Here Are All of the Features Facebook Introduced for LGBTQ Pride Month

More than 12 million users are part of one of the 76,000 LGBTQ Facebook groups

Facebook rolled out several features allowing its users to celebrate LGBTQ Pride Month in June, including features for Instagram and Messenger.

Vice president and executive sponsor of pride@facebook Alex Schultz listed all of the social network’s Pride Month features in a Newsroom post, writing:

As Pride celebrations begin around the world, Facebook is proud to support our diverse community, including those that have identified themselves on Facebook as gay, lesbian, bisexual, transgender or gender nonconforming. In fact, this year, over 12 million people across the globe are part of one of the 76,000 Facebook groups in support of the LGBTQ community, and more than 1.5 million people plan to participate in one of the more than 7,500 Pride events on Facebook.

Here are the details on Pride Month features on Facebook, Instagram and Messenger:

Pride-themed profile picture frames (pictured above) on Facebook, with users potentially seeing messages atop their News Feeds prompting them to create those frames. In addition, users who react to those messages may see special animations, also at the top of their News Feeds.

A limited-edition Pride rainbow Reaction.

Pride-themed masks and frames in Facebook Camera, which can be accessed by swiping to the left of News Feed and clicking on the magic wand.

As announced last week, Instagram introduced special Pride month stickers for Instagram Stories and a rainbow brush editing tool.

Messenger Camera will offer Pride-themed stickers, frames and effects.

Schultz concluded:

Last year, for the first time ever, we began publicly sharing self-reported data around our LGBTQ community at Facebook. In a recent, voluntary survey of our employees in the U.S. about sexual orientation and gender identity, to which 67 percent responded, 7 percent self-identified as being lesbian, gay, bisexual, queer, transgender or asexual. We are proud to support the LGBTQ community, and while more work still remains, we are eager to be active partners going forward.

cr. http://www.adweek.com/digital/facebook-lgbtq-pride-month-2017-features/

During any normal month, there are five reactions on Facebook: Like, Heart, Haha, Wow, Sad, and Angry. But in honor of Pride month, Facebook’s rolling out a new one: a rainbow.

During any normal month, there are five reactions on Facebook: Like, Heart, Haha, Wow, Sad, and Angry. But in honor of Pride month, Facebook’s rolling out a new one: a rainbow.

The social media network announced in a post on Friday, “We believe in building a platform that supports all communities. So we’re celebrating love and diversity this Pride by giving you a special reaction.”

June is traditionally when LGBTQ people across the world celebrate Pride. The rainbow flag takes on a poignant tone this year, though: Gilbert Baker, the activist who created the rainbow flag in 1978 at Harvey Milk’s request, died in March 2017. He described himself as “the gay Betsy Ross,” according to his New York Times obituary.

People were excited and planned to make the most of the time they had with the emoji.

According to Facebook, it’s available for all of Pride Month.

But not everyone on Facebook has been able to immediately access the rainbow reaction.

And people, especially LGBTQ people, were a bit confused.

Don’t stress. Here’s how to get start reacting with rainbows on Facebook asap:

  1. Log into Facebook.
  2. Like the LGBTQ@Facebook page.
  3. Voila! You’re now able to react to whatever you want with a rainbow!

วิธีทำไลค์สายรุ้ง ง่ายนิดเดียว! ทำตามนี้ได้เเน่นอน LGBTQ@Facebook


หลังจากทางFacebook มีการเพิ่มรีเเอ็กชั่นปุ่มถูกใจใหม่ โดยเป็นรูปสายรุ้ง เเต่หลายๆคนยังไม่สามารถทำได้นั้น วันนี้ทาง DPSNews จะมาสอนวิธีการทำง่ายนิดเดียวๆ

ขั้นเเรกเลยง่ายนิดเดียว เเค่กดถุกใจเเฟนนี้ เเค่นี้ก็จะได้ไลค์สายรุ้งกันมาใช้เเล้ว

ใครยังไม่ขึ้น ลองเข้าเฟสออกใหม่นะครับ ทำง่ายไหมละ เเค่นี้ก็ได้เเล้ว ลองทำดูนะครับ เเชร์กันต่อๆไป


ขอบคุณรูปจาก Thitirath Kinaret

สุดยอด! วิธีบังคับมะม่วงให้ออกลูกตามต้นจุดที่เราต้องการ ได้ผลแน่นอน! (แชร์เก็บไว้เลย)


“มะม่วง” ผลไม้ที่หากินได้ง่ายมากๆ ในบ้านเรา มีหลายสายพันธุ์ หลายรสชาติทั้งเปรี้ยว หวาน มัน ทานได้ทั้งแบบสุกและดิบ เป็นผลไม้สุดโปรดของใครหลายคน

 

เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย จนมีการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อขายได้ราคาสูงขึ้น และมีการส่งออกขายยังต่างประเทศอีกด้วย และในเรื่องของประโยชน์นั้นก็เรียกได้ว่า ไม่น้อยไปกว่าผลไม้นอก ราคาแพงๆ อื่นๆ เลยค่ะ

และวันนี้ขอนำเสนอวิธีการบังคับมะม่วงให้ออกตามจุดต่างๆของลำต้นได้นั้น มีวิธีการทำอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย

 

วิธีทำมะม่วงให้ออกตามจุดที่เราต้องการ การปฏิบัติ

1.เมื่อใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่เริ่ม “แผ่กาง” ให้เด็ดทิ้ง (เด็ดด้วยมือ) ทั้งหมด

2.เด็ดใบอ่อนทิ้งแล้ว เริ่มบำรุงทางใบด้วยสูตรสะสมตาดอก 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน…..ช่วงนี้งดการให้น้ำทางรากเด็ดขาด 3.สะสมตาดอกครบกำหนดแล้ว ให้เปิดตาดอกด้วย “ฮอร์โมนไข่ + 13-0-46 + ไธโอยูเรีย” (ฮอร์โมนไข่สูตรสเปน) 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ผลรับ เมื่อไม่มี “ตุ่มตา” ที่ซอกใบปลายยอด เนื่องจากถูกเด็ดใบทิ้งแล้ว และพัฒนาขึ้นมาใหม่ไม่ทัน ต้นจะพัฒนาตาที่อยู่ใต้เปลือกบริเวณโคนกิ่ง (กิ่งแก่) หรือใต้เปลือกบริเวณลำต้นขึ้นมาแล้วกลายเป็นตุ่มตาที่มีดอกออกมาได้แทน

หลักการและเหตุผล

1.มะม่วงเป็นไม้ผลประเภทออกดอกติดผลที่โคนใบปลายกิ่ง ผลจากการบำรุงด้วยสูตรสะสมอาหารเพื่อการออกดอก (สะสมแป้งและน้ำตาล) แล้วปรับ C/N เรโช ไม่ประสบความสำเร็จ กล่าวคือ ถ้าปรับ C/N เรโชแล้ว N ยังมากกว่า C (อาจเป็นเพราะ N จากน้ำฝน) เมื่อเปิดตาดอก มะม่วงต้นนั้นจะออกเป็นใบอ่อนแทนออกเป็นดอก

2.ผลจากการให้อาหารกลุ่มสร้าง C ที่เคยให้ไว้เมื่อครั้งบำรุงด้วยสูตรสะสมตาดอกนั้น แม้มะม่วงต้นนั้นจะแตกใบอ่อนออกมา แต่สารอาหารกลุ่มนั้นบางส่วนยังคงเหลืออยู่ภายในต้น ซึ่งสารอาหารกลุ่มนี้ยังพร้อมที่จะส่งเสริมให้มะม่วงออกดอกชุดใหม่ได้

ประสบการณ์ตรง :
สวนมะม่วงที่ประสบความสำเร็จจากการปฏิบัติบำรุงตามแนวนี้ ได้แก่ สวนมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา สวนมะม่วงน้ำดอกไม้-เขียวเสวย-ฟ้าลั่น ที่ อ.ไชโย จ.อ่างทอง ส่วนมะม่วงขาวนิยม ที่บางบอน กทม. และ สวนมะม่วงขาวนิยม ที่ อ.บางแพ จ.ราชบุรีออกดอกติดผลที่โคนกิ่ง ทั้งกิ่งอ่อน กิ่งแก่ กิ่งกลางอ่อนกลางแก่ และกลางลำต้นได้ดอกที่ออกมานี้เมื่อบำรุงตามขั้นตอนปกติ ก็สามารถพัฒนาเป็นผลระดับเกรด เอ. ได้เช่นกัน

ข้อมูลจาก http://www.siamvariety.com/view-14993.html


เกษตรทางเลือกใหม่ เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ได้กำไรหลักหมื่น


พื้นที่เกือบ 3 ไร่ของ นางธนภรณ์ อุ่นชู อายุ 59 ปี เกษตรผู้เลี้ยงไก่ หมู่ 8 ต.ดอนแร่ อ.เมือง จ.ราชบุรี ที่ได้จัดแบ่งปลูกไผ่ลวกหวาน อีกส่วนหนึ่งทำเป็นคอกเลี้ยงไก่ไข่ประมาณ 140 ตัว และปล่อยเลี้ยงให้คุ้ยเขี่ยหากินเองในป่าไผ่ตามธรรมชาติ จนได้ไข่ไก่อินทรีย์ที่มีคุณภาพ

นางธนภรณ์บอกว่า เริ่มเลี้ยงไก่ได้ประมาณ 3 ปี เป็นรุ่นที่ 2 ประมาณ 140 ตัว ให้กินอาหารผสมหยวกกล้วยคลุกเคล้าปนกับรำข้าวและอาหารไก่วันละ 2 เวลา กลางวันก็จะปล่อยเลี้ยงตามธรรมชาติในป่า ไผ่ลวกหวานที่ปลูกไว้ขายหน่อ ให้ไก่ได้กินปลวก แมลง เป็นอาหาร นอกจากจะเก็บไข่ไก่ขายได้แล้ว ยังจะเก็บหน่อไม้ที่ปลูกไว้ขายได้อีก

 

โดยผลผลิตหน่อไม้มีขนาดโตสมบูรณ์เพราะได้ปุ๋ยบำรุงดินดีจากมูลไก่ที่ถ่ายไว้ตามโคนกอไผ่ ได้ประโยชน์โดยไม่ต้องไปซื้อปุ๋ยบำรุงดิน ทำให้ลดต้นทุนได้อีก เพียงรดน้ำให้เกิดความชุ่มชื่น ทั้งไก่และหน่อไม้อยู่แบบสมดุลกัน ไข่ไก่ที่ได้จะแบ่งขายไว้หน้าบ้านที่เปิดเป็นร้านค้า อีกส่วนจะส่งขายให้ประธานกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ต.ดอนแร่

ความแตกต่างของไข่อินทรีย์ที่ได้จะมีความโดดเด่นต่างจากไข่ไก่ตามท้องตลาดทั่วไป เนื่องจากไข่ไก่อินทรีย์จะมีความสดใหม่ เวลาตอกไข่จะมีมอนไข่จับเป็นก้อนสีเข้มแดงกว่าและไม่มีน้ำเหลว บริเวณเปลือกจะหนากว่าไข่ไก่ทั่วไป เนื่องจากปล่อยเลี้ยงให้คุ้ยหากินปลวกและแมลงในดงกอไผ่ตามธรรมชาติ

“การเลี้ยงช่วงนี้เป็นรุ่นที่ 2 เป็นไก่สาว ช่วงแรกๆ ยังออกไข่ไม่ครบทุกตัว ได้ประมาณวันละ 100-120 ฟอง 1 เดือน ได้ไข่ไก่ประมาณ 3,600 ฟอง สร้างรายได้ให้ประมาณ 14,400 บาท หักต้นทุนค่าอาหารประมาณ 4,000 บาทต่อเดือน ทำให้ยังมีเงินเหลือประมาณ 10,000 บาท” นางธนภรณ์กล่าว

นายสุพจน์ สิงโตศรี อายุ 51 ปี ประธานกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ต.ดอนแร่ กล่าวว่า ในกลุ่มขณะนี้มีสมาชิกที่เลี้ยงไก่ไข่อยู่ประมาณ 4 ครัวเรือน แต่ละบ้านจะมีการเลี้ยงประมาณ 100-300 ตัว ส่วนตัวเลี้ยงประมาณ 20 ตัว เพราะว่าส่วนหนึ่งจะมีการจัดการเรื่องตลาดกับสมาชิกในการขายไข่ไก่ นอกจากนี้ยังมีอายุการเลี้ยงค่อนข้างนานกว่าไก่ในฟาร์ม อยู่ได้ประมาณ 3-4 ปี เลี้ยงแบบให้อยู่กับธรรมชาติบริเวณกอไผ่ ไก่ก็จะหาอาหารกินเสริม โดยไก่จะได้กินปลวก มด แมลงที่อาศัยในกอไผ่

ถ้าเกษตรกรมีพื้นที่ มีต้นไม้ ต้นกอไผ่ที่ร่มเย็น เป็นต้นตะขบหรือผลไม้ต่างๆ หรือมีแมลงวันทองเจาะกินร่วงหล่น สามารถนำไก่ไข่มาปล่อยในอัตราส่วน 20 ตัวต่อ 100 ตารางเมตร เพื่อให้ไก่ได้คุ้ยหาอาหาร ซึ่งไก่ไข่จะมีนิสัยค่อนข้างอิสระ ต้องมีพื้นที่ที่เพียงพอในการออกกำลังกาย ดังนั้นกลุ่มเกษตรกรหรือชาวบ้านสามารถจะเลี้ยงเป็นอาชีพเสริมหรืองานอดิเรกได้

ถ้าเป็นไก่ปล่อยที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะให้ผลผลิตไข่อยู่ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ดีและยังมีอายุไก่ไข่ที่ยาวนานกว่าไก่ธรรมดาประมาณ 3 เท่าตัว

บางคนเลี้ยงอยู่ประมาณ 3-4 ปี จึงจะปลดไก่ออกแล้วไปจับรุ่นใหม่มาเลี้ยงแทน ทิศทางตลาดไปได้ดี มีออเดอร์สั่งไข่อินทรีย์เข้ามามากจนไม่พอขาย จึงมีแนวคิดที่จะขยายการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์เพิ่มอีกในอนาคตเพื่อเพิ่มยอดการผลิตให้ทันลูกค้า

สำหรับรสชาติความแตกต่างระหว่างไข่อินทรีย์กับไข่ในท้องตลาดทั่วไป ความสม่ำเสมอของฟองจะไม่ค่อยเท่ากันคือ ความเข้มข้นของไข่ขาวและไข่แดงจะมีมอนค่อนข้างนูนมากกว่าไข่ไก่ธรรมดา เวลาผู้บริโภคนำไปทอดรับประทานจะไม่มีกลิ่นคาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เวลาจะเลือกซื้อไข่ให้ดูที่เปลือก จะค่อนข้างหนามากกว่าไข่ไก่ธรรมดา

โดยมากผู้นิยมรับประทานจะมีหลายกลุ่ม เช่น คนที่รักสุขภาพ ผู้สูงอายุ และยังมีเด็กๆ ที่ผู้ปกครองนำไปให้รับประทาน

รายงาน โดย ทีมข่าวภูมิภาค

ขอบคุณข้อมูลจาก http://money.sanook.com/321453/ เรียบเรียงโดย DPSNews


“ประชาชน จ.กาฬสินธุ์ ขอนายกรัฐมนตรี แก้ไขเส้นทางรถไฟรางคู่ผ่านจังหวัด”


กราบเรียน ฯพณฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เรื่อง ชาวกาฬสินธุ์ทั้งจังหวัด ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง กรณีแผนโครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่สาย อ.บ้านไผ่-จ.นครพนม เนื่องด้วยรัฐบาลก่อนหน้านี้ ได้อนุมัติแผนก่อสร้าง “โครงการรถไฟรางคู่สายอีสานใหม่ เส้นทางระหว่าง อ.บ้านไผ่-จ.นครพนม” และด้วยการออกแบบวางแนวเส้นทาง การศึกษาโครงการ ที่ไม่สอดคล้องกับการบูรณาการพัฒนาร่วมกันของกลุ่มจังหวัด “ร้อยแก่นสารสินธุ์” จึงทำให้จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีศักยภาพมากๆในมิติด้านการเกษตร การท่องเที่ยวและการบริการ ถูกตัดออกไปจากแนวเส้นทางโครงการดังกล่าว อย่างไม่เป็นธรรมยิ่ง

ทำให้จังหวัดกาฬสินธุ์ “ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” จากกรณี “โครงการก่อสร้างแนวเส้นทางรถไฟรางคู่ สายอีสานใหม่ อ.บ้านไผ่-จ.นครพนม ระยะทาง 347 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณ 42,000 ล้านบาท” ดังกล่าว ประชาชนชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 985,232 คน ถูกรัฐบาลก่อนหน้านี้ “ปล่อยทิ้งไว้ข้างหลัง” จากกรณีโครงการดังกล่าว และในปัจจุบันนี้ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ท่านปรารภเสมอว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (รัฐบาลนี้จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง) จะพัฒนาไปพร้อมๆกันในทุกๆมิติ ทุกๆพื้นที่ทั่วทั้งประเทศไทย ดังนั้น ในโอกาสนี้ ประชาชนชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ 985,232 คน จึงขอกราบเรียน เพื่อสื่อสารถึง ฯพณฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ใคร่ขอให้ท่านได้โปรดเมตตา พิจารณา ออกคำสั่งให้ กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ทบทวน แก้ไขแนวเส้นทางโครงการดังกล่าวใหม่ โดยขอให้แนวเส้นทางโครงการ ตัดผ่านเข้ามาในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามแนวเส้นประสีดำ ที่ร่างไว้ในแผนที่ดังกล่าว และขอให้มีสถานีขนาดใหญ่ ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ อย่างน้อยหนึ่งสถานี คือ “สถานีกมลาไสย” ด้วยครับ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเป็นการบูรณาการพัฒนาร่วมกัน ในทุกๆมิติ ของกลุ่มจังหวัด “ร้อยแก่นสารสินธุ์” (ร้อยเอ็ด ขอนแก่น มหาสารคามและกาฬสินธุ์) ครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ขอขอบคุณครับ นายอนุชา สิงหะดี ประธานเครือข่ายคนรุ่นใหม่พัฒนากาฬสินธุ์(คมพ.กส.) และคณะ อดีตอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊ค อนุชา สิงหะดี

เหตุผลที่ว่าทำไม? คนรวยจะยิ่งรวยขึ้น คนจนจะยิ่งจนขึ้น

หลังจากที่ได้เปลี่ยนจากมนุษย์เงินเดือนมาเปิดโลกธุรกิจมาได้สักพัก จากประสบการณ์และการเรียนรู้และการศึกษาข้อมูลต่างๆทำให้ผมเชื่อว่าต่อไปคนรวยจะรวยยิ่งขึ้น คนจนจะจนยิ่งขึ้น ทำไมหนะเหรอ? เหตุผลตามข้างล่างเลยครับ

1. คนรวยมี Bargain power ที่สูง คนที่ยังไม่เคยมาอยู่ในโลกของธุรกิจอาจจะไม่รู้ว่า ธุรกิจใหญ่ๆมีอำนาจในการต่อรองในการซื้อ Supply ที่มากกว่าธุรกิจโนเนม จากเพราะทั้งชื่อเสียงและทั้งปริมาณในการสั่งซื้อ ทำให้ธุรกิจใหญ่ๆนั้นมีต้นทุนที่ถูกกว่าธุรกิจเล็กๆ

รวมถึงการเช่าที่ในการเปิดร้านต่างๆด้วย ธุรกิจที่มีชื่อเสียง จะสามารถเช่าที่ขนาดเท่ากันได้ถูกกว่าธุรกิจเจ้าเล็กๆที่ไม่มีชื่อ

คนรวยมีต้นทุนที่ถูกกว่า ส่วนคนที่จนกว่านั้นมีต้นทุนที่แพงกว่า เห็นส่วนต่างมั้ยครับ แทนที่คนที่มีเงินน้อยนั้นควรจะได้ supply หรือค่าเช่าที่ถูกกว่า แต่เปล่าเลย มันตรงกันข้าม โลกของธุรกิจมันโหดร้าย

หรือแม้กระทั่งแค่ในโลกของคนทั่วๆไปที่ไม่ใช่คนทำธุรกิจ ลองไปดูเรื่องง่ายๆอย่างการกู้ซื้อบ้านก็ได้ครับ คนรวยที่ซื้อบ้านแพงกว่าจะได้ดอกเบี้ยตลอดสัญญาที่ถูกกว่าคนจนที่มีเงินซื้อบ้านได้ถูกกว่า (เงื่อนไขของธนาคารกำหนดว่าถ้ากู้ซื้อเกิน x ล้านจะได้ดอกเบี้ยพิเศษ แต่ถ้าไม่เกินจะได้ดอกเบี้ยที่แพงกว่า)

2. เงินเหลือเก็บของคนรวยนั้นมากกว่า
ในขณะที่หลายๆคนใช้เงินเดือนชนเดือน ไม่มีเงินเก็บไปลงทุนหรือทำอะไรต่อ เดือนนึงได้มา 100% อาจจะใช้ไป 90% เหลือแค่ 10% แต่คนรวยนั้นมีเงินเหลือเก็บมหาศาลจากรายได้ที่มาก อาจจะได้มา 100% แต่เนื่องจากปริมาณที่ได้มามาก ทำให้ค่าใช้จ่ายรายเดือนนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย รายจ่ายใช้ชีวิตอาจจะเป็นแค่ 5% ของเงินที่ได้มาเท่านั้น ซึ่งจะมีเงินเหลือถึง 90-95% สำหรับเก็บออมและลงทุนใหม่เลยทีเดียว

ซึ่งตามหลักการลงทุน ยิ่งเงินลงทุนมาก ผลกำไรยิ่งมากตาม

คุณลงทุน 1000 บาท กำไร 10% คุณก็ได้กลับมา 100 บาท แต่ถ้าคุณมีเงินเหลือสำหรับลงทุน 1,000,000 บาท คุณก็จะได้กลับมา 100,000 บาท

3. ปริมาณเงินและทรัพยากรในระบบที่มีอยู่อย่างจำกัด
เงินนั้นเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การใช้จ่ายหมุนเงินในระบบทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ เคยได้ยินปัญหามั้ยครับว่าเศรษฐกิจไม่ดีเพราะคนไม่ใช้เงินกัน รัฐบาลถึงพยายามกระตุ้นโดยการอัดฉีดเงินเข้าระบบให้เกิดการใช้จ่ายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้คนได้ใช้เงินกัน ทั้งในส่วนของการลงทุนโครงสร้างต่างๆที่เม็ดเงินจะไหลเข้าระบบให้ขับเคลื่อนแล้วรัฐบาลค่อยเก็บเงินภาษีจากเงินที่หมุนในระบบนั้นกลับคืนมา

แต่ลองนึกถึงสภาพของเศรษฐกิจเล็กๆในหมู่บ้านที่มีคน 10 คน มีเศรษฐี 1 คน ลองคิดสภาพเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดในระบบดูสิ ถ้าเงินในหมู่บ้านนั้นมีอยู่ทั้งหมด 1000 บาท เฉลี่ยแต่ละคนก็จะมีเงินประมาณ 100 บาท

แต่ลองมองย้อนกลับไปข้อ 1 และ ข้อ 2 ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนรวยนั้นจะเก็บเงินได้มากยิ่งขึ้นจากการทำธุรกิจ จะมีกำไรจากเงินที่หมุนในระบบมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

ลองคิดสภาพในหมู่บ้านเล็กๆ ถ้าเวลาผ่านไปคนรวยเก็บเงินจาก 100 ได้เป็น 500 แล้วเงินเหลือในระบบแค่ 500 สำหรับคน 9 คน 9 คนนั้นจะเหลือเงินเฉลี่ยกันคนละแค่ 50-60 กว่าบาทเท่านั้น แล้วยิ่งถ้าผ่านไปเรื่อยๆอีกละ? คนรวยก็จะยิ่งมีเงินเยอะ คนจนก็จะยิ่งมีเงินน้อยลง

นึกถึงภาพของลูกปืนที่หมุนไปเรื่อยๆ ที่ต้องการน้ำมันหล่อหลื่นให้หมุนไปได้ เศรษฐกิจก็เปรียบเสมือนลูกปืน เงินก็เปรียบเสมือนน้ำมันหล่อหลื่น ส่วนการเก็บเงินจากการทำกำไรของคนรวยก็เหมือนจุดรั่วของน้ำมันหล่อลื่นในลูกปืน ยิ่งหมุนไปแต่ละรอบเงินก็หายไปจากระบบไปอยู่ในกระเป๋าตังคนรวย สุดท้ายน้ำมันหล่อลื่นขาด ลูกปืนก็ฝืด หมุนไม่ได้ ก็เปรียบเสมือนเศรษฐกิจที่หยุดชะงักและฝืดเคืองเพราะเงินในระบบก็ไปอยู่กับคนรวยมากเกินไปและไม่หมุนกลับเข้ามาเป็นสารหล่อลื่นเหมือนดิม

แล้วกลับมาดูการอัดฉีดเงินเข้าระบบของรัฐบาล ทั้งการลงทุนในโครงสร้างที่รายใหญ่ๆเข้ามาทำ คิดว่างบประมาณลงทุนสักโครงการที่พันล้าน เจ้าใหญ่รับไป กำไรจะกี่ร้อยล้าน ส่วนแบ่งของธุรกิจb2bที่ต่อจากเจ้าใหญ่ที่รับไปอีกเท่าไหร่ สุดท้ายเงินพันล้านจะไปอยู่ในมือคนรวยกี่ร้อยล้าน แล้วจะเหลือกลับไปหาคนชั้นล่างกี่ล้าน?

แล้วสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำคือภาษีที่เพิ่มมากขึ้น ที่จะยิ่งไปเบียดเบียนคนชั้นล่างมากยิ่งขึ้น แปลกไหมว่าคนมีเงินเยอะมีผลกระทบกับเงินของเค้าไม่กี่ % แต่กลับกันคนชั้นล่างผลกระทบอาจจะเป็น 10-20% คนมีเงินน้อยยิ่งโดนดูดตังกลับ ส่วนคนเงินเยอะขนหน้าแข้งก็ไม่ร่วงอะไร ทั้งๆที่ควรจะรีดเงินจากคนรวยกลับมาให้เงินมาหมุนในระบบมากขึ้น ตามกฏ 80-20 ที่อาจจะอุปมาอุปมัยได้ว่าคน 20% นั้นครองเงินในประเทศอยู่ 80%

4. คนรวยทำธุรกิจกับคนรวยด้วยกันเอง
เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน? ก็ในเมื่อคนรวยเลือกที่จะทำธุรกิจส่วนใหญ่กับคนรวยด้วยกันเอง ทั้งในเรื่อง Supply และส่วนของธุรกิจแบบ B2B แล้วคนทำธุรกิจทั่วๆไปละ? แทบจะไม่มีสิทธิ์เลย ยกเว้นคุณจะมี Connection ที่จะช่วยดึงคุณขึ้นไปทำธุรกิจเพื่อเอาส่วนแบ่งจากเค้าได้

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเราต้องทำยังไง? คำตอบคือต้องรีบทำตัวเองให้รวย พอรวยแล้วไม่ประมาท ใช้เงินถูกวิธี จัดการความเสี่ยงในทุกๆด้านให้เหมาะสม จ้างคนมาทำให้ก็ได้ ถึงตอนนั้นใครสามารถขยับจากชนชั้นล่างหรือชนชั้นกลางขึ้นมาเป็นชนชั้นบนได้ ถึงตอนนั้นมันก็เหมือนว่าวที่ติดลมบนไม่หล่นลงมาง่ายๆ เค้าถึงมีคำพูดที่ว่าหาล้านแรกจากการลงทุนในหุ้นได้ ล้านต่อไปก็ไม่ยาก ก็ล้านต่อไปมันก็แค่ 2 เท่าของเงินเอง แต่ล้านแรกถ้ามาจากเงินแสนนี่มันตั้ง 10 เท่าที่ต้องทำให้ได้

อนาคตคนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน จะถีบตัวเองขึ้นมาก็มีแต่จะยากขึ้นเรื่อยๆ

Edit : หลายๆคนอาจจะบอกว่าทำไมคนนู้นเป็นอย่างนู้น คนนี้เป็นอย่างนี้ ต้องขอเสริมเพิ่มเติมสักนิดครับ ว่าด้านบนที่เขียนไปนั้น มันคือปัจจัยภายนอกจากสภาพของระบบสังคม เศรษฐกิจ ค่านิยม ที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำได้แค่รับรู้และปรับสภาพตาม

ซึ่งการที่ว่าคนนั้นขยันแบบนั้น คนนั้นคิดแบบนี้หรือทำแบบนี้ นั้นเป็นเรื่องปัจจัยภายในของแต่ละบุคคล ที่ไว้เดี๋ยวมีโอกาสจะได้มาเขียนเพื่อเสนอแนะและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันในคราวหน้าครับ

ที่มาจาก :พันทิป เรียบเรียงโดย DPSNews

วิธีเลี้ยงปลาหมอ เลี้ยงง่าย มีตลาดรองรับ


ถ้าพูดถึงปลาที่หาง่าย รสชาติอร่อย หนึ่งในนั้นก็ต้องมีปลาหมอ (ภาษาอีสานเรียกว่า ปลาเข็ง)  การเลี้ยงปลาหมอเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากปลาหมอในธรรมชาติที่ลดน้อยลง ซึ่งสวนทางกับความต้องการที่สูงขึ้น รสชาติที่มีความหอม เนื้อรสหวานและกลมกล่อม จึงทำให้เริ่มมีการเลี้ยงปลาหมอเชิงพานิชย์เกิดขึ้น  การเลี้ยงปลาหมอสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการเลี้ยงปลาหมอในบ่อซีเมนต์ การเลี้ยงปลาหมอในบ่อดิน หรือการเลี้ยงปลาหมอในกระชัง โดยเกษตรอีสานวันนี้จะนำหลักการเลี้ยงปลาหมอทั่วไปให้พี่น้องบ้านเฮาได้นำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง เพราะปลาหมอเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย กินง่าย ทนต่อสภาพแวดล้อม

 

ปลาหมอ (คนอีสานเรียกปลาเข็ง)

 

ปลาหมอ

ปลาหมอเป็นปลาเนื้อนุ่ม รสชาติอร่อย ลักษณะลำตัวป้อมค่อนข้างแบน สีน้ำตาลปนเหลืองดำ ถือว่าเป็นปลาน้ำจืดที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไม่น้อย เพราะเป็นที่ต้องการในตลาดเพื่อการบริโภคอย่างแพร่หลาย สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งแกง ต้ม ทอด ย่าง  ปัจจุบันการเพาะเลี้ยงปลาหมอในไทย มีการพัฒนาสายพันธุ์ปลาหมอเพิ่มขึ้นมาหลายสายพันธุ์ เช่น ปลาหมอชุมพร ปลาหมอนา ปลาหมอสี  แม้ว่าจะยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก แต่กลับมีความต้องการส่งออกไปต่างประเทศค่อนข้างสูง ทั้งที่ในประเทศก็มีความต้องการมากเช่นกัน ดังนั้น  หากมีการส่งเสริมและพัฒนาความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาหมอให้กับเกษตรกรได้  ก็จะมีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและยังทำให้กลุ่มเกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นด้วยเมนูปลาหมอทอด

เมนูปลาหมอทอด

การเลือกสถานที่เลี้ยงปลาหมอ

  • ควรเป็นดินเหนียวหรือดินเหนียวปนทราย เพื่อให้สามารถกักเก็บน้ำได้
  • อยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อให้แน่ใจว่ามีน้ำเพียงพอตลอดทั้งปี

การเตรียมบ่อเลี้ยงปลาหมอ

เริ่มจากการเตรียมบ่อสำหรับการเลี้ยงปลาหมอ เป็นบ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 3 บ่อ ดังต่อไปนี้

  • บ่อสำหรับอนุบาลลูกปลาหมอนา ขนาด 6×7 เมตร
  • บ่อผสมพันธุ์ปลาหมอนา ขนาด 6×7 เมตร
  • บ่อสำหรับเลี้ยงปลาหมอนา ขนาด 6×7 เมตร

การเลี้ยงปลาหมอในบ่อดิน

การเลี้ยงปลาหมอในบ่อพลาสติก

การเลี้ยงปลาหมอในบ่อพลาสติก

การเลี้ยงปลาหมอในวงบ่อปูนซีเมนต์

การเลี้ยงปลาหมอในวงบ่อปูนซีเมนต์

การคัดเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาหมอ

พ่อพันธุ์ ควรมีลักษณะลำตัวยาวว่ายน้ำปราดเปรียว และในการคัดพ่อพันธุ์ให้ทำตอนเช้า หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ำก่อนให้อาหาร  พ่อพันธุ์ที่พร้อมการผสมพันธุ์บริเวณปลายหัวจะออกเป็นสีแดง เกล็ดนวลเงา ไม่เป็นแผล

แม่พันธุ์ ควรจะมีขนาดป้อมสั้น ลำตัวมีความยาวประมาณ 3 นิ้ว การคัดเลือกแม่พันธุ์ปลาหมอนาให้ทำตอนเช้า หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ำก่อนให้อาหารแม่พันธุ์ที่พร้อมจะมีลักษณะท้องบวมเป่ง แสดงว่ามีไข่ อวัยวะเพศมีสีแดงชมพูเรื่อ

 

พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาหมอ

การผสมพันธุ์ปลาหมอนา

ให้ทำการผสมพันธุ์กันในช่วงฤดูฝน คือระหว่างเดือน พ.ค.- ก.ค. ในบ่อผสมพันธุ์ควรใส่น้ำปริมาณความสูง 50-60 เซนติเมตร และหาผักบุ้งใส่ในบ่อด้วย เพื่อเป็นที่กำบังและซ่อนตัวเวลาฟักไข่  นำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาหมอนาอัตราส่วน ปลาหมอตัวเมีย 1 ตัว ต่อ ตัวผู้ 2 ตัว ลงในบ่อ เช่น แม่พันธุ์ 100 ตัว ต่อพ่อพันธุ์ 50 ตัว  แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้ผสมพันธุ์กันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ หลังจากนั้น ให้แยกพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ออกจากลูกปลาหมอที่ยังเป็น ลูกคอก

 

ปลาหมอโตเต็มวัย

การให้อาหารและการอนุบาลลูกปลาหมอ

จัดการน้ำและอาหารธรรมชาติเข้าบ่อและกรองน้ำด้วยมุ้งตาถี่ ระดับน้ำ 50 เซนติเมตร ใช้ปลาป่นผสมรำละเอียดเป็นอาหารในช่วง 3วันแรก เริ่มให้ไข่ พอเริ่มวันที่ 4 ให้ไก่ต้มสุกเอาเฉพาะไข่แดงบดผ่านผ้าขาวบางผสมน้ำสาดทั่วบ่อ และอาหารผงสำเร็จรูปหรือรำละเอียดผสมปลาป่น อัตรา 1 ต่อ 1 หลังจากอนุบาล 3 สัปดาห์ ค่อยๆเพิ่มระดับน้ำเป็น 80 เซนติเมตร

ลูกปลาหมอ

ลูกปลาหมอ

การให้อาหารปลาหมอ

การให้อาหารปลาหมอ

การเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อเลี้ยงปลาหมอ

ถึงแม้ปลาหมอจะเลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพน้ำ แต่ก็ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำเพื่อให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี และกินอาหารได้มากขึ้น  โดยเปลี่ยนถ่ายน้ำประมาณเดือนละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำในบ่อ เพื่อให้ปลาปรับตัวได้ง่าย และประหยัดน้ำได้มากกว่าเปลี่ยนหมดทั้งบ่อ

การอนุบาลลูกปลาหมอ

การอนุบาลลูกปลาหมอ

ระยะเวลาและการจับปลาหมอ

โดยทั่วไปใช้เวลาเลี้ยง ประมาณ 90-120 วัน ถ้าจำหน่ายเมื่อโตเต็มที่ จะได้ราคาอย่างน้อยกิโลกรัมละ 150 บาท แต่ถ้าเลี้ยงเพื่อเพาะพันธุ์ลูกปลาขาย  ราคาทั่วไปที่จำหน่ายคือ ตัวละ 1 บาท

การจับปลาหมอเพื่อจำหน่าย

การจับปลาหมอเพื่อจำหน่าย

อีสานร้อยแปดขอแนะนำหนังสือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาหมอ เป็นหนังสือที่มีคุณภาพ ข้อมูลทางวิชาการครบถ้วน จัดทำโดยกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ข้อมูลจาก https://goo.gl/ZlFg6y เรียบเรียงโดย DPSNews

ฮือฮาทั่วโซเชียล! คู่รักมีเซ็กซ์บนเครื่องบินไม่แคร์สายตาใคร!(มีคลิป)


เว็บไซต์เดลีเมล์รายงานว่า ผู้โดยสารบนเที่ยวบินของสายการบินไรอันแอร์ จากเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ มุ่งหน้าไปยังเกาะอีบีซา เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พากันตกตะลึง หลังจากคู่รักคู่หนึ่งมีเพศสัมพันธ์กันตรงที่นั่ง โดยไม่แคร์สายตาของผู้โดยสารคนอื่นๆ รวมไปถึงผู้โดยสารบางคนที่ใช้มือถือถ่ายภาพของคู่รักคู่นี้เอาไว้
เดลีเมล์รายงานโดยอ้างผู้โดยสารคนหนึ่งที่อยู่บนเที่ยวบินดังกล่าว ที่เปิดเผยว่า ดูเหมือนว่าคู่รักคู่นี้จะอยู่ในอาการมึนเมา และได้ยินทั้งคู่พูดถึงเรื่องที่จะมีเซ็กซ์กัน แต่ก็คิดว่าเป็นแค่เรื่องตลก ก่อนที่ฝ่ายชายจะตะโกนขึ้นมาว่า “ใครมีถุงยางบ้างไหม” ทำเอาผู้โดยสารบนเครื่องพากันหัวเราะชอบใจ ก่อนที่ในอีก 10 นาทีต่อมา ทั้งคู่ก็เริ่มปฏิบัติกิจกันตรงเก้าอี้ที่นั่ง โดยไม่สนสายตาของผู้โดยสารคนอื่นๆบนเครื่องบิน
ขณะที่ผู้โดยสารหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆคู่รักดังกล่าว ถูกคู่รักคู่นี้ไล่ให้ไปนั่งที่อื่น โดยที่ลูกเรือไม่ทำอะไรเลยเพื่อที่จะหยุดยั้งคนทั้งสอง หรือไม่แม้แต่ที่จะตำหนิคนทั้งคู่ แม้ว่าจะมีผู้โดยสารร้องเรียนก็ตาม
ด้้านโฆษกของไรอันแอร์ ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ ออกมาเปิดเผยว่า กำลังตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น และว่าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมขึ้นทุกเวลา และผู้โดยสารคนใดที่มีพฤติกรรมที่รับไม่ได้ก็จะถูกลงโทษ

ใครมีถุงยางบ้างไหม?! คู่รักมีเซ็กซ์บนเครื่องบิน แบบไม่แคร์สายตาใคร ผู้โดยสารอึ้งกันทั้งลำ!

ใครมีถุงยางบ้างไหม?! คู่รักมีเซ็กซ์บนเครื่องบิน แบบไม่แคร์สายตาใคร ผู้โดยสารอึ้งกันทั้งลำ!

ใครมีถุงยางบ้างไหม?! คู่รักมีเซ็กซ์บนเครื่องบิน แบบไม่แคร์สายตาใคร ผู้โดยสารอึ้งกันทั้งลำ!

 

 

ที่มา:เว็บไซต์เดลีเมล์

สุดยอด! วิธีดูคนที่แอบส่อง facebook เรา


เชื่อว่านี่เป็นปัญหาระดับโลกของผู้ใช้เฟสบุ๊คเลยก็ว่าได้ สำหรับการอยากรู้ว่ามีใครบ้างที่คอยตามส่องเฟสบุ๊คเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะโพสต์อะไร แอดเพื่อนกี่คน คลิก Like ให้ใคร เขาจะรู้หมด ถ้ารู้แล้วบอกก็คงไม่เท่าไร แต่รู้แล้วเงียบนี่สิ อันนี้น่ากลัว

วันนี้เราเลยนำวิธีดูว่าใครที่ชอบส่องเฟสบุ๊คเรา โดยเทคนิคนี้ได้มาจาก aripfan  ที่รู้เทคนิคนี้มา เป็นเทคนิคที่ทำแล้วดูฉลาดดี เพราะดูไปคล้ายเจาะเข้าระบบของ facebook ตรวจดูว่าใครที่มาส่องเฟสเราบ้าง จะทำอย่างไรไปชมกันเลยดีกว่า

1. เปิดหน้า Facebook ของเรากันก่อน จากนั้นบนหน้าจอให้คลิกขวาเลือก View Page Source (ดูรหัสต้นฉบับ)2. รอจนมันโหลดหน้าจอโค้ดขึ้นมามากมาย ในหน้านี้คือเบื้องหลังอันสวยงามที่เราเห็นในหน้าปกติ เพราะเบื้องหลังคือโค้ดจำนวนมวลมหาศาล ให้กด Ctrl + F แล้วพิมพ์ {activeList กด Enter3. เคอร์เซอร์จะกระโดดไปบริเวณโค้ดที่อุดมไปด้วยตัวเลขเรียงกันอยู่จำนวนมหาศาล ตัวเลขเหล่านี้แหละคือคนที่ส่อง facebook เรา โดยจะเรียงจากคนที่ส่องบ่อยสุดไล่ต่อไปเรื่อยๆ
4. ถ้าอยากเห็นโฉมหน้าของเขา ก็แค่ก๊อบปี้ชุดตัวเลขที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูด จากนั้นก็ไปที่ช่องใส่ URL แล้วเอาชุตัวเลขที่ก๊อบปี้ไปใส่ข้างหลังคำว่า Facebook.com เช่นเราอยากรู้ว่า “22242″ นั้นคือใครให้เราพิมพ์http://www.facebook.com/22242 เพียงเท่านี้เราก็พบกับโฉมหน้าของคนที่ชอบส่องเรา อุต๊ะ… ใครละนี่!!?ขอบคุณที่มา : aripfan