รู้หรือยัง! เงินประกันสังคมรับคืนได้! อย่าทิ้งเงินก้อนโตให้เสียไปเปล่า!!

เชื่อว่าคนทำงานหลายๆคนยังไม่รู้ว่า การรับเงินประกันคืนนั้น ควรทำอย่างไร แล้ว โดนส่วนมากนั้นจะปล่อยเงินก้อนนี้ทิ้งไปโดยไม่ได้สนใจว่าเงินนี้จะมากหรือน้อย วันนี้เราจะมาแนะนำว่าควรทำอย่างไร

ระบบประกันสังคม เป็นสิ่งที่ต่างประเทศมีมานานแล้วแต่เมืองไทยเพิ่งเริ่มจะมี โดยประกันสังคมเป็นระบบที่บังคับให้ทุกคนออมเงินส่วนหนึ่ง (5% ของเงินเดือน)
ข้อดีของประกันสังคม คือลูกจ้างอย่างเรา จะจ่ายเงินประกันนี้ (เรียกว่าเงินสมทบ) เพียง 1 ใน 3 ส่วนเท่านั้น เพราะผู้ที่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ประกอบด้วย 3 ฝ่าย คือ
1. รัฐบาล
2. นายจ้าง
3. ลูกจ้าง

ดังนั้นลูกจ้างจึง จ่ายเงินเข้ากองทุนเพียง 5% ของค่าจ้าง และรัฐบาลสมทบอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งทำให้เราได้รับผลประโยชน์มากขึ้น คุ้มค่าเกินกว่ามูลค่าเงินที่เราลงไป

ในแต่ละเดือนของประกันสังคม แบ่งเงิน ไปทำอะไร อย่างไหนบ้าง !? สำหรับเงิน 750 บาท ในแต่ละเดือนของประกันสังคม จะถูกแบ่งเป็น

1. 225 บาท สำหรับดูแลเรื่องเจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และเสียชีวิต ถ้าไม่ใช้สิทธิ เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้รับคืน
2. 75 บาท สำหรับใช้ประกันการว่างงาน ถ้าว่างงานเมื่อไหร่ สามารถเอาเงินส่วนนี้มาใช้ในระหว่างตกงานหรือรอหางานใหม่ แต่ถ้าไม่ว่างงานเลย เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้รับคืน
3. 450 บาท สำหรับเก็บเป็นเงินออม จะได้รับคืนเมื่ออายุครบ 55 ปี

โดยเงื่อนไข การได้เงินก้อนสุดท้าย (เงินออม เมื่อครบ 55 ปี คืน) คือ
1. จ่ายประกันสังคมไม่ครบ 1 ปี ได้คืนส่วนที่จ่ายเป็นเงินก้อน เรียกว่าบำเหน็จชราภาพ เช่น จ่ายเดือนละ 750 บาทมาโดยตลอด 10 เดือน (750 บาท จะถูกหักเป็นเงินออม 450 บาท) เมื่ออายุครบ 55 ปี จะได้คืน 450 บาท x 10 เดือน = 4,500 บาท
2. จ่ายครบ 1 ปี แต่ ไม่ถึง 15 ปี จะได้เป็นเงินก้อนเรียกว่าบำเหน็จเช่นกัน แต่จะมากกว่า ข้อ 3.1 คือ ได้ส่วนที่นายจ้างสมทบไว้ด้วย เช่น จ่าย 750 บาท ตลอด 7 ปี (84 เดือน) ที่จะได้รับคืนเมื่ออายุครบ 55 ปี คือ 450 บาท (ส่วนที่ตนเองจ่าย) + 450 บาท (ส่วนที่นายจ้างจ่าย) x 84 เดือน = 75,600 บาท
3. จ่ายตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จะได้รับเป็นเงินรายเดือน เรียกว่า บำนาญ-ชราภาพ โดยคำนวณ 2 กรณี คือ

กรณีจ่ายครบ 15 ปีพอดี จะได้รับรายเดือน คือ 20% ของเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย เช่น 60 เดือนสุดท้าย เฉลี่ยแล้วเท่ากับ 15,000 บาท จะได้รับ 20% คือ เดือนละ 3,000 บาท ไปจนเสียชีวิต

กรณีสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับโบนัสเพิ่ม 1.5% ของเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย หากครบปี เช่น จ่ายครบ 20 ปี รายเดือนที่จะได้รับ คือ 20% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน + 1.5% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน x 5 ปี
(จ่าย 20 ปี เกินจากที่กำหนดขั้นต่ำมา 5 ปี) เช่น เฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย เท่ากับ 15,000 บาท จะได้รายเดือน คือ
(20% x 15,000 บาท) = 3,000 บาท + (1.5% x 15,000 บาท x 5 ปี) = 3,375 บาท รวมเป็น 6,375 บาท ต่อเดือนไปจนเสียชีวิต

กรณีที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพแล้ว แต่ยังไม่ครบ 5 ปีเลย แล้วเสียชีวิตไปก่อน ล่ะ กรณีเช่นนี้ จะได้รับบำเหน็จ 10 เท่า ของเดือนสุดท้าย ของ เงินบำนาญ ที่ได้รับเช่น รับเงินรายเดือน เดือนล่าสุด 6,375 บาท ตายปุ๊บ รับ 63,750 บาท

ขอบคุณข้อมูลจาก: clip007

ดูนาทีชีวิต! สาวท้อง6เดือน ตกรางแอร์พอร์ตลิ้งก์โดนทับเสียชีวิต!(ชมคลิป)

จากกรณีหญิงสาวพลัดตกรางรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ที่สถานีบ้านทับช้าง เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (19 มิ.ย.) ก่อนถูกรถไฟทับร่างจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ซึ่งจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่าขณะเกิดเหตุผู้ตายได้เดินเข้าไปยังรางรถไฟ ขณะที่รถไฟกำลังแล่นเข้าสู่สถานี
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุดโลกออนไลน์ได้มีการเผยแพร่คลิปเหตุการณ์ดังกล่าว ที่เผยให้เห็นนาทีที่สาว พลัดตกรางแอร์พอร์ตลิงก์ บริเวณสถานีทับช้าง ก่อนที่ขบวนรถจะแล่นเข้าสู่สถานี เป็นเหตุให้ทับร่างเสียชีวิต ต่อหน้าผู้โดยสารที่รอรถไฟอยู่บริเวณที่เกิดเหตุกันเป็นจำนวนมาก ต่อมาทราบว่า สาวเคราะห์ร้ายคนดังกล่าวคือ น.ส.รสรินทร์ เปลี่ยนหล้า อายุ 31 ปี ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ 6 เดือน

คลิปจาก : Anin inlove
ข้อมูลจาก https://goo.gl/1mEECN

ขนลุก!! “แน็ท The Voice” ร้องสด เพลงสุดใจ แบบไม่มีดนตรี กลางโรงเรียน (ชมคลิป)


ถือว่าเป็นเด็กอีกหนึ่งคนที่น่าติดตามมากๆ สำหรับ “แน็ท ศิริพงษ์” หรือ แน็ท The voice kids ที่ทำคนทั้งสตูขนลุกกันหมดเลยทีเดียว เมื่อน้องได้ยิน “แน็ท“ หรือ “ศิริพงษ์ ศรีสุขา” เด็กชายอายุ 14 ปี มาจากจังหวัดอุดรธานี ได้มาร่วมเข้าแข่งร้องเพลงในรายการชื่อดังอย่าง “The Voice Kids Thailand Season 5”

ในรอบ Blind Auditions กับเพลง “เรื่องขี้หมา“ ทุกคนในห้องส่งต่างพากันอึ่ง กับน้ำเสียงที่เพราะจับใจ และคล้ายกับเสียงของพี่ “ปู พงษ์สิทธิ์” มาก ๆ ในวันนี้ เราจึงพาทุกท่านไปส่องกันชัดๆ แบบเต็มๆ กับภาพชีวิตจริงของน้องแน็ท ที่เห็นแล้วต้องบอกเลยว่า ดูเป็นเด็กที่มีอนาคตด้านดนตรีอีกยาวอย่างแน่นอน!!

ล่าสุด น้องแน็ท ได้โชว์ร้องเพลงสดๆ กลางโรงเรียน ที่ฟังแล้วถึงกับขนลุก และเสียงน้องแน็ท ก็คล้ายกับศิลปินรุ่นใหญ่ อย่าง ปู พงษ์สิทธิ์ คำภี อย่างกับแกะ ทำให้ฟังแล้วเคลิ้ม และขนลุกในพลังเสียงของน้องแน็ท

ชมคลิป (กรุณารอโหลดสักครู่)

ขอบคุณที่มา : Clip Today

ความบังเอิญ! ที่ทำต้องหันกลับเเละดูชัดๆ” ว่า “มันคืออะไรกันแน่!!


การถ่ายรูปในบางครั้งมันก็ช่างพอเหมาะพอเจาะกันดีเหลือเกิน จนเราต้องหันกลับไปดูอีกรอบว่ามันอะไรกันเนี่ย และอาจจะกลายเป็นที่ขบขันหรืออึ้งไปเลยว่ามันพอดีเป๊ะอะไรขนาดนั้น เหมือนกับรูปที่เราจะพามาดูในวันนี้ เห็นแล้วต้องมีสะดุดหันกลับไปดูอีกรอบแทบไม่ทัน !!!

โคตรแข็งแกร่งเลยนะเนี่ย

ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว

ไฟมาเป็นรูปหัวใจเลยเหรอ

ตกใส่หัวขนาดนี้น่าจะมึน

จับกลืนลงท้องให้หมดเลย

ปาเล่นๆ อย่าโกรธกันนะ

แล่วๆ จะหล่นแล้วเฮ้ย !!

บังเอิญได้เพอร์เฟ็คมาก

ลายผีเสื้อเหมือนตาเด็กเลย

อื้อหื้มไม่รู้จะอธิบายยังไงดี

เหมือนกำลังขี่หลังอยู่

ลาก่อย โชคดีนะเพื่อน


ไหว้ครูสุดเศร้า! นักเรียนประท้วง ผอ.พ้นโรงเรียน เหตุไม่โปร่งใส! หากดื้อด้านครูกว่าครึ่งขอย้ายออก


ไหว้ครูวุ่น! นักเรียนประท้วง ผอ.พ้นโรงเรียนห้วยเกิ้งฯ เหตุไม่โปร่งใส หากดื้อด้านครูกว่าครึ่งขอย้ายออก
บรรยากาศวันไหว้ครู โรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคาร จ.อุดรธานี

อุดรธานี – ไหว้ครูวุ่น! ครูและนักเรียนโรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคาร จ.อุดรธานี ไม่พอใจผู้อำนวยการบริหารงานไม่โปร่งใส ขี้หลีครูสาวอัตราจ้าง ทั้งด่าครูหน้าเสาธงให้อับอาย ฯลฯ รวมตัวประท้วงไล่ ผอ.พ้นโรงเรียน ทั้งส่งตัวแทนยื่นศูนย์ดำรงธรรมอุดรธานีย้าย ผอ.พ้นรั้วโรงเรียน ลั่นหากไม่ยอมย้ายคณะครูกว่าครึ่งพร้อมย้ายออกไปสอนโรงเรียนอื่น

ไหว้ครูวุ่น! นักเรียนประท้วง ผอ.พ้นโรงเรียนห้วยเกิ้งฯ เหตุไม่โปร่งใส หากดื้อด้านครูกว่าครึ่งขอย้ายออก

วันนี้ (15 มิ.ย. 60) ที่ห้องประชุมอเนกประสงค์ โรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคาร ตำบลห้วยเกิ้ง อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี จัดพิธีไหว้ครูประจำปี 2560 มีคณะครูทั้งหมด และนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมไหว้ครูจำนวนมาก หลังเสร็จพิธีการ คณะครูกว่าครึ่งได้แสดงเจตนารมณ์ขอย้ายออกไปสังกัดโรงเรียนอื่นต่อหน้านักเรียนกว่า 500 คน พร้อมระบายความในใจให้นักเรียนทราบถึงสาเหตุที่ต้องขอย้ายพร้อมกันเช่นนี้ เพราะรับไม่ไหวกับพฤติกรรมของนายพิชิต บุญสาร ผู้อำนวยการโรงเรียน

แหล่งข่าวครูในโรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคารเปิดเผยว่า หลังจากนายพิชิต บุญสาร ย้ายจากโรงเรียนเสอเพลอวิทยาสรรค์มาบริหารงานที่โรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคารเมื่อประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2559 ตลอดระยะเวลานายพิชิตบริหารงานไม่โปร่งใส จัดซื้อจัดจ้างด้วยงบประมาณที่เกินความเป็นจริง, ตัดงบประมาณหรือไม่สนับสนุนกิจกรรมที่สร้างชื่อเสียงให้แก่โรงเรียน โดยอ้างว่าไม่มีประโยชน์หรือไม่มีความจำเป็นต่อการศึกษา

อีกทั้งมีพฤติกรรมเชิงชู้สาวกับครูสาวอัตราจ้าง เช่นให้ครูสาวมาทำหน้าที่เป็นเลขานุการ, ทั้งใช้วาจาทำให้เกิดความเข้าใจผิดของบุคลากรภายในองค์กร จนทำให้เกิดความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก และที่สำคัญหากผู้อำนวยการไม่พอใจครูรายใด นายพิชิตจะใช้วาจาไม่สุภาพตำหนิครูที่บริเวณหน้าเสาธงต่อหน้านักเรียนให้เป็นที่อับอาย

ไหว้ครูวุ่น! นักเรียนประท้วง ผอ.พ้นโรงเรียนห้วยเกิ้งฯ เหตุไม่โปร่งใส หากดื้อด้านครูกว่าครึ่งขอย้ายออก

ก่อนหน้าที่นายพิชิตจะย้ายมานั้นมีนักเรียนเกือบ 1,000 คน แต่ภายหลังจากที่ผู้อำนวยการคนล่าสุดมาบริหารและแสดงพฤติกรรมไม่เป็นที่เคารพต่อคณะครู นักเรียน และผู้ปกครอง ทำให้มีนักเรียนหลายคนย้ายออกจากโรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคาร จนมีนักเรียนเหลือประมาณ 600 คนเท่านั้น

ทั้งนี้ คณะครูกว่า 20 คนของโรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคารได้กล่าวเปิดใจทั้งน้ำตาต่อหน้านักเรียนหลายร้อยคนในห้องประชุม ถึงปัญหาความคับแค้นใจตั้งแต่ผู้อำนวยการเข้ามารับตำแหน่ง คณะครูสุดทนจะรับพฤติกรรมได้ จากนั้นมีนักเรียนหลายคนโผเข้ากอดครู อยากให้ครูทุกคนอยู่สอนที่โรงเรียนต่อไป และเห็นใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเหตุการณ์บานปลายนักเรียนต่างออกไปชุมนุมรวมตัวริมสนามฟุตบอลประท้วงขับไล่ผู้อำนวยการโรงเรียน

ไหว้ครูวุ่น! นักเรียนประท้วง ผอ.พ้นโรงเรียนห้วยเกิ้งฯ เหตุไม่โปร่งใส หากดื้อด้านครูกว่าครึ่งขอย้ายออก
นักเรียนที่ไม่พอใจการบริหารงานของผู้อำนวยการ ออกมาประท้วงขับไล่พ้นจากโรงเรียน

สภาพโดยทั่วไปยากที่จะจัดการเรียนการสอนต่อไปได้ คณะครูและนักเรียนมีมติให้ย้ายนายพิชิต บุญสาร ให้พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคาร โดยส่งตัวแทนครูไปยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุดรธานี เพื่อขอความเป็นธรรม ให้สถานศึกษาสามารถจัดการเรียนการสอนต่อไปได้ โดยเสนอให้ย้ายผู้อำนวยการออกนอกพื้นที่

ขณะเดียวกัน นายอดิศักดิ์ กรีเทพ หนึ่งในกลุ่มครูที่ประสงค์จะย้ายออกจากโรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคาร กล่าวว่า สิ่งที่คณะครูเรียกร้องคือ ให้ตรวจสอบพฤติกรรมการบริหารงานของผู้อำนวยการคนปัจจุบันที่บริหารคนให้เกิดความแตกแยกขึ้น บั่นทอนจิตใจครู คณะครูนักเรียนจึงมีมติร่วมกันให้ย้ายผู้อำนวยการออกนอกพื้นที่ แต่หากผู้อำนวยการยังดื้อด้านไม่ยอมออกนอกพื้นที่ คณะครูก็พร้อมจะย้ายตัวเองออกไปจากโรงเรียนเช่นกัน

 

ไหว้ครูวุ่น! นักเรียนประท้วง ผอ.พ้นโรงเรียนห้วยเกิ้งฯ เหตุไม่โปร่งใส หากดื้อด้านครูกว่าครึ่งขอย้ายออก

ไหว้ครูวุ่น! นักเรียนประท้วง ผอ.พ้นโรงเรียนห้วยเกิ้งฯ เหตุไม่โปร่งใส หากดื้อด้านครูกว่าครึ่งขอย้ายออก

สำหรับโรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคาร เป็นโรงเรียนเปิดการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษา รองรับนักเรียนในพื้นที่ตำบลห้วยเกิ้ง และพื้นที่ใกล้เคียงของอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งหมด 600 คน มีบุคลากรครูไม่รวมครูอัตราจ้าง 40 คน ครูที่สมัครใจขอย้ายประมาณ 20 คน


ถูกมาก!! รถยนต์ที่ราคาถูกที่สุดในโลก” ราคาเพียง 5 หมื่นบาทเท่านั้น!!และรุ่นใหม่ล่าสุดปี 2017 ฟังชั่นครบ


เรียกได้ว่าเป็นรถที่ถูกที่สุดในโลกเลยก็ว่า กับรถ TATA NANO 2016 ที่ได้ทำการถูกพัฒนาใหม่ให้มีตัวถังของรถที่ใหญ่ขึ้น ส่วนทางด้านเครื่องยนต์คาดดว่าจะใช้เป็นเครื่องยนต์ 2 สูบ 624 ซีซี 38 แรงม้า แถมยังมีรุ่น CNG ออกมาให้จับจองกันอีกด้วย…

สำหรับราคา รถ TATA NANO 2016 นั้นราคาจะเปิดตัวจะอยู่ที่ 52,300 บาทซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เหมาะกับคนที่งบน้อยที่ต้องการมีรถใช้เป็นอย่างมาก สำหรับ Tata GenX Nano 2016 ยังคงแบ่งระดับการตกแต่งออกเป็น 5 เกรด ได้แก่ XE, XM, XT, XMA และ XTA โดย 3 เกรดแรกจะมีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ อัตราสิ้นเปลือง 23.8 กม./ลิตร

ล่าสุดหลังจากที่เคยสร้างความฮือฮามาแล้วในปีที่แล้วกับ Tata Nano 2016 รถยนต์รุ่นเล็ก ราคาประหยัดจากประเทศอินเดีย ที่มีราคาต่อคันแค่ 52,000 บาทเท่านั้น! (หากคิดเป็นงินไทย) มาคราวนี้เมื่อปลายปีที่ผ่านมา Tata ได้ส่งรถยนต์รุ่นใหม่ Nano Pelican ต่อยอดความสำเร็จ

อันดับแรกหลายคนคงอยากรู้ว่าราคา Tata Nano Pelican จะถูกหรือแพงกว่ารุ่นก่อน บอกเลยว่างานนี้ราคาสูงขึ้นเป็นเท่าตัว โดยรุ่นต่ำสุดราคาคิดเป็นเงินไทยราว 1.66 – 2.33 แสนบาท

 

เปรียบเทียบกันแล้วระหว่าง Nano 2016 กับ Nano Pelican, Tata Nano 2017 จะใช้ขนาดยางที่ใหญ่กว่า (13นิ้ว จากของเดิม 12 นิ้ว) และมีการปรับโฉมไฟหน้า และดีไซน์ใหม่ทั้งกันชนหน้าและหลัง เครื่องยนต์เบนซิน 0.9 และ 1.0 ลิตร สามสูบ ให้กำลังสูงสุด 62แรงม้า และเครื่องยนต์ 0.8ลิตร ดีเซล สองสูบให้ขุมกำลัง 45แรงม้า

ข้อมูล : Tata Motor

ที่มา : http://drama-thailand.com/2017/06/15/150604/#sthash.avh3QpD1.piZHAUTc.dpuf

รีบหามาปลูก! 15 ต้นไม้มงคลที่ควรปลูกไว้ในบ้านเสริมบารมี เงินทองไหลมาเทมา


การปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านมีประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะประดับเพื่อความสวยงาม ให้ร่มเงาความร่มรื่น หรือนำผลนำดอกมาทาน มาปรุงอาหารก็ได้
ที่สำคัญยังมีต้นไม้บางชนิดที่ตามความเชื่ออย่างไทยโบราณที่บอกต่อกันมาช้านาน ในเรื่องช่วยเสริมสิริมงคลให้บ้านหลังนั้นและบุคคลที่อาศัยอยู่ด้วย ใครที่ชื่นชอบเรื่องต้นไม้ และบ้านไหนที่กำลังมองหาต้นไม้ปลูกไว้ประดับบ้าน

เชิญทางนี้ค่ะ วันนี้เอาใจคนรักต้นไม้ ด้วยข้อมูล 15 ต้นไม้มงคล ..ที่ควรปลูกไว้ในบ้าน มาฝาก ต้นอะไรบ้างนั้นมา ดูกันค่ะ

ต้นมะยม
ด้วยชื่อ “มะยม” ตามความเชื่อโบราณเขาเชื่อกันว่า การปลูกต้นมะยมจะทำให้คนนิยมชมชอบ รักใคร่ มีชื่อเสียง ไม่มีคนคิดร้ายหรือเป็นศัตรูนั่นเอง และหากปลูกต้นมะยมไว้ทางทิศตะวันตก จะช่วยป้องกันวิญญาณร้าย ภูตผีปีศาจได้ด้วย

ต้นกวนอิม
คนไทยให้ความเคารพบูชากันทั่วไป เชื่อกันว่าต้นกวนอิมเงินกวนอิมทอง เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และมักจะใช้ต้นไม้ทั้งสองชนิดนี้ มาประกอบในพิธีบูชาเทพเจ้าเชื่อกันว่า เมื่อปลูกกวนอิมในบ้านจะเกิดเป็นสิริมงคล ให้มีฐานะดี มีความร่ำรวยยิ่งขึ้น

 ต้นกระดังงา
ด้วยชื่อที่เป็นมงคล เชื่,tpอกันว่าการปลูกต้นกระดังงา ทำให้คนในบ้านมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นับหน้าถือตา มีเงินทอง มีลาภยศ
– ควรปลูกในวันพุธ ไว้ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน เพื่อให้แสงอาทิตย์สาดส่อง จะช่วยให้ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว

 ต้นมะม่วง
นอกจากจะให้ร่มเงา และผลแสนอร่อยแล้ว มะม่วงยังเป็นต้นไม้มงคลที่มีความเชื่อมาตั้งแต่พุทธกาลว่า จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านร่ำรวยยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นมารังแก รังควาน หรือใส่ความได้ด้วย
– ควรปลูกต้นมะม่วงไว้ทางทิศใต้ของบ้าน

ต้นโกศล
ชื่อโกศล พ้องกับคำว่า กุศล จึงเชื่อว่า คือการสร้างบุญ คุณงามความดีช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข โกศล เป็นไม้ยืนต้นที่ได้รับความนิยมมาก ใบมีสีสันสวยสด ความหมายดี โดยเฉพาะภายในพระราชวัง และวัด ปลูกเพื่อหวังให้เกิดความร่มเย็นเป็น สุข หากนำมาปลูกในบ้าน ก็จะทำให้ครอบครัวมีแต่ความสงบสุข ปราศจากความขัดแย้งใดๆ
– แนะนำให้ปลูกต้นโกศลในวันอังคาร และปลูกไว้ทางทิศตะวันออกของบ้านเพื่อรับแสงแดดยามเช้า จะทำให้เห็นสีสันของใบที่สวยสด ดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น

ต้นขนุน
การปลูกต้นขนุนจะทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับการสนับสนุน มีคนคอยอุปการะอุดหนุนจุนเจือ คอยให้ความช่วยเหลือ มีคนสรรเสริญ สามารถป้องกันอันตรายและคนใส่ร้ายป้ายสีได้
– การปลูกควรเลือกปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะดีที่สุด ผู้ที่ปลูกควรเป็นหัวหน้าครอบครัวและควรปลูกในวันจันทร์ หรือวันพฤหัสบดี

ต้นมะขาม
ปลูกเพื่อต้องการให้ผู้อื่นเกรงขาม เพราะเชื่อกันว่า ต้นมะขามจะทำให้ผู้อยู่อาศัยเป็นที่น่าเกรงขามน่ายำเกรง และทำให้ผู้คนชื่นชอบ นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันคดีความ การทะเลาเบาะแว้ง และวิญญาณภูตผีปีศาจ – แนะนำให้ปลูกต้นมะขามไว้ทางทิศตะวันตก

ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน
ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชาติไทย เด่นที่ดอกสีเหลืองทองสวยอร่ามเป็นพวงระย้าสวยงาม เชื่อกันว่าจะช่วยให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นทวีคูณ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ใบของราชพฤกษ์ก็มักถูกนำไปใช้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ คนจึงเชื่อว่า ราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว
– ปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน

ต้นกล้วย
คนไทยสมัยก่อนนิยมปลูกไว้ในบ้านกันอย่างแพร่หลาย สามารถนำส่วนต่างๆ ของต้นกล้วย ทั้งหัวปลี ลำต้น ผล ใบ ฯลฯ มาทำประโยชน์ได้มากมายแล้ว ทั้งยังมีความเชื่อว่าจะช่วยให้การทำงานราบรื่น คิดสิ่งใดทำสิ่งใดก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้า ปากนั่นเอง
– ปลูกต้นกล้วยไว้ทางทิศตะวันออกของบ้าน

ต้นไผ่
เป็นต้นไม้มงคลที่มีความเชื่อว่า กอไผ่จะทำให้คนในครอบครัวเกิดความปรองดอง สามัคคี ไม่แตกแตก รักใคร่กัน และไผ่ยังเป็นต้นไม้ ที่อ่อนตามลม จะทำให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าปลูกไผ่สีสุกจะช่วยให้สมาชิกในบ้านประสบความสำเร็จ ร่ำรวย เงินทอง และมีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะชื่อไผ่สีสุกไปคล้องกับคำอวยพรที่ว่า “มั่งมีศรีสุข” นั่นเอง และตามตำราฮวงจุ้ยของจีนบอกไว้ว่า ต้นไผ่เป็นสัญลักษณ์ของความสง่าเหนือธรรมชาติ หากปลูกไว้ในบ้านจะเสริมมงคลให้ผู้อยู่อาศัย เป็นคนมุ่ง มั่น ตั้งใจจริง มีสติปัญญา เอื้ออารี และกตัญญูรู้คุณ
– ควรปลูกต้นไผ่ไว้ริมรั้วของบ้าน หรือบริเวณที่โล่งกว้าง ให้ต้นไผ่ได้แตกหน่อเจริญงอกงาม และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออก เพื่อให้ต้นไผ่ได้รับแสงแดดยามเช้า

ต้นวาสนา หรือ วาสนาอธิษฐาน
เชื่อกันว่า หากบ้านใดปลูกต้นวาสนาจะทำให้มีความสุข ความสมหวังในชีวิต และเป็นต้นไม้แห่งโชคลาภ ถือเป็นดอกไม้เสี่ยงทายหากต้นวาสนาบ้านไหนออกดอกสวยงาม จะทำให้มีโชคลาภ ปรารถนาสิ่งใดก็จะสมดังใจมุ่งหมาย
– ตามตำราแนะนำให้ปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และเนื่องจากต้นวาสนาเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ทางใบ จึงควรปลูกในวันอังคาร โดยให้ผู้หญิงเป็นผู้ปลูกจะดีที่สุด เพราะชื่อวาสนาอธิษฐานเป็นชื่อที่เหมาะกับสุภาพสตรี

 

ต้นแก้ว
มีจุดเด่นดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจมาก นิยมปลูกไว้ริมรั้วบ้าน หรือปลูกลงในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารก็ได้ โดยคำว่า “แก้ว” หมายถึงสิ่งของมีค่าที่คนนับถือบูชา เปรียบได้กับของมีค่าสูงดั่งดวงแก้ว ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า หากปลูก ต้นแก้วไว้ประจำบ้าน จะทำให้สมาชิกในบ้านเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนแก้ว มีความเบิกบานใจ และมีคนรักดั่งแก้วตาดวงใจนั่นเอง
– แนะนำให้ปลูกในวันพุธ และปลูกไว้ทางทิศตะวันออก

ต้นเข็ม
ดอกเข็ม ซึ่งใช้ในการประกอบพิธีไหว้ครู เป็นสัญลักษณ์แทนความฉลาดหลักแหลมเปรียบกับเข็มที่แหลมคม และการปลูกต้นเข็มไว้ในบ้านเชื่อกันว่า จะทำให้สมาชิกในบ้านมีความฉลาดหลักแหลมเหมือนกับดอกเข็ม และยังช่วยให้มีปฏิภาณไหวพริบ เอาตัวรอดได้ดี
– ให้คนที่กำลังศึกษาเล่าเรียนเป็นผู้ลงมือปลูก โดยเลือกปลูกทางทิศตะวันออก และปลูกในวันพุธ

ต้นบานไม่รู้โรย
ชื่อบานไม่รู้โรยเป็นชื่อมงคล หมายความถึง ความยั่งยืน ความอดทน และไม่ย่อท้อ หากเปรียบกับความรักก็เหมือนความรักที่ยั่งยืน ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยและคู่รักมีความผูกพันมั่นคงต่อกันไปนานๆ ปราศจากความโรยรา หรือผันแปรตลอดไป
– ควรปลูกในวันพุธ

ต้นโป๊ยเซียน
เชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้ จะทำให้ครอบครัวสงบสุข และเป็นต้นไม้เสี่ยงทาย หากบ้านไหนปลูกต้นโป๊ยเซียนออกดอกได้ 8 ดอก ก็จะมีโชคลาภ เงินทอง ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง เพราะโป๊ยเซียนเป็นตัวแทนของเทพเจ้า 8 องค์ ที่จะนำความเจริญ รุ่งเรือง และช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่เป็นเจ้าของ
– นิยมให้ผู้ที่มีอายุ หรือญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือมาลงมือปลูกให้ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และควรปลูกในวันพุธ ที่สำคัญควรเลือกดอกสีเหลือง หรือสีส้ม จะเป็นมงคลมากที่สุด

 

สำหรับใครที่อยากจะหาต้นไม้มาปลูกประดับบ้าน ตอนนี้คงพอจะนึกออกแล้วนะคะ ว่าจะเลือกต้นไม้ชนิดไหนมาปลูกดี

ถ้าหากต้องการเสริมศิริมงคลตามความเชื่อแบบไทยโบราณ ลองเลือกต้นไม้ที่เรานำมาฝากกันไปปลูกที่บ้านคัณ คุณจะได้ใช้ ประโยชน์จากต้นไม้ ให้ร่มเงา ความสวยงามน่าชม แล้วยังเสริมดวง เป็นสิริมงคลอีกด้วย

สุดยอดหนุ่มร้อยเอ็ด อาสาช่วยพา “น้องรุ้ง” เหยื่อคดีฆ่าถ่วงน้ำ กลับบ้านไปหาปู่-ย่า พร้อมขอเป็นเจ้าภาพอีกด้วย (รายละเอียด


จากกรณี ข่าวที่คนให้ความสนใจกันเป็นจำนวน กับคดีน้องรุ่งที่ผ่านมา ล่าสุดมีการพูดถึง ชายหนุ่ม ใจดีคนหนึ่งที่อาสาไปรับไปส่งผู้ที่จะไปร่วมงานศพน้องรุ้งฟรี และเพื่อท่จะรับศพน้องมาหา ปู่-ย่าโดยขอแค่ ดอกไม้ธูปเทียนเท่านั้นจากที่ได้สอบถามเขาก็ได้ให้คำตอบว่า
“หลังรับรู้ก็ หดหู่ใจสงสารผู้เป็นปู่เป็นย่าที่เลี้ยงมา เลยอยากจะช่วยเหลือเท่าที่ช่วยได้”

จากข้อความของคุณ ธนวัฒน์ อาศา ได้บอกว่า ขอกู้ชื่อคนร้อยเอ็ด คนเกินร้อยใจเด็ดแต่ไม่ใจดำมีใครยุแถวบางเสาธงดูข่าวแล้วสงสารปู่กะย่าน้องรุ้งส่งข่าวทีอยากนำน้องกลับบ้านเปล่าผมจะไปส่งฟรีขอดอกไม้ธูปเทียนพอ อยากทำความดีถวายแด่พ่อหลวง หรือให้ปู่ย่าน้องรุ้งโทรหาผมด่วน 081-9498511 ผมเห็นข่าวเขาจะสวด3วันถ้าเจาอยากจะเอาศพน้องเขากลัยต่างจังหวัดผมจะไปส่งศพน้องเขาพร้อมจะเป็นเจ้าภาพสวดที่ต่างจังหวัดให้คืนนึงครับสงสารน้องและปู่กะย่าเขาครับ

ขอบคุณที่มา ธนวัฒน์ อาศา

ที่มาt: http://drama-thailand.com/2017/06/16/160603/#sthash.xa1N37aV.adBD5UUM.dpuf

สุดเจ๋ง! เพาะถั่วงอกในโอ่งขาย สร้างรายได้เป็นอาชีพหลัก เดือนละกว่าครึ่งแสน


เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 59 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านพระ เลขที่ 182 หมู่ 4 ต.มะเริง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งมีครอบครัวหนึ่งทำอาชีพเพาะถั่วงอกแบบโบราณขาย มาเป็นระยะเวลานานเกือบ 40 ปี จนได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หรือ กศน. อ.เมือง จ.นครราชสีมา ให้เป็นศูนย์เรียนรู้อาชีพของชุมชนในปัจจุบัน

นางศรีนวล แก้ววัน อายุ 46 ปี ผู้ทำอาชีพเพาะถั่วงอกแบบโบราณแห่งนี้ เปิดเผยว่า ในอดีตนั้นครอบครัวของตนเคยมีอาชีพทำไร่ ทำนามาก่อน แต่ช่วงหลังๆ มานี้ประสบกับปัญหาภัยธรรมชาติหลายอย่าง ทั้งเรื่องภัยแล้ง น้ำท่วม และราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ดังนั้นครอบครัวของตนจึงได้ตัดสินใจขายที่นาไปเกือบหมด แล้วนำเงินที่ได้มาลงทุนทำอาชีพเพาะถั่วงอกขายอย่างเดียว โดยใช้บริเวณใต้ถุนบ้านของตนเอง เป็นสถานที่เพาะถั่วงอกขาย ซึ่งช่วงแรกๆ ก็ลองผิดลองถูก ใช้หลายวิธีแต่ก็ไม่ได้ผลผลิตดีเท่าที่ควร ต่อมาได้มีคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านแนะนำว่าควรเพาะถั่วงอกในโอ่งดีกว่า ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ แต่ยังไม่มีใครทำเป็นอาชีพจริงจัง ตนจึงได้เริ่มศึกษาวิธีการเพาะถั่วงอกในโอ่งขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อปี 2522 ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มได้ผลผลิตดี สามารถนำไปขายส่งให้กับตลาดสดในตัวเมืองนครราชสีมาได้จำนวนมาก

201609251356232-20041020133743

ซึ่งปัจจุบันครอบครัวของตน เพาะถั่วงอกในโอ่งทั้งหมด 40 ใบ สามารถเก็บถั่วงอกขายได้สัปดาห์ละประมาณ 800 กิโลกรัม โดยจะมีพ่อค้าคนกลางจากตลาดแม่กิมเฮง และตลาดประปา มารับซื้อถึงที่ ซึ่งขายส่งในราคากิโลกรัมละ 18 บาท เฉลี่ยมีรายได้สัปดาห์ละประมาณ 14,000 บาท หรือเดือนละ 57,600 บาท เป็นรายได้หลักเลี้ยงครอบครัวตนจนถึงปัจจุบัน ส่วนพ่อค้าคนกลางจะไปขายในราคากิโลกรัมละ 20-25 บาท
นางศรีนวล ได้บอกถึงขั้นตอนการเพาะถั่วงอกในโอ่งแบบโบราณให้ได้ผลผลิตดีว่า ขั้นตอนแรกนั้น ต้องไปหาเลือกซื้อโอ่งขนาดความสูง 1.5 ฟุต กว้าง 1 ฟุต แล้วนำมาเจาะรู้ขนาดนิ้วก้อย 2 รู้ที่ตูดโอ่ง เพื่อให้น้ำสามารถซึมออกได้ ขั้นตอนที่ 2 ให้ซื้อเมล็ดถั่วเขียว คัดเกรด A ในปัจจุบันราคากิโลกรัม 60 บาท แล้วนำเมล็ดถั่วเขียวนั้นมาแช่ไว้ในกะละมังประมาณ 5 ชั่วโมงก่อน ขั้นตอนที่ 3 นำเมล็ดถั่วเขี่ยวที่แช่น้ำไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว มาใส่ไว้ในโอ่งประมาณโอ่งละ 2 กิโลกรัม

201609251356211-20041020133743

แล้วคลุมด้วยกระสอบทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อให้รากงอกออก ขั้นตอนที่ 4 ให้เอาใบสะแกสด มาคลุมไว้ด้านบนเมล็ดถั่วเขียว แล้วเอาไม้ไผ่ขัดไว้ด้านบน ขั้นตอนที่ 5 หมั่นรดน้ำใส่ในโอ่ง วันละ 4 เวลา ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 วัน ขั้นตอนที่ 6 ดึงไม้ไผ่ที่ขัดไว้ออก แล้วเปิดเอาใบสะแกออกด้วย ซึ่งก็จะได้ถั่วงอกที่มีความขาว อวบ พร้อมที่จะเก็บไปขายได้ทันที ส่วนขั้นตอนการคัดเอาเปลือกถั่วเขียวออกจากถั่วงอกนั้น ก็จะใช้พัดลมขนาดใหญ่ เป่า แล้วนำผ้ามุ้งมาปู และนำถั่วงอกมาใส่กระด้งเพื่อร่อนให้เปลือกถั่วเขียวปลิวออกจากถั่วงอก พอคัดได้ถั่วงอกล้วนแล้ว ก็เก็บใส่ถุงชั่งกิโลพร้อมนำไปขายได้แล้ว

ที่มา https://www.matichon.co.th/news/297729 เรียบเรียงโดยDPSNews

ขนลุก! “ลำไย ไหทองคำ”ถ่ายรูปคู่หุ่นราชินีลูกทุ่งผู้ล่วงลับ”พุ่มพวง ดวงจันทร์”


ถึงกับขนลุก ลำไย ไหทองคำ ถ่ายรูปคู่หุ่นราชินีลูกทุ่งผู้ล่วงลับ พุ่มพวง ดวงจันทร์

ทำเอาหลายคนถึงกับรู้สึกขนลุกซู่กับรูปคู่ที่ สาว ลำไย ไหทองคำ ถ่ายรูปคู่กับหุ่นราชินีลูกทุ่งผู้ล่วงลับ ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่วัดทับกระดาน ที่ อ.สองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ สาวลำไย ไหทองคำ พร้อมกับคณะได้เดินทางไปไหวเพื่อขอพรกับความเชื่อในการเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน

เหมือนกับยังมีชีวิตอยู่ ลำไย ไหทองคำ ถ่ายรูปคู่กับหุ่น พุ่มพวง ที่สาวลำไย เป็นคนเปลี่ยนชุดให้ แต่ภาพที่เธอถ่ายออกมาคู่กับราชินีลูกทุ่งผู้ล่วงลับทำเอาหลายคนขนลุกซู่ รู้สึกได้ว่าหุ่นเหมือนมีชีวิตจิตใจอย่างบอกไม่ถูก มีสีหน้ามีชีวิตเหมือนกับคนเลย บอกเลยเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็ไม่ควรหลบหลู่เพราะชาวบ้านแถวบ้านเวลามีเรื่องทุกข์ร้อนใจก็มาไหว้มาสักการะหุ่น พุ่มพวง ที่วัดทับกระดาน บางคนถึงกับได้โชคลาภจากการมาไหว้ขอพรที่นี่

น้อยคนนักจะไม่รู้จัก ‘ราชินีลูกทุ่ง’ ผึ้ง – พุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่แม้วันนี้จะจากไปถึง 25 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครลืมเลือน เช่นเดียวกับ ‘ศาลพุ่มพวง’ ที่วัดทับกระดาน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ที่มีคนไปบนบานศาลกล่าวขอพรไม่ขาดสาย ซึ่งรายการ ‘ปากโป้ง’ ทางช่อง 8 ก็ได้พาไปเปิดตำนานของศาลนี้  โดยมี บรรเจิด เพชรปานกัน ประชาสัมพันธ์วัดทับกระดาน เป็นผู้บอกเล่าเรื่องราว

โดยเขาว่า ตนผูกพันกับวัดทับกระดานตั้งแต่เด็กๆ เพราะเป็นคนที่นี่ ซึ่งพุ่มพวงก็เกิดที่นี่ ทำบุญวัดนี้ โดยมากับแม่ตั้งแต่เด็กๆ ส่วนที่ว่าทำไมจึงนำศพมาบำเพ็ญกุศลที่นี่และสร้างศาลไว้ก็เพราะเธอได้มาเข้าฝันคุณแม่ให้เอาร่างมาไว้และฌาปนกิจที่นี่ จากนั้นราว 1 เดือนก็ได้มาเข้าฝันเจ้าอาวาส นายสุวัฒน์ เหลืองวิไล ไวยาวัจกรของวัด และตนให้ปั้นหุ่นของเธอจะเป็นปูนปั้นก็ได้ แต่ภายในให้บรรจุด้วยเถ้าถ่านสรีระที่เหลือจากพี่ๆ น้องๆ แบ่งกันเก็บไปแล้วให้ไว้ในหุ่นทั้งหมด

“นำใส่ในหุ่นตนที่ 1 ครับ อยู่ที่ท่าน้ำ เป็นตนแบบ อันนี้ทางวัดทับกระดานเป็นคนปั้นให้ ในหุ่นมีจะกระดูกเผ่าถ่านทั้งหมดที่เหลือจากพี่น้องแบ่งไปแล้วจะใส่ไว้ในนี้ ชื่อ หุ่นอภินิหาร ตั้งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ เป็นสถานที่ที่แรกที่คุณพุ่มพวงได้ร้องเพลงกับคุณพ่อไวพจน์ เพชรสุพรรณ แต่เดิมเป็นศาลไม้ก็ได้บูรณะขึ้นมาใหม่ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าคุณพุ่มพวงยังอยู่ที่นี้ ณ จุดนี้ อยากพบพุ่มพวงต้องไปที่ศาลาท่าน้ำครับ หุ่นตนที่ 1 ขอได้ทุกอย่าง ดั่งใจปรารถนา ยกเว้นเรื่องหวย ถ้าแก้บนก็เป็นสิ่งที่บอกไว้ได้ทุกอย่าง คุณพุ่มพวงชอบของที่สวยงาม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง แต่ที่เห็นเยอะก็จะเป็นกระจกแต่งหน้า กระจกจะส่อง 2 อย่าง คือ ความดีและความชั่ว” บรรเจิดกล่าว

และบอกถึงหุ่นตนที่ 2 ที่ใส่ชุดสีเขียวว่า เป็นหุ่นที่ยุ้ย ญาติเยอะ เป็นคนสร้างเพื่อบูชาครู สำหรับดารา นักร้อง นักแสดง ผู้สื่อข่าวที่ต้องการความก้าวหน้าสามารถมาขอพรได้ที่ศาลาสุธรรมรัตน์ราษฏร์บำรุง ส่วนหุ่นที่ 3 หุ่นที่ร้องเพลง ‘ส้มตำ’ อยู่ที่ศาลาจตุรมุขทรงไทย บริษัทท็อปไลน์ เป็นคนสร้าง  สำหรับขอในเรื่องที่ทุกข์ยากที่สุด เช่น  ครอบครัวแตกร้าว และแก้บนด้วยเงินสด เพชร พลอย โดยที่ผ่านมามีนักร้องคนหนึ่งมาบนแล้วบอกว่าจะนำทอง 10 บาทมาแก้บน แต่กลับใช้ทองปลอม เมื่อขับรถออกจากวัดได้แค่ 1.5 กม. ก็รถคว่ำจนต้องมาบวชที่วัดและนำทองคำจริงมาให้

ส่วนหุ่นตนที่ 4 เป็นชุดเล่นพญาเสือดาวที่ใช้เล่นคอนเสิร์ต  คนที่มีหนี้มักจะมาขอให้หมดหนี้  สุดท้ายหุ่นตนที่ 5  พุ่มพวงมาเข้าฝันท่านเจ้าอาวาสว่าขอบูชาหลวงปู่ปากร่วง และปู่บุญดอกไม้หอม ผู้ให้ที่ดินกว่า 80 ไร่เพื่อสร้างวัดทับกระดาน พร้อมกันนั้นให้ปั้นหุ่นพุ่มพวงมาขอพร ซึ่งหุ่นนี้คนที่ไปไหว้ให้ขอเรื่องที่ตั้งหวังไว้มากที่สุด แล้วแก้บนด้วยพวงมาลัยสีแดง และกุหลาบแดงเท่านั้น

โดยบรรเจิดกล่าวถึงคำที่คนส่วนใหญ่ว่าพุ่มพวงเป็นที่พึ่งของชาวบ้านนั้น “เป็นความจริงครับ ศรัทธาเท่านั้นปฎิหาริย์ถึงจะเกิด ศรัทธาในตัวคุณพุ่มพวงขอได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความเดือดร้อน ยกเว้นอย่างเดียวคือหวย คุณพุ่มพวงไม่ให้” นอกจากนี้เขายังว่าระหว่างพูดคุยอยู่ พุ่มพวงก็ได้มาอยู่ที่นี่ด้วย เนื่องจากได้กลิ่นน้ำหอม โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล แต่ตนเชื่อมาก เพราะเคยเจอกับตัวช่วงอยากสร้างศาลาไม้เป็นศาลาปูน ซึ่งพุ่มพวงมาเข้าฝันว่าให้ ตนนำเต๊นท์มาตั้งและนำรูปเธอวางไว้ในเต๊นท์ จากนั้นให้จับไมค์พูดให้คนมาทำบุญ และไม่น่าเชื่อว่าคืนหนึ่งจะได้เงินทำบุญถึง 3-4 แสนบาทจนสามารถสร้างเป็นศาลาอย่างที่เห็นได้ทุกวันนี้

“เคยมีคนเจอเหตุการณ์แปลกๆ ครับ ที่ศาลาท่าน้ำจะมีตู้บริจาค มีคนหนึ่งขโมย แต่ไปไม่ได้ เพราะว่าคุณพุ่มพวง ไปจับเอาไว้ ไปไหนไม่ได้เลยจนถึงรุ่งเช้า นั่งอยู่ในท่าพับเพียบยกมือไหว้ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ของในวัดทับกระดานไม่มีหายอีกเลย” บรรเจิดบอก และว่าทิ้งท้ายถึงการสร้างหุ่นพุ่มพวงนั้น “ต้องขอจากแม่เล็ก คุณแม่ของคุณพุ่มพวง ต้องบอกก่อนถึงจะปั้นได้ ถ้าปั้นโดยไม่ได้บอกคนในครอบครัวจะอันเป็นไป มีอยู่คนหนึ่งปั้นหุ่นคุณพุ่มพวงโดยไม่ได้บอกกับแม่เล็ก ปรากฏว่าวันที่เอาหุ่นมาวัด แม่เขาเสียชีวิต”