเดียว! เเม่บ้านเลี้ยง“กุ้งก้ามแดง” อยู่กับบ้านชิลๆ มีรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน


ใครบอกว่า แม่บ้าน แค่ทำงานบ้านรอเงินเดือนจากสามี แต่เมื่อชีวิตเปลี่ยนไป ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น การหาเงินทางเดียวไม่พอเสียแล้ว วันนี้ทำให้เราได้เห็นแม่บ้านยุคใหม่หันมาหารายได้ควบคู่ไปกับการเป็นแม่บ้าน

โดยแม่บ้านที่เราพูดถึง อาชีพของเธอไม่ธรรมดา เพราะเธอมีรายได้เป็นหลักแสนบาทต่อเดือนเลยทีเดียว อาชีพที่ว่านั้นก็คือ เพาะเลี้ยงกุ้งก้ามแดงจำหน่ายของ “สุพรรณี ศิริสวัสดิ์” ขึ้นแท่นเป็นตัวแทนเลี้ยงกุ้งก้ามแดงของจังหวัดนนทบุรี เพราะทุกคนรู้จักแฟนเพจในชื่อ “กุ้งก้ามแดง นนทบุรี”

แม่บ้านเลี้ยง “กุ้งก้ามแดง” อยู่กับบ้านชิลๆ มีรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน
บ่อ ที่ใช้พื้นที่หน้าบ้าน

กุ้งก้ามแดง สัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่กำลังถูกจับตามอง เพราะมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ หันมาให้ความสนใจการเลี้ยงจำนวนมาก ทั้งรายย่อย อาศัยพื้นที่บ้าน ทาวน์เฮาส์เพาะเลี้ยงพ่อ-แม่พันธุ์ หรือลูกกุ้งจำหน่าย ผู้เลี้ยงกุ้งก้ามแดงวันนี้มีหลายรูปแบบ มีตั้งแต่เด็กวัยรุ่นเลี้ยงสนุกๆ แม่บ้าน ผู้ที่ตกงาน และยังรวมไปถึงเกษตรกรที่เลี้ยงกุ้งแบบขายเป็นกุ้งเนื้อด้วย

แม่บ้านเลี้ยง “กุ้งก้ามแดง” อยู่กับบ้านชิลๆ มีรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน
ในกาละมังก็เลี้ยงได้เช่นกัน

“สุพรรณี” เล่าว่า เริ่มเลี้ยงกุ้งก้ามแดงเมื่อปี 2557 ตอนนั้นได้รู้จักกุ้งก้ามแดงจากรายการทีวี ซึ่งเพาะเลี้ยงในท้องนา พอเห็นรู้สึกชอบ ก็เลยลองไปซื้อพ่อแม่พันธุ์ จากผู้เพาะเลี้ยงกุ้งในจังหวัดกำแพงเพชร ตอนนั้นคิดเพียงว่ามาเลี้ยงไว้ดูเล่นเพลินในบ่อเลี้ยงปลา หลังจากเลิกเลี้ยงปลาไปก่อนหน้านี้ แต่พอเลี้ยงได้ระยะหนึ่งปรากฎว่าออกลูก มาหลายร้อยตัว เพราะแม่พันธุ์หนึ่งตัวจะให้ลูกประมาณ 400-500 ตัว ซึ่งตอนนั้นมีแม่พันธุ์ที่พร้อมให้ลูกถึง 4-5 ตัว ปรากฎว่า ครั้งนั้นได้ลูกกุ้งหลักพันตัว ซึ่งช่วงนั้น เมื่อประมาณ 1-2 ปีก่อนหน้านี้ การเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ยังไม่ได้รับสนใจมากนัก ทำให้เรากังวลว่าแล้วจะไปขายที่ไหน ก็ลองศึกษา และเข้ากลุ่มในเฟซบุ๊ก กลุ่มคนเลี้ยงกุ้งก้ามแดง มีฟาร์มเลี้ยงกุ้งรายใหญ่แห่งหนึ่งสนใจ ขณะนั้นกลัวขายไม่ได้ เสนอขายในราคา 3 บาท เป็นลูกกุ้งขนาด 1 นิ้ว หรือ 1 เดือน ดีใจมากที่ขายได้ เพราะเป็นเงินก้อนแรกที่ขายได้ จำนวนลูกกุ้ง 3,000 ตัว และบางส่วนได้คัดลูกกุ้งที่น่าจะเป็นพ่อ แม่พันธุ์ มาเลี้ยงต่อ ด้วย

แม่บ้านเลี้ยง “กุ้งก้ามแดง” อยู่กับบ้านชิลๆ มีรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน
ท่อพีวีซี เตรียมไว้เป็นที่อยู่ของกุ้ง

ปัจจุบันฟาร์มกุ้งก้ามแดงของ “คุณสุพรรณี” จำหน่ายมีพ่อ แม่พันธุ์ และลูกกุ้งเป็นหลัก โดยราคาพ่อ แม่พันธุ์ จำหน่ายในราคาชุดละ 900 บาท ตัวผู้ 1 ตัวเมีย 1 ส่วนราคาลูกกุ้ง เริ่มจำหน่ายกันตั้งแต่ 7 วัน ราคาตัวละ 7 บาท กุ้งขนาด 1 นิ้ว ราคา 18 บาท และขนาด 2 นิ้ว ราคา 60 บาท ขนาด 3 นิ้ว 150 บาทถึง 200 บาท และ 4 นิ้ว ราคา 250 บาท และ 5 นิ้วขึ้นไป 300 บาทขึ้นไป ( ราคาเปลี่ยนแปลงไปตามราคาในท้องตลาด) เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่กุ้งก้ามแดงเป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นไปมาก

แม่บ้านเลี้ยง “กุ้งก้ามแดง” อยู่กับบ้านชิลๆ มีรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน
แยกเลี้ยงในตะกร้ารอออกลูก

“เดิมตนเองเป็นแม่บ้านมาตลอด หลังจากแต่งงาน 15 ปี หลังจากแต่งงานก็เป็นแม่บ้านมาตลอด และพอมาหันมาเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ปรับพื้นที่บ้านเป็นที่เลี้ยงกุ้ง โดยใช้การก่ออิฐและกะละมังพลาสติกดำขนาดใหญ่เป็นบ่อเลี้ยง ซึ่งใช้พื้นที่หน้าบ้าน และบนดาดฟ้า เป็นพื้นที่เลี้ยง เนื่องจากกุ้งก้ามแดงเป็นกุ้งที่เลี้ยงง่าย ทำให้ปรับทุกบริเวณในบ้านเป็นที่เพาะเลี้ยงกุ้งได้ ”

พอถามถึงรายได้ ในช่วงที่่เริ่มต้นมีรายได้ไม่แน่นอน เดือนหนึ่งหลักหมื่นบาท จนขยับมาหลายหมื่นบ้าน ในปัจจุบัน บางเดือนเป็นหลักแสนบาท

แม่บ้านเลี้ยง “กุ้งก้ามแดง” อยู่กับบ้านชิลๆ มีรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน
สุพรรณี ศิริสวัสดิ์ เจ้าของ

สำหรับการลงทุนตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบันอยู่ที่หลักแสนบาท (ระยะเวลาเกือบ 2 ปีเพาะกุ้งได้มากกว่า 3,000 ตัว เพาะพ่อ แม่พันธุ์หลักร้อยตัว) แต่เป็นลักษณะค่อยๆ ลงทุน ซึ่งรายจ่ายส่วนใหญ่จะไปอยู่ที่อุปกรณ์ และพ่อ แม่พันธุ์ และการลงทุนนำอาหารมาจำหน่ายรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายตรงนี้ด้วย หลังจากได้ผลผลิต ไม่ต้องซื้อพ่อแม่พันธุ์เนื่องจากเพาะได้เอง จะมีค่าใช้จ่ายเพียงแค่ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ เท่านั้น

แม่บ้านเลี้ยง “กุ้งก้ามแดง” อยู่กับบ้านชิลๆ มีรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน

ที่ผ่านมาพบว่าคนที่มาขอซื้อพ่อ แม่พันธุ์ไปเลี้ยงส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กวัยรุ่นบ้าง บางคนก็ลาออกจากงานมาดูแลแม่ที่ป่วย คนเหล่านี้ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร พอซื้อกุ้งไปเลี้ยง และขายได้ทำให้เขามีรายได้ บางคนมีรายได้มากกว่าการทำงานประจำ หรือน้องๆ ที่อยู่ในวัยเรียนมีรายได้หาเงินซื้อของที่ต้องการโดยไม่ต้องไปขอเงินพ่อแม่ และที่สำคัญไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง เพียงหลักพันบาทก็มีอาชีพได้

แม่บ้านเลี้ยง “กุ้งก้ามแดง” อยู่กับบ้านชิลๆ มีรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน
เลี้ยงในกล่องแบบนี้รอขุนเป็นพ่อ แม่พันธุ์

สำหรับลูกค้าคุณสุพรรณีมาจาก 2 ทาง คือ ในเฟซบุ๊ก และการบอกกันแบบปากต่อปาก คุณสุพรรณีบอกว่า เธอได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มคนเลี้ยงกุ้งก้ามแดงในเฟซบุ๊ก ทำให้ได้รู้จักกลุ่มคนเลี้ยง และคนที่ต้องการกุ้งไปเลี้ยงมักจะเข้ามาในกลุ่ม เพื่อหากุ้ง ที่ผ่านมามีคนสนใจเลี้ยงกันมากเพราะราคากุ้งที่สูง และตลาดยังมีความต้องการอยู่มาก โดยเฉพาะพ่อ แม่พันธุ์ที่ราคาสูงถึงตัวละ 300-500 บาท และกุ้งที่ขายกินเนื้อราคาถึงกิโลกรัมละ 1,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ผู้อยากเลี้ยง คงต้องศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อนว่า เลี้ยงไปแล้วจะเอาไปขายที่ไหนด้วย เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

โทร. 08-5915-3899, www.facebook.com/กุ้งก้ามแดง นนทบุรี

ขอบคุณที่มา: http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000015402

เรียบเรียงโดย: DPSNews

อย่าทำเด็ดขาด! รู้หรือไม่! ผลเสียของการเล่นโทรศัพท์ในห้องน้ำ


วันนี้DPSNews มานำเสนอเกี่ยวกับผลเสียของการเล่นโทรศัพท์ในห้องน้ำ ปัจจุบันนี้พฤติกรรมในการใช้โทรศัพท์มือถือของคนเรายิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเข้าห้องน้ำก็ยังพกโทรศัพท์มือถือเข้าไปนั่งแชท เล่นเกม เล่นเน็ต เพราะมีโทรศัพท์มือถือเลยทำให้การเข้าห้องน้ำยิ่งนานขึ้น  แต่คุณทราบไหมว่าทำแบบนี้มันไม่ดีต่อสุขภาพเลยนะ!

การที่เรานำโทรศัพท์เข้าไปเล่นในห้องน้ำเป็นพฤติกรรมเสพติดอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ใครหลายๆคนทำจนเกิดเป็นนิสัย เเต่คุณไม่รู้หรอว่าการที่คุณนำโทรศัพท์เข้าไปเล่นในห้องน้ำนั้นเสี่ยงเป็นโรคต่างๆมากมายที่คุณคาดไม่ถึง ถึงเเม้ว่าห้องน้ำของคุณจะสาอาดมากเเค่ไหนขึ้นชื่อว่าห้องน้ำเเล้ว ยังไงก็สกปรกอยู่ดี อัพยิ้มก็เลยอยากขอให้ท่าน หาที่ว่างสักที่เเล้วลองวางโทรสักนาทีในขณะที่เราเข้าห้องน้ำ ไม่ได้ขอให้ทำเพื่อใครเเต่ขอให้คุณทำเพื่อคุณเอง หากคุรติดโรคเเล้วคุณอาจจะไม่ได้เล่นโทรศัพท์อีกก็ได้ วันนี้เราก็เลยนำข้อมูลดีๆเกี่ยวกับเชื้อร้ายเรงที่ติดมากับโทรศัพท์มาให้อ่านค่ะ

ชาร์ลส์ เกอร์บา ศาสตราจารย์ด้านจุลชีววิทยา และ เคลลี่ นาร์ด ศาสตราจารย์ด้วยอนามัยและสิ่งแวดล้อม จากมหาวิทยาลัยแอริโซนา ได้ทำการศึกษาด้านพฤติกรรมของการนำโทรศัพท์เข้าไปใช้ในห้องน้ำ ตรวจพบว่า เชื้อโรคในห้องน้ำ จะติดเเละปะปนกันออกมากับโทรศัพท์ เเละทำให้เราป่วยได้ รวมไปถึงการเเพร่ระบาดของเชื้อ norovirus, E.coil, Salmonella, Shigella, โรคไวรัสตับอักเสบA และไข้หวัดกระเพาะอาหาร เเละพฤติกรรมที่อาจทำให้คุณเสี่ยงติดเชื้อคือ มีลักษณะตาเเดง เพียงเเค่มือของเราสัมผัสท์กับโทรศัพท์ เเล้ว จับหน้า ใบหู ปาก ถึงเเม้คุณคิดว่าการล้างมือจะสะอาดเเล้วคุณคิดผิดค่ะ เพราะคุณจะต้องไปจับประตูห้องน้ำซึ่งก็ยังมีเชื้อโรคติดมาอยู่ดี

ผลเสียของการเล่นโทรศัพท์ในห้องน้ำ 5 ประการ มีอะไรบ้างมาดูกันเลย!

 

1. สูดเชื้อโรคนานเกิน ก่อให้เกิดอาการอักเสบภายในร่างกาย

เวลาที่นั่งบนชักโครก  ร่างกายของเราต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคและอากาศไม่ถ่ายเท  ถ้าอยู่ในห้องน้ำนานๆ ก็เท่ากับต้องสูดอากาศที่มีเชื้อโรคเข้าไปในร่างกายอยู่ตลอด  ถ้าเป็นรุนแรงก็จะมีอาการอักเสบต่างๆในร่างกายได้  เวลาทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำจึงควรรีบทำให้เสร็จไวๆเพื่อลดเวลาที่ร่างกายต้องสัมผัสกับเชื้อโรค

2. นั่งนานเกินไป ทำให้เป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก

การเล่นโทรศัพท์มือถือในห้องน้ำทำให้ใช้เวลาในการถ่ายอุจจาระนานเกินความจำเป็น การนั่งถ่ายอุจจาระในท่าเดิมนานๆ จะทำให้เลือดคั่งที่ทวารหนัก  มีผลงานวิจัยระบุว่า หากนานเกิน 3 นาทีจะก่อให้เกิดเส้นเลือดขอดในลำไส้ตรง (rectum) จนกลายเป็นโรคริดสีดวงได้ นอกจากนี้  การนั่งขับถ่ายเป็นเวลานานๆยังทำให้มีอาการไส้ตรงปลิ้นขณะขับถ่าย

3. พลาดช่วงเวลาที่ร่างกายต้องขับถ่าย จนทำให้ท้องผูก

การเล่นโทรศัพท์มือถือจะทำให้เราไม่ใส่ใจกับช่วงเวลาที่ต้องขับถ่าย ไม่รู้สึกว่าอยากเข้าห้องน้ำปลดทุกข์ จนก่อให้เกิดอาการท้องผูกโดยไม่รู้ตัว ถ้าคุณรู้สึกว่าตนเองขับถ่ายลำบาก อย่าไปคิดว่าการขับถ่ายเป็นเรื่องน่าเบื่อหรือลำบากจนต้องหาอะไรอ่านหรือเล่นเกมเพื่อฆ่าเวลา ทำแบบนี้จะยิ่งขับถ่ายยากขึ้นจนกลายเป็นว่านั่งส้วมนานๆ ก็ยังถ่ายไม่ออก

4. หน้ามืดเวียนหัว ขาเป็นเหน็บชา

การนั่งยองๆนานเกินไปจะทำให้เลือดในร่างกายไหลลงสู่ด้านล่างจนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ คนทั่วไปนั่งยองๆนานๆแล้วลุกขึ้นทันทีมักจะเกิดอาการหน้ามืดเพราะการไหลเวียนของเลือดติดขัด ถ้านานเกินไป ออกซิเจนจะไปเลี้ยงเซลล์ไม่เพียงพอทำให้เส้นประสาทชา บางคนจึงมีอาการขาเป็นเหน็บชาได้

5. มือถือร่วงหล่น พังเสียหาย

การนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปเล่นในห้องน้ำ หากเผลอไม่ระวัง มือถืออาจร่วงจากมือหรือหล่นจากตรงที่ที่เราวางไว้ ทำให้หน้าจอแตกหรือเครื่่องพังได้ ถ้าหนักยิ่งกว่านั้นคือหล่นลงส้วม งานเข้าเลยล่ะทีนี้!

เพราะฉะนั้น ทางที่ดีครั้งต่อไปอย่านำมือถือเข้าไปเล่นในห้องน้ำเลย เพราะอาจทำร้ายสุขภาพตัวเองโดยไม่รู้ตัวหรือมือถือเสียหายโดยไม่ทันระวัง ช่วยกันแชร์ไปให้เพื่อนๆของคุณที่ชอบทำแบบนี้ ด้วยความห่วงใยนะจ๊ะ

ขอบคุณที่มา:http://box.upyim.co/40616/ เเละ  http://www.liekr.com/post_140450.html

เรียบเรียงโดยDPSNews

ส่องนายแพทย์สุดหล่อ“หมอโอ๊ต”งานนี้สาวๆ หัวใจละลายกันเป็นเเถว!!


อยากจะบอกว่าวันนี้เผ็ดมาก เผ็ดแบบยังไม่ต้องกินอะไรรสจัด แต่ก็ซี๊ดซ๊าดด หนักม๊ากก เพราะช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย ร่างกายไม่ค่อยสบาย แต่อาการต่างๆ จะหายไป เมื่อมาเจอ หมอสุดหล่อที่จะมาช่วยเยียวยาอากาศไม่สบาย ให้ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ สาวแท้ สาวเทียม แม้กระเทียม และหัวหอมในแผงผักในตลาด ยังต้องสดชื่นกลับมามีชีวิตชีวาฟิตปั๋งกันอีกครั้ง เมื่อได้ชมความหล่อเซอร์ของหมอคนนี้ ว่าแต่เค้าคือใคร ไม่เสียเวลา ไปชมกันเลย ฮ่าาาาาา

“หมอโอ๊ต” หรือ “พท.สุเมธี นามเกิด” อายุ 25 ปี แพทย์แผนไทยปฎิบัติการ จากวิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เป็นหนุ่มเหนือที่ดูแล้ว ละลายทันที เอ๊าดูให้อิ่มอกอิ่มใจกันไปเลยนะจ้าววว

ที่มา: https://goo.gl/27ZKDk

แห่งเดียวในประเทศไทย !! วัดเดียวที่ไม่มีใครกล้าเข้าไป แม้แต่พระที่เข้ามา ก็ไม่มีพระรูปไหนสามารถอยู่ได้ !!


สำนักสงฆ์ร้างแห่งนี้  อยู่ที่  อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เจ้าอาวาสวัดเล่าว่า พื้นที่บริเวณนี้เป็นมรดกตกทอดจากบิดาของพระอาจารย์ซ่วน ปัญญาธโล อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าลาดใต้ พระเกจิดังเรื่องปลัดขิกเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่เนื่องจากท่านเป็นพระที่มุ่งปฏิบัติสมาธิภาวนา “กสิญสิบ” สื่อสารกับดวงวิญญาณ-ภูตผี จนทำให้ไม่มีเวลาปฏิบัติกิจของสงฆ์ จึงลาสิกขาบท ออกมาตั้งสำนักสงฆ์แห่งนี้ จากนั้นมาพระอาจารย์ซ่วนก็มุ่งมั่นปั้นรูปั้นต่างๆขึ้น เช่น กุมารทอง, นางกวัก, ตุ๊กตาเด็ก

15304521_1278956342170168_9107802580169448395_o(1)

15369285_1278956225503513_6691706295527431811_o(1)

15492248_1616213158682140_7960540737750751026_n(1)

15542132_1616213078682148_1925881584829396952_n(1)

รูปปั้นนับร้อยที่พระอาจารย์ซ่วนได้ปั้นขึ้น จะมีการลงอักขระอาคมไว้ทั้งหมด บางตัวมีส่วนผสมของชิ้นส่วนคนตาย โดยเฉพาะผิวหนังของร่างคนตายที่สักยันต์ แต่เผาไม่ไหม้ จะถูกนำมาเป็นมวลสารในการปั้น และทุกตัวจะมีช่องสำหรับนำอัฐิคนตายบรรจุไว้ด้านใน หากญาติผู้เสียชีวิตแจ้งความประสงค์อยากให้วิญญาณสถิตอยู่ในรูปปั้นเหล่านี้ พระอาจารย์ซ่วนก็จะประกอบพิธีบรรจุอัฐิให้

15542375_1616213082015481_3266158761990094096_n(1)

15578436_1616213055348817_102023375203920809_n(1)

15578873_1208709285875657_6355479419590568572_n(1)

18921885_306992009727541_2790828943062188598_n(1)

กระทั่งปี 2536 พระอาจารย์ซ่วนมรณภาพลง ตั้งแต่นั้น สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ก็ไร้พระสงฆ์เข้ามาจำวัด หลายครั้งที่ทางวัดให้พระสงฆ์เข้ามาฟื้นฟูสถานที่ แต่ไม่เคยมีพระรูปไหนอยู่ได้ อ้างพบเห็นสิ่งที่ชวนพิศวง ทั้งงูยักษ์เลื้อยผ่าน ได้ยินเสียงดังแปลกๆ คล้ายเสียงคนพูดคุยกัน จนสุดท้ายจำเป็นต้องปล่อยให้ทิ้งร้าง

แต่ก็มักมีคนแอบเข้ามาในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ เพราะทั้งรูปปั้นและปลัดขิกขนาดใหญ่ ต่างเป็นที่จับจ้องของกลุ่มคนบูชาเครื่องรางของขลัง เคยถึงขั้นมีคนลอบนำรถเครนเข้ามา หวังยกปลัดขิกนำกลับไปบูชา แต่ก็ไม่สำเร็จ ยกเท่าไหร่ก็ยกไม่ขึ้น แม้จะใช้คนนับ 10 ชีวิต ที่สุดก็ต้องถอยกลับไป

 

19029386_306992066394202_5019443088783260128_n(1)

19029372_306991706394238_7948126970916104783_n(1)

ขอบคุณภาพ : อุทยานหุ่นปั้น สำนักสงฆ์ร้างอาจารย์ซ่วน

ที่มา: http://seng-ped.com/?p=63

ไอเดียเจ๋ง! เกษตรกรพิจิตรสลักชื่อลูกเมล่อน สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้า สร้างรายได้หลายเเสน


เกษตรกรพิจิตรหัวใส สลักชื่อบนผลเมล่อน สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้า ที่ต้องการนำไปเป็นของฝาก ไม่สามารถหาได้ทั่วไปตามท้องตลาด

วันที่ 4 มิ.ย. 60 ผู้สื่อข่าวเกษตรกรผู้ปลูกเมล่อน ในพื้นที่หมู่ที่ 7 บ้านมาบแฟบ ตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร สร้างแรงจูงใจให้กับลูกค้าด้วยการทดลองสลักชื่อลงบนผลเมล่อน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อสำหรับผู้ที่ต้องการนำผลเมล่อนเพื่อไปมอบเป็นของขวัญและของที่ระลึก

โดยทดลองสลักชื่อ นายวีระศักดิ์  วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ลงบนผลเมล่อน ผลผลิตออกมาน่าพึงพอใจ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรชื่นชมเป็นความคิดที่ดีที่จะส่งเสริมการขายเนื่องจากเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หาที่ไหนไม่ได้ เชื่อจะได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการจะนำผลเมล่อน ผลไม้ขึ้นชื่อไปมอบเป็นของขวัญของที่ระลึกในโอกาสต่างๆ นับเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่ต่อยอดจากการสู้วิกฤติราคาข้าวตกต่ำ แบ่งพื้นที่ปลูกเมล่อนสร้างรายได้งาม โรงเรือนละ 50,000 บาท ต่อการปลูก 1 รอบ ซึ่งใช้เวลาในการปลูก 60-65 วัน

นายราม พลวัน อายุ 45 ปี ได้แนวคิดการปลูกเมล่อนจากศูนย์สาธิตเมล่อนที่วัดมาบแฟบ ซึ่ง พระเมธีธรรมประนาท เจ้าคณะอำเภอเมืองพิจิตร  จัดสร้างขึ้นให้ประชาชนในหมู่บ้านได้ศึกษา จึงแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งซึ่งเคยทำนาที่ตนเองและครอบครัวทำอยู่จำนวน 20 ไร่  ลงทุนสร้างโรงเรือนขนาด 6 เมตร คูณ 36 เมตร  ซึ่งครั้งแรกจะต้องลงทุนสูงหน่อยแต่ก็ใช้ได้นาน ปลูกเมล่อนชุดแรก 600 ต้น ใช้เวลาเพียง 60 วัน สร้างรายได้ประมาณ 50,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ดีทดลองปลูกมากว่า 2 ปี  จึงขยายโรงเรือนเพิ่มอีก 2 โรงเรือนเพื่อเพิ่มผลผลิตที่จะออกสู่ตลาด ซึ่งจะมีพ่อค้าที่เดินทางมารับซื้อถึงที่

ด้านนายวีระศักดิ์  วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ซึ่งเดินทางเยี่ยมชมและให้กำลังใจ รวมไปถึงร่วมตัดผลเมล่อนที่พร้อมจำหน่าย กล่าวว่า ชื่นชมความคิดสร้างสรรค์ที่มีการสลักชื่อลงบนผลเมล่อน ความรู้สึกส่วนตัวที่เห็นชื่อของตนเองบนผลเมล่อนแล้วภาคภูมิใจ และมองว่าน่าจะเป็นจุดขายที่ดีเนื่องจากเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นสิ่งเฉพาะบุคคล หรือองค์กรที่จะนำไปใช้ในโอกาสต่างๆ โดยเฉพาะนำไปมอบเป็นของฝาก ของที่ระลึก ซึ่งจะสามารถสร้างความประทับใจทั้งผู้ให้และผู้รับได้เป็นอย่างดี

สำหรับการปลูกเมล่อนนับว่าเป็นทางออกของเกษตรกรที่ทำนาเป็นอาชีพหลักที่แบ่งพื้นที่นาข้าว เพื่อปลูกพืชชนิดอื่นเพื่อสร้างรายได้ ลดความเสี่ยงของการขาดทุนจากปัญหาภัยธรรมชาติและราคาผลผลิตตกต่ำ ซึ่งสามารถสร้างรายได้งามให้กับเกษตรกรผู้เพาะปลูก

ส่วนการสลักชื่อลงบนผลเมล่อน เป็นการทดลองต่อยอดในการส่งเสริมการขาย โดยเกษตรกรจะสลักชื่อบนผลเมล่อนในช่วงอายุ 35-40 วัน ซึ่งยังเป็นช่วงผลอ่อน วิธีการใช้เหล็กในการสลัก การสลักจะไม่ให้ลึกจนถึงเนื้อเมล่อน เมื่อเมล่อนแก่เต็มที่ก็จะมีลวดลายบนผลเมล่อนเป็นชื่อที่ต้องการ

สำหรับท่านใดที่ต้องการจะมีผลเมล่อนที่มีชื่อเฉพาะเพื่อใช้มอบเป็นของขวัญของที่ระลึกเฉพาะตัวสามารถติดต่อได้ที่  081-469-8262  และ 081-279-4242  ราคาแตกต่างจากการจำหน่ายผลผลิตตามปกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ที่มา http://drama-thailand.com/2017/06/05/05-2/

ขอบคุณ ข้อมูล ภาพ : workpoint

อยากไปเรียนมั้ย? มหาลัยสอนหนังโป๊ ของพระเอกหนังโป๊ในตำนาน”ร็อคโค่ ซิฟเฟรดี้”


ใครที่เป็นแฟนหนัง AV คงจะจำได้ถึงพระเอกหนัง AV ในตำนาน ร็อคโค่ ซิฟเฟรดิ ที่โด่งดังมาจาก ทาร์ซาน xxx ผู้มีผลงานมากว่า 2000 เรื่อง มือโปรระดับนี้ พี่แกกลัวจะไม่มีคนสืบทอดจึงเปิด “Porn University” เพื่อค้นหาดาวดวงใหม่ประดับวงการหนังโป๊

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นสถาบันการศึกษาเฉพาะทางเพื่อสอนเทคนิคทั้งหมดของการแสดงที่จำเป็นต้องใช้ เช่นวิธีการอยู่หน้ากล้อง การใช้คำหยาบ และวิธีการทำงานในตำแหน่งที่ดูดีที่สุดบนหน้าจอ นักศึกษาที่เรียนที่นี่จะได้โบนัสพิเศษจากการ Training เป็นการเข้าร่วม TV Show ของมหาวิทยาลัย “Universita del Porno” อีกด้วย

งานนี้เห็นทีคงมีคนรอต่อแถวเข้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้เยอะแน่ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลให้ผู้อำนวยการอย่าง Rocco Siffredi ต้องจำกัดการรับสมัครอยู่ที่คอร์สละ 21 คนเท่านั้น (ผู้หญิง 7, ผู้ชาย 14) และต้องการแค่ผู้ที่สนใจและรักในอาชีพนี้จริงๆ เรียกว่าเป็นเรื่องเป็นราว เอาจริงเอาจังมากก ไม่รู้ว่าค่าเล่าเรียนเท่าไหร่นะ ใครสนใจเชิญสมัครลงเรียนได้นะครับบบบ

ที่มา www.skaihow.com
เรียบเรียงโดย DPSNews