โจ๋โหด! เอาใบเลื่อยแทงทะลุหัวใจเพื่อน เหตุเพราะขายยาบ้าปลอมให้!!


วันที่ 4 ก.ค. เมื่อเวลา 06.30 น. พ.ต.ต.วิชิต วรรณพฤกษ์ ร้อยเวร สภ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ รับแจ้งพบศพผู้เสียชีวิตในป่าริมถนนภายในซอยข้างวัดหนองหูลิง บ้านหนองหูลิง หมู่ที่ 3 ต.บัวขาว อ.กุฉินารายณ์ หลังรับแจ้งจึงรายงานไปยังผู้บังคับบัญชา และเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.กุฉินารายณ์ และชุดสืบสวนภ.จว.กาฬสินธุ์ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และทีมแพทย์โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์

โดยที่เกิดเหตุพบศพชายอายุ 20-25 ปี นอนเสียชีวิตริมถนน ตรงซอยข้างวัดหนองหูลิง ตรงข้ามบ้านเลขที่ 322 หมู่ที่ 3 ต.บัวขาว อ.กุฉินารายณ์ สภาพศพสวมเสื้อยืดสีขาว นุ่งกางเกงขาสั้นสีเทา สวมรองเท้าแตะสีเขียว มีคราบเลือดทั่วร่างกาย ทราบชื่อภายหลัง คือ นายสุรศักดิ์ อายุ 24 ปี สภาพศพพบถูกของมีคมแทงเข้าที่หน้าอกลึกเข้าใต้ราวนกด้านซ้าย 1 แผล ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า สีน้ำตาล-ขาว ทะเบียน ฉ-2677 กาฬสินธุ์ จอดอยู่ คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง

จากการสอบถามชาวบ้านที่บ้านอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ทราบว่า เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมาได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์น่าจะเป็นของผู้ตายมาจอดตรงบริเวณที่เกิดเหตุ จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน อยู่นานคล้ายจะชกต่อยกัน ต่อมาอีกไม่นานเสียงเงียบไป จนมาในช่วงเช้า ขณะจะออกไปตลาดก็พบศพถูกฆ่าตายซึ่งคาดว่าจะเป็นการทะเลาะกัน

มีรายงานว่าภายหลังเกิดเหตุ ตำรวจได้คุตัววัยรุ่นที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาเค้นสอบจำนวน 7 คน โดยหนึ่งในนั้นเป็นผู้ต้องหาคือ นายพลรัตน์ อายุ 20 ปี ซึ่งให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมาฆ่า นายสุรศักดิ์ฯ ด้วยตนเอง โดยใช้ใบเลื่อยดัดแปลงที่ตะไบจนแหลมที่พกติดตัวมาแทง เนื่องจากไม่พอใจที่ก่อนหน้านั้นได้นำยาบ้าปลอมมาให้ตนเสพ

ทั้งนี้ผู้ต้องหาให้การว่า จังหวะซึ่งผู้ตายคงจะมาน้ำมันหมด ซึ่งตนเห็นพอดีจึงได้วิ่งเข้าไปต่อว่าเรื่องยาบ้าปลอมจนเกิดทะเลาะกัน ตนสู้ไม่ได้จึงใช้เหล็กแหลมแทงเข้าที่หน้าอก ก่อนที่จะนำร่างผลักเข้าไปริมถนนแล้วหลบหนีไป อย่างไรก็ตามภายหลังจากผู้ต้องการให้การรับสารภาพ ชุดจับกุมได้นำตัวส่งต่อ พ.ต.ต.วิชิต วรรณพฤกษ์ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี สภ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ดำเนินคดีในข้อหาฆ่าคนตายต่อไป

ขอบคุณที่มาจาก ณัฐพล เฉยฉิว

พื้นที่1ไร่!! ทำรายได้หลายเเสน ??


1 ไร่ ได้ 1 แสน หลายคนยังแคลงใจ เป็นได้หรือ? แต่ถ้าจะบอกว่า แสนเดียวมันน้อยไป จะเชื่อหรือไม่

เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ประทีป มายิ้ม เกษตรกรเจ้าของ ศูนย์การเรียนรู้ชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สวนพออยู่พอกิน บ้านมายิ้ม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พื้นที่แค่ 1 ไร่ ปีหนึ่งๆทำเงินได้หลายแสนด้วยหลักการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้เต็มที่ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน…ส่วนแรก 4 ตารางวา ทำเป็นพื้นที่ทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ สารกำจัดศัตรูพืช

“ส่วนที่ 2 ปลูกพืชแบบเศรษฐกิจพอเพียง ยึด 10 เมนูยอดนิยมครัวไทยต้องใช้พืชอะไร ผมก็ปลูกพืชพวกนั้น ข่า ตะไคร้ กระวาน ผักชี ขึ้นฉ่าย ฟักทอง โหระพา กะเพรา พริก มะเขือ มะกรูด มะนาว มะละกอ ฟัก แฟง แตงกวา ปลูกหมด”

 แค่มะละกอ 200 ต้น ประทีป บอกว่า เก็บผลขายได้ทุกวัน วันละ 20 กก. กก.ละ 15 บาท แล้วไหนวันเว้นวันยังจะได้จากพืชผักทั้งหลายอีกครั้งละพันบาท…แค่นี้ได้แล้วเดือนละ 24,000 บาท…ปีละสองแสนกว่าบาท

ส่วนที่ 3 ใช้เนื้อที่ 2.5 ตารางวา ทำคอกเลี้ยงสัตว์แบ่งครึ่งเลี้ยงเป็ดไข่ 10 ตัว อีกครึ่งเลี้ยงไก่ไข่ 10 ตัว ได้ไข่ทุกวัน มีแม่ค้าข้าวแกงมารับซื้อทุก 3 วัน ได้อีกเดือนละ 1,000 บาท ปีละ 12,000 บาท

ส่วนที่ 4 บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ 2 บ่อ…บ่อแรก 2 ตารางวา ขุดไว้เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาดุก เพาะพันธุ์ขายลูกกับใช้ประโยชน์ไว้กินแมลงศัตรูพืช ได้อาหารให้ปลาดุกฟรีๆ เลี้ยงพ่อพันธุ์ไว้ 20 ตัว แม่พันธุ์ 100 ตัว จะได้ลูกพันธุ์ไปขายตัวละ 1 บาท เดือนละ 10,000 ตัว…ปีหนึ่งเกินแสน

บ่อที่ 2 เนื้อที่ประมาณ 11 ตารางวา ก่ออิฐทำเป็นบ่อเลี้ยง 4 กุ้ง 3 ปลา 2 หอย…4 กุ้ง = กุ้งก้ามแดง-กุ้งก้ามกราม-กุ้งแม่น้ำ-กุ้งฝอย ปล่อยลูกพันธุ์อย่างละ 1 พันตัว…3 ปลา = ปลานิล-ปลาตะเพียน-ปลาคาร์พ…2 หอย = หอยขม-หอยโข่ง

พื้นบ่อเป็นดินเพื่อจะได้ผสมพันธุ์ออกลูกได้ เลี้ยงกันแบบธรรมชาติ อาหารเม็ดอย่าฝันว่าจะได้เงิน ประทีป ใช้แหน สาหร่าย ผักกระเฉด ผักบุ้ง พร้อมกับปลูกข้าวไม่หวังเก็บเกี่ยวไปขาย ต้องการแค่ให้ใบร่วงไปเป็นอาหารสัตว์น้ำเท่านั้นเอง

1 ปี จะได้กุ้งก้ามแดงให้จับขายประมาณ 1.5 แสนบาท…กุ้งก้ามกราม ปีหนึ่งจับได้ 2 หน เป็นเงิน 14,000 บาท…กุ้งแม่น้ำได้ปีละหน 2,400 บาท…จับขายเฉพาะตัวใหญ่ ตัวเล็กเก็บไว้เลี้ยงต่อ โตขึ้นได้ขนาดเมื่อไรถึงขาย แถมยังได้มีโอกาสปล่อยให้จับคู่ผสมพันธุ์ออกลูกหลานให้เราเลี้ยงไปขายได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

ปลาตะเพียน 10 ตัว ไม่ได้หวังขาย เลี้ยงไว้เพื่อตรวจวัดคุณภาพน้ำ เช้าขึ้นมาปลาตะเพียนลอยหัว ถึงคราวเปลี่ยนน้ำ…ปลานิลเลี้ยงไว้ 10 คู่ ออกลูกหลานมาให้จับขายปีละ 3 หน หนละ 20 กก. ปีหนึ่ง 2,400 บาท ส่วนปลาคาร์พ ซื้อลูกปลาตัวละ 5 บาท มาเลี้ยง 4-5 เดือน เอาไปขายร้านปลาสวยงามได้ตัวละ 80 บาท

หอยขมและหอยโข่ง เลี้ยงไว้ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกก้นบ่อ ปล่อยลูกพันธุ์อย่างละ 1-2 กก. เลี้ยงจนโตออกลูกออกหลาน สามารถจับขายได้ทุกสัปดาห์ หอยขมได้ 200 บาท หอยโข่ง 300 บาท…ปีละ 26,000 บาท

รวมแล้วพื้นที่ 1 ไร่ ประทีปทำเงินได้…ปีละไม่ต่ำกว่า 6 แสนบาท.

ขอบคุณที่มา https://www.thairath.co.th/content/536759

แชร์สนั่นโซเชียล!! หนุ่มขับรถเจอ“ยายหาบขนมขาย” ไม่มีรองเท้าใส่เลยถอดให้ (มีคลิป)


เกิดเป็นภาพและโพสต์เรียกน้ำตาชาวโซเชียล หลังผู้ใช้เฟซบุ๊ก คุณหญิง ดาร์ลี่ กับแฟนหนุ่ม บังเอิญไปเจอ “คุณยายแก่ๆ” หาบขนมขาย โดยไม่มีรองเท้าใส่ อยู่ริมถนนท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว จึงได้ช่วยเหมาขนมและแฟนหนุ่มได้สละรองเท้าของตัวเองให้คุณยาย โดยระบุข้อความทั้งหมดว่า

“วันนี้เจอคุณยายหามขนมมาขายในปั้ม ปตท.แห่งหนึ่ง ใน อ.กุฉินารายน์ จ. กาฬสินธุ์ ยายไม่ได้ใส่รองเท้า เราบอกให้ยายเดินเข้าไปข้างเซเว่นเพื่อที่เราจะได้ช่วยซื้อขนมแต่ยายปฏิเสธพร้อมท่าทางหวาดกลัว เราเลยถามว่าทำไมไม่เข้าไปล่ะยาย แกตอบด้วยเสียงสั่นๆว่า “เดียวเขาด่า ยายเพิ่งโดนเขาด่ามาเมื่อกี้นี้เอง”

เราเลยรีบซื้อขนมกับแกหนึ่งห่อ จากนั้นยายก็เดินจากไป แล้วเราก็ทำธุระในปั๊มต่อ หลังจากเสร็จธุระแล้ว เราก็ออกจากปั๊มแล้วไปเจอยายอีกครั้งซึ่งห่างจากปั๊มไม่ไกลนัก ด้วยความสงสารเราจึงลงจากรถอีกครั้ง เพื่อไปเหมาขนมให้ยาย พร้อมกับมอบรองเท้าที่เราใส่ให้ยายหนึ่งคู่

พร้อมกับพูดคุยกับยาย จึงได้ความว่า ยายมีสามีตาบอดหนึ่งคนกับลูกชาย 2 คน คนโตไปทำงานที่กรุงเทพฯ ส่วนคนเล็ก ติดยาเสพติด ซึ่งยายได้ทำงานหาเลี้ยงเพียงคนเดียว อีกทั้งยายยังตาบอดหนึ่งข้าง

ดูคลิป!!


ขอบคุณข้อมูลจาก www.socialhot24.com

เลี้ยงฮวก!! ในบ่อปูนซีเมนต์ ผสมพันธุ์เน้นขาย กำไรเกินครึ่งของรายได้


ที่บ้านน้อยจอมศรี อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ชาวบ้านส่วนใหญ่ยึดอาชีพทำการเกษตร ทำนา ทำไร่ ส่วนใหญ่ใช้น้ำจาก “เขื่อนน้ำอูน” สำหรับทำการเกษตร ฉะนั้น ผู้ที่เดินทางไปจังหวัดสกลนคร จะพบพื้นที่เขียวชะอุ่มไปด้วยข้าวนาปรัง พืชฤดูแล้ง ตลอดจนบ่อเลี้ยงปลาและเลี้ยงกบ ห่างตัวเมืองสกลนคร ประมาณ 12 กิโลกรัม มีหมู่บ้านเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของเมืองสกลนคร คือ บ้านน้อยจอมศรี ต.ฮางโฮง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่มีกลุ่มอาชีพหลากหลาย อาทิ กลุ่มทำหมอนขิด กลุ่มเกษตรกรทำนา กลุ่มเลี้ยงปลา และกลุ่มเลี้ยงกบ
โดยเฉพาะกลุ่มเลี้ยงกบ ที่มีมากที่สุดของจังหวัดสกลนคร กว่า 10 ราย
คุณรัตนา ศรีบุรมย์ และคุณกมลชัย ศรีบุรมย์ อยู่บ้านเลขที่ 218 ตำบลฮางโฮง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร สองสามีภรรยา เป็นหนึ่งในกลุ่มเลี้ยงกบ ที่กบพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ กว่า 3,000 ตัว โดยคุณรัตนา เล่าว่า ก่อนเลี้ยงกบเป็นอาชีพ ได้ทำนาและทำไร่มาก่อน รวมทั้งเป็นลูกจ้างกรรมกรในตัวเมือง
“นอกจากทำนาปลูกข้าวแล้ว ชาวบ้านแห่งนี้ยังมีอาชีพเสริมคือการการเกษตรปลูกพืชฤดูแล้งเลี้ยงสัตว์ และบางส่วนเลี้ยงกบ ขายพันธุ์กบเป็นส่วนน้อย เน้นขายตัวอ่อนของกบหรือฮวก (ลูกอ๊อด) เป็นส่วนใหญ่ โกยเงินเป็นล่ำเป็นสันเรียกกันว่า “เถ้าแก่น้อย” ในหมู่บ้าน”

คุณกมลชัย กล่าวอีกว่า จากที่เห็นเพื่อนบ้านทำนาและเลี้ยงปลา กบเสริมแล้วทำให้มีรายได้ จึงศึกษาและนำกบมาทดลองเลี้ยงจนเกิดความชำนาญ จากแต่ก่อนเลี้ยงเพียงไม่กี่ร้อยตัว ก็เพิ่มจำนวนเลี้ยงขึ้นมาเป็นหลายพันตัว จากเดิมไม่มีคนรู้จัก ก็มีลูกค้ามาซื้อกบถึงบ้าน บรรดาเพื่อนบ้านที่เลี้ยงกบต่างมีรายได้ต่อปีหลายแสนบาท บางรายตั้งเป้าทำกำไรจากกบตัวละ 1 บาท หากขายได้ปีละ 1 ล้านตัว ก็มีรายได้ 1 ล้านบาท

“เมื่อ 5 ปีก่อน เริ่มเลี้ยง และนำเงินทุนที่มีอยู่ไปซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบเหลืองหัวเขียว และกบพื้นบ้าน ประมาณ 20-30 ตัว พ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบกิโลกรัมละ 50-70 บาท ตัวขนาด 2 นิ้ว 1 กิโลกรัม ได้ประมาณ 40 ตัว ลงทุนลงแรงเลี้ยงกบในที่นาตัวเอง โดยใช้ท่อปูนชีเมนต์ร่วมกับภรรยาเพียง 2 คน”

คุณกมลชัย เล่าว่า การเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบ เพื่อผลิตตัวอ่อนหรือลูกอ๊อด มีขั้นตอนการเลี้ยงยุ่งยากกว่าเลี้ยงสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดอื่น ใจไม่สู้ เลี้ยงไม่ได้ไปไม่รอด ปัจจุบัน ตนมีกบพ่อพันธ์ จำนวน 2,000 ตัว แม่พันธุ์ 2,000 ตัวเศษ โดยกบพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เหล่านี้ จะถูกนำมาเลี้ยงไว้ที่ท่อซีเมนต์ กว่า 30 ท่อ แต่ละท่อจะมีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปล่อยเลี้ยงประมาณ 50-60 ตัว ส่วนการผสมพันธุ์นั้น เริ่มจากใช้คันนาดินที่เป็นบ่อกั้นไว้ให้แล้ว นำตาข่ายไนล่อนพลาสติก ภาษาอีสานเรียก “ดาง” หรือ “ผ้าแหยง” รูถี่ มาขึงกางตาข่าย กว้าง 1.20 เมตร ความยาวแล้วแต่ขนาดคันนาเป็นมาตรฐาน ใช้ไม้ไผ่สูงขนาดเท่ากับตาข่ายค้ำยัน กั้นเพื่อขึงตาข่ายให้ตึง ป้องกันกบกระโดดหนีระยะห่าง 2 เมตร ต่อเสา และควรกั้นไว้หลายๆ บ่อเพื่อคัดแยกขนาดของกบและลูกอ๊อดออกจากกัน


“กบพันธุ์ไม่แข็งแรงเหมือนกบนาจะกระโดดเฉพาะช่วงผสมพันธุ์กันและมีฝนตก และควรเตรียมบ่อผสมพันธุ์ไว้ ตามต้องการแต่ควรเว้นระยะเนื่องจากการจำหน่ายต้องไม่ขาดช่วงหากทำพร้อมกันจะทำให้กบไข่มากทำให้ขายไม่ทัน”

วิธีการ คือ นำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบ ที่คัดแยกจากท่อที่เลี้ยงไว้ 4 ท่อ และตัวเมีย 4 ท่อ รวม 8 ท่อ นำตัวผู้และตัวเมียอย่างละ 200 ตัว รวม 400 ตัว ผสมเยอะไม่ได้ กบจะกระโดดหนีใส่ตาข่ายจนบาดเจ็บปากแดง
วิธีคัดแยกกบมาผสมกัน สังเกตกบตัวผู้จะคางย่นพอง ควรให้ผสมพันธุ์กันในช่วงเย็น ถ้าฝนไม่ตกให้เปิดน้ำแทนฝนจะผสมพันธุ์กันดี พอรุ่งเช้าให้แยกตัวผู้ตัวเมียกลับท่อ ถ้าแดดร้อนจัดลูกอ๊อดจะขยายพันธุ์รวดเร็ว ถ้าไม่มีแดดต้องรอข้ามคืน ตกเย็นในวันเดียวกันจะเห็นลูกอ๊อดลอยน้ำในบ่อผสม ช่วงนี้ลูกอ๊อดจะกินคราบไข่ในบ่อผสมก่อน 2 วัน ถึงจะให้อาหารเป็นหัวอาหารเมล็ดที่ใช้เลี้ยงปลา แล้วนำไปลงบ่ออนุบาลและอีก 5 วัน ก็นำลูกออ๊ดออกจากบ่ออนุบาลไปลงที่บ่อดินที่เตรียมไว้


นอกจากนี้ ควรห้สังเกตปริมาณลูกกบว่าในบ่อมีลูกอ๊อดมากน้อยหรือไม่ หากให้อาหารเยอะไปลูกอ๊อดจะตาย แรกๆ ลูกอ๊อดอยู่ในน้ำใส ข้อควรระวังยิ่งควรปรับสภาพน้ำให้เขียวขุ่น โดยใช้น้ำหมักชีวภาพที่รดใส่แปลงพืชผักผสมกับกากน้ำตาลเทใส่บ่อเพื่อสร้างอุณหภูมิปรับน้ำให้เขียว เพื่อให้ลูกอ๊อดอำพรางตัวไม่ให้เห็นกัน ถ้าอยู่ในน้ำใสตัวใหญ่จะกินตัวเล็ก เป็นธรรมชาติของสัตว์ชนิดนี้ ระยะเวลาหลังผสมพันธุ์กันเสร็จ 25 วัน ลูกอ๊อดจะโตเต็มที่จะขายได้ ตัวใหญ่และได้น้ำหนัก ดีนับร้อยกิโล ขึ้นไป
คุณรัตนา บอกว่า สิ่งที่ต้องทำและหมั่นเอาใจใส่ คือ เมื่อลูกอ๊อดโตได้ 5 วัน ให้รีบเอาออกจากบ่อผสมพันธุ์ นำพักไว้ในบ่อดินที่เตรียมไว้ หลังคัดเกรดเสร็จก็ควรจะกระจายลงไปในบ่อที่ว่างอีก จากนั้น ต้องคัดตัวใหญ่แยกออกจากตัวเล็กที่ไม่สมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นลูกอ๊อดกินกันเองไม่เหลือผลผลิตตามเป้า และควรให้หัวอาหารเช้าเย็นวันละ 2 กระสอบ
“การเลี้ยงกบนั้น ไม่ได้ศึกษาจากที่ใด อาศัยประสบการณ์ลองผิดลองถูกเมื่อมีปัญหาก็จะไปสอบถามคนที่เลี้ยงมาก่อน ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำเป็นอย่างดี ปัจจุบัน กบของตัวเองที่เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ หนึ่งตัวจะสามารถผสมเพาะได้ ถึง 10-12 ครั้ง/ตัว หลังจากนั้นก็จะนำออกมาจำหน่ายเพราะกบเรียกกันว่าโทรมมากแล้ว จากนั้นจะคัดพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ใหม่ มาทดแทน ฤดูกาลของลูกอ๊อดผลผลิตจะเริ่มออกในช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคม แต่จะออกเยอะในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน เนื่องจากมีอากาศเย็นและมีฝนตกลูกอ๊อดไม่ค่อยตาย ต้นฤดูที่ผสมใหม่ๆ จะทำเงินให้สูงตกกิโลกรัมละ 200-250 บาท”
คุณรัตนา บอกอีกว่า ทุกวันนี้สามารถขายได้วันละ 30-50 กิโลกรัม โดยได้ใช้วิธีเพาะพันธุ์แบบให้เป็นเว้นระยะไม่ทำครั้งเดียว เพราะถือว่าทำได้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง จะอยู่ที่วันละ 4,500-6,000 บาท ซึ่งหากหักค่าใช้จ่ายจากพวกหัวอาหารแล้วก็มีกำไรมากกว่าครึ่งของรายได้

การเลี้ยงกบหากมองดูจริงแล้วไม่ยากอย่างที่คิด ปัญหาอยู่ที่ความขยันขันแข็ง ทำแล้วเลี้ยงแล้วต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่ ไม่ปล่อยเป็นกบ “เทวดาเลี้ยง” และคนเลี้ยงกบต้องรู้จักศึกษาอ่านหนังสือหาความรู้และสังเกตกบว่าเป็นอย่างไร และควรปรับเปลี่ยนไปตามนั้นเพราะประสบการณ์จะทำให้เราได้เรียนรู้ดีกว่าการอ่านแล้วมาลองทำ เพราะอาจทำให้เสียเวลาได้ สุดท้ายก็เสียเงิน ล้มเหลว ไม่ประสบผลสำเร็จ
ผู้สนใจท่านใดอยากได้รายละเอียดหรือติดต่อสอบถามข้อมูล ได้ที่คุณรัตนา ศรีบุรมย์ โทร 088-5160013 ได้ทุกวัน

ข้อมูลจาก http://farm.onzorn.info/2016/03/blog-post_14.html เรียบเรียงโดยDPSNews

เลี้ยงกุ้งก้ามกรามใน”นาข้าว” เลี้ยงง่ายกำไรงาม ลงทุนหลักหมื่นกำไรหลักเเสน!!!


กุ้งก้ามกรามถือได้ว่าเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องด้วยคนเท่านิยมรับประทานกันมาก จึงทำให้กุ้งก้ามกรามมีราคาแพง สูงถึง 300 บาทต่อกิโลกรัม จึงทำให้ปัจจุบันมีเกษตรกรส่วนมากหันมาเลี้ยงกุ้งชนิดนี้มากขึ้น แต่มีปัญหาคือต้องใช้พื้นที่ในการทำบ่อเป็นจำนวนมาก และกับค่าอาหารที่มีราคาสูงจึงทำให้เกษตรกรหลายรายต้องหยุดการเลี้ยงกุ้งไปอย่างน่าเสียดาย

วันนี้ไข่เจียวนำวิธีการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามแบบใหม่มาฝากเพื่อนๆ เป็นเทคนิคใหม่ที่พึ่งได้มีการเปิดเผยกัน คือวิธีการเลี้ยงกุ้มก้ามกรามในนาข้าวซึ่งวิธีนี้จะทำให้เกษตรกรได้ลดต้นทุนในส่วนของการขุดบ่อไป และ ภายในเนื้อหายังเผยสูตรอาหารและน้ำหมักปรับสภาพน้ำแีกด้วย จะเป็นยังไงนั้นไปชมกันเลยคะ

วิธีเลี้ยงกุ้งก้ามกรามแบบอินทรีย์ในนาข้าว เป็นวิธีการเลี้ยงแบบลดต้นทุน และสร้างรายได้ให้กับผู้เลี้ยงเป็นอย่างดี มีขั้นตอนดังนี้

 

1.ก่อนปลูกข้าวให้ทำการปรับพื้นที่ในนาข้าวให้มีความลึกขนาด/ประมาณ 80 เซนติเมตร

2.ซึ่งการทำแปลงนาจะสูงแตกต่างกันเป็นลำดับขั้น เช่น 60-70-80-90 เซนติเมตร จะง่ายต่อการไล่ระดับน้ำออกจากแต่ละบ่อ

3.เมื่อปรับพื้นที่ในนาข้าวได้ตามขนาดแล้ว ให้ทำการหว่านหรือปักดำนาข้าวได้ทันที

4.หลังจากที่ทำการหว่านและปักดำนาข้าวแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ให้นำกุ้งปล่อยลงในนาข้าวได้เลย

5.พื้นที่นาข้าวขนาด 1 ไร่ ปล่อยกุ้ง 20,000 ตัว ขนาดกุ้งที่ปล่อยประมาณ 2 เซนติเมตร

6.เมื่อปล่อยกุ้งลงนาข้าวแล้วในทุกๆ สัปดาห์จะมีการเติมน้ำลงไปจนเต็มเพื่อไล่น้ำที่เน่าเสียออกไป

สูตรอาหารเลี้ยงกุ้งก้ามกราม

วัตถุดิบ

– รำละเอียด 1 กิโลกรัม

– ปลาป่น 2 ขีด

– น้ำมันพืช 1 ขวด

– กะละมังสำหรับผสมอาหาร 1 ใบ

วิธีทำ : นำส่วนผสมเทลงในกะละมังสำหรับผสมอาหาร จากนั้นคลุกเคล้าวัตถุดิบทั้งหมดเข้าหากันแล้วปั้นเป็นก้อน หรือถ้ามีเครื่องอัดเม็ดก็สามารถนำไปอัดเม็ดได้เช่นกัน ก็จะได้อาหารสำหรับเลี้ยงกุ้งก้ามกราม

การนำไปใช้: นำอาหารกุ้งก้ามกรามที่ผสมได้ ให้กุ้งกินในช่วงเวลาเช้าและเวลาเย็น

ประโยชน์ : สูตรอาหารกุ้งก้ามกรามจะช่วยให้กุ้งก้ามกรามเจริญเติบโตเร็ว แข็งแรง และช่วยลดต้นทุนค่าอาหารได้เป็นอย่างดี

สูตรน้ำหมักปรับสภาพน้ำเพื่อป้องกันโรคในกุ้ง

วัตถุดิบ

– สารเร่ง พ.ด.2 1 ซอง

ซากปลา ซากหอย 3 กิโลกรัม

– กากน้ำตาล 1 ลิตร

– น้ำ 2 ลิตร

– ถังพลาสติกสำหรับหมัก 1 ใบ

วิธีทำ : นำส่วนผสมเทลงในถังสำหรับหมัก คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน จากนั้นปิดฝาหมักทิ้งไว้ในที่ร่มเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก็จะได้น้ำหมักปรับสภาพน้ำเพื่อป้องกันโรคในกุ้งก้ามกราม

การนำไปใช้ : นำน้ำหมักที่ได้ไปสาดลงแปลงนาหรือบ่อกุ้งก้ามกรามเท่าๆ กัน โดยใช้ในอัตรา 10 ลิตรต่อ 1 ไร่ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

ประโยชน์ : ช่วยปรับสภาพน้ำและป้องกันโรคให้กับกุ้งก้ามกราม หลังจากปล่อยกุ้งก้ามกรามลงในนาข้าวได้ 3 เดือน ความเจริญเติบโตจะอยู่ที่ 3 กรัมต่อ 1 ตัว

เป็นยังไงกันบ้างคะเพื่อนๆ กับสูตรเด็ดการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามบอกเลยใครเลี้ยงก่อนรวยก่อนเพราะตอนนี้กุ้งกามกรามกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก รีบๆ กันหน่อยนะคะว่าที่เศรษฐี!!

ที่มาจาก : hotnewshotclip.com

อีกทริค..การเลี้ยง..กุ้งก้ามกราม

เมื่อเอ่ยถึง กาญจนบุรี สิ่งที่ทุกคนนึกถึงคงจะหนีไม่พ้นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติ เช่น น้ำตกเอราวัณ น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ฯลฯ ตลอดจนป่าไม้ธรรมชาติในเขตอุทยานฯ ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้ที่ชื่นชอบความสงบ

กาญจนบุรี ถือเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ พื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดมีการทำเกษตรกรรมที่หลากหลาย เช่น ปลูกผัก ทำไร่อ้อย ตลอดจนการทำนา ฯลฯ และมีทำการประมง คือเลี้ยงปลากระชังในแม่น้ำแม่กลอง และยังมีบางพื้นที่เลี้ยงกุ้งอีกด้วย

คุณอรอนงค์ ธนพันธุ์ภูวเดช อยู่บ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 13 ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี อีกหนึ่งเกษตรกรผู้ที่เคยปลูกพืชไร่ ผันชีวิตมาเลี้ยงกุ้งก้ามกราม จนเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้เธอได้เป็นอย่างดี

เปลี่ยนจากไร่อ้อย ทำบ่อเลี้ยงกุ้งก้ามกราม

คุณอรอนงค์ เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนมีอาชีพทำไร่อ้อย ด้วยปัญหาของราคาที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงคิดหาทำการเกษตรด้านอื่นที่อาจสร้างรายได้ให้กับเธอได้มากขึ้น

“สมัยก่อนทำไร่อ้อยเป็นอาชีพ รายได้ปีละครั้ง เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด พอดีมีคนที่อยู่แถวอำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณฯ เข้ามาเช่าที่ข้างๆ ที่เราทำไร่อ้อยอยู่ แต่เขามาเช่าเพื่อเลี้ยงกุ้ง ตอนนั้นเราเห็นเขาเช่าที่เยอะมาก ก็ไปดูเขาว่ามาทำแบบไหนยังไง เขาก็ถามเราว่า ทำอะไรอยู่ เขาก็แนะนำให้ลองมาเลี้ยงกุ้ง เราก็เลยมาศึกษากับเขาเพื่อทดลองดู” คุณอรอนงค์ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการเลี้ยงกุ้ง

ช่วงประมาณ ปี 2541 คุณอรอนงค์ บอกว่า ทดลองเลี้ยงประมาณ 2 บ่อ นับว่าประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจสำหรับเธอ

“ปรากฏว่าดีมากในช่วงแรกที่ทำ ราคาก็ได้ดีด้วย กุ้งประมาณ 20 ตัว ต่อกิโลกรัม ได้ราคาประมาณ 180-200 บาท พอเรามาเปรียบเทียบดูระหว่างทำไร่อ้อยกับเลี้ยงกุ้ง กุ้งนี้น่าจะดีกว่ามาก แถมช่วงนั้นไม่ค่อยมีปัญหาเลย เลี้ยงง่าย กุ้งแข็งแรงดี เป็นอาชีพที่ดีมาก” คุณอรอนงค์ กล่าวถึงความสำเร็จที่ผ่านมาของเธอ

เลี้ยงกุ้งก้ามกราม ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเค็ม

คุณอรอนงค์ บอกว่า ในช่วงที่ทำบ่อเลี้ยงใหม่ๆ มีพื้นที่เท่าไหร่ก็จะขุดบ่อทั้งหมด แต่ขนาดที่เหมาะสำหรับเลี้ยงกุ้งก้ามกราม ขนาดบ่อประมาณ 4 ไร่

“เราต้องเอาที่ดินเราเป็นเกณฑ์ ว่าที่ดินเรามีกี่ไร่ แต่ถ้าจะดีสำหรับเลี้ยงกุ้ง ต้องประมาณ 4-5 ไร่ ความลึกประมาณ 1.50 เมตร ซึ่งบ่อใหม่ไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะว่ามันยังสะอาดอยู่ ไม่มีเรื่องโรคมากนัก แต่ถ้าพื้นที่ที่ผ่านการเลี้ยงมาแล้ว ก็มีการเตรียมบ่อโดยโรยปูนขาวเพื่อฆ่าเชื้อ” คุณอรอนงค์ อธิบายการเตรียมบ่อสำหรับเลี้ยง

คุณอรอนงค์ บอกว่า น้ำที่ใช้เลี้ยงกุ้งเป็นน้ำที่ได้จากคลองชลประทาน ค่อนข้างมีความสะอาด ทำให้เธอไม่ต้องกังวลกับเรื่องน้ำ จากนั้นจึงไปหาซื้อลูกกุ้งก้ามกรามจากฟาร์มที่ได้รับรองมาตรฐาน จีเอพี (GAP) มาปล่อยเลี้ยง ซึ่งการซื้อลูกกุ้งอยู่ที่ความพอใจของผู้เลี้ยงว่า ต้องการซื้อจากฟาร์มไหน ซึ่งปัจจุบันไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เพราะทุกฟาร์มมีมาตรฐานเดียวกันที่เชื่อถือได้

การเลี้ยงกุ้งก้ามกรามของคุณอรอนงค์จะมีการเลี้ยง 2 ขั้นตอน โดยขั้นตอนแรกเธอจะนำลูกกุ้งก้ามกรามมาอนุบาลเสียก่อน และขั้นตอนที่สองจึงจะนำกุ้งที่ผ่านการอนุบาลมาปล่อยเลี้ยงอีกบ่อ จนได้ขนาดไซซ์ที่จำหน่ายได้

“เราจะอนุบาลก่อน พอเสร็จแล้วค่อยย้ายบ่อ ขึ้นอยู่ที่ผู้เลี้ยงว่าจะปล่อยแน่นหรือว่าไม่แน่นมากนัก ปล่อยได้ตั้งแต่ 20,000-40,000 ตัว เลี้ยงในช่วงอนุบาลนี้ประมาณ 2 เดือน ถึง 2 เดือนครึ่ง ก็ค่อยย้ายไปเลี้ยงอีกที่หนึ่ง สมมุติให้เห็นภาพคือ เตรียมบ่อสำหรับอนุบาลไว้ 1 บ่อ บ่อสำหรับเลี้ยง 3 บ่อ ก็จะเลี้ยงได้เรื่อยๆ สลับกัน” คุณอรอนงค์ อธิบาย

การอนุบาลลูกกุ้งก้ามกราม คุณอรอนงค์ บอกว่า ทำด้วยวิธีนี้ถือว่าไม่เสียเวลา กุ้งก้ามกรามเจริญเติบโตขนาดไซซ์เท่ากันไม่มีปัญหาเรื่องแตกไซซ์ ทำให้เวลาที่จับจำหน่ายสามารถจับหมดบ่อได้เลย

ลูกกุ้งก้ามกรามที่นำมาอนุบาลจะให้กินอาหารที่มีโปรตีน 35 เปอร์เซ็นต์ 2 มื้อ ต่อวัน เช้าและเย็น จนได้อายุประมาณ 2 เดือนครึ่ง จึงย้ายไปเลี้ยงในบ่อสำหรับเลี้ยงอีกครั้งหนึ่ง ปล่อยเลี้ยงประมาณ 24,000 ตัว ต่อบ่อ 4 ไร่ อาหารที่ให้ในระยะนี้เป็นอาหารที่มีโปรตีน 35 เปอร์เซ็นต์ เหมือนเดิม ใช้เวลาเลี้ยงอีก ประมาณ 2 เดือน กุ้งก้ามกรามจะมีขนาดไซซ์ใหญ่พร้อมจำหน่ายได้

การดูแลและป้องกันโรค คุณอรอนงค์ บอกว่า การเลี้ยงด้วยวิธีนี้ยังไม่พบปัญหามากนักสำหรับเธอ ส่วนการใช้เครื่องตีน้ำหากเลี้ยงแบบจำนวนไม่หนาแน่นมากนัก ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ถ้าปล่อยกุ้งก้ามกรามจำนวนมากจะเปิดใช้งานเครื่องตีน้ำ 2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น ครั้งละ 2 ชั่วโมง

“เรื่องโรคและสาเหตุการเกิดโรคไม่มี ถ้าเราเลี้ยงแบบนี้นะ เพราะว่าบ่อมันก็สะอาด เราจัดการดีทุกครั้ง อีกอย่างที่ต้องระวังคือ เรื่องอาหาร อย่าให้กุ้งกินเยอะเกิน เพราะถ้าอาหารมากเกิน มันจะกลายเป็นของเสียที่บ่อ เราควรให้พอเหมาะ” คุณอรอนงค์ กล่าว

กุ้งก้ามกราม ยังเป็นที่ต้องการของตลาด

คุณอรอนงค์ บอกว่า รู้สึกดีใจที่ได้เปลี่ยนจากไร่อ้อยมาเลี้ยงกุ้งก้ามกราม เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ตลาดต้องการอยู่ตลอดเวลา

“กุ้งนี่เป็นอะไรที่ดีมาก เพราะว่าจำหน่ายง่ายมาก มันเหมือนเรามีเงินสดอยู่ในบ่อตลอด อย่างสมมุติเราไม่เลี้ยงให้ตัวใหญ่ เราก็เอาลูกกุ้งที่อนุบาลมาจำหน่ายได้ ซึ่งราคาก็ไม่แย่นะ กิโลกรัมละ 200 กว่าบาท ซึ่งไซซ์นี้เราจำหน่ายให้กับคนที่ต้องการซื้อเอาไปเลี้ยงต่อ เพื่อเป็นกุ้งตัวใหญ่ บางคนเขาไม่ชอบเลี้ยงแบบตัวเล็กๆ ถึงได้บอกว่าเลี้ยงกุ้งนี่เหมือนเรามีเงินอยู่ในบ่อเราตลอด” คุณอรอนงค์ กล่าว

กุ้งก้ามกรามที่เลี้ยงจนได้ไซซ์ขนาดประมาณ 10-12 ตัว ต่อกิโลกรัม เป็นเพศผู้ ราคาจำหน่ายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 300-400 บาท ส่วนกุ้งก้ามกรามเพศเมีย ที่มีไข่ติดท้อง ราคาจำหน่ายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 200-300 บาท

“ส่วนมากเราจะจำหน่ายที่ปากบ่อเลย ไม่ต้องไปส่งที่ไหน หรือบางทีเราก็ไปส่งแถวตลาดมหาชัย ราคาก็จะขึ้นไปกว่านี้อีกนิดหน่อย อีกอย่างคิดว่าการเลี้ยงกุ้งนี่ดีมาก เราได้เงินทุกเดือน เพราะเราสามารถจับสลับบ่อได้ ถ้าจำนวนบ่อเรามีเยอะ มันก็หมุนเวียนได้ตลอด ซึ่งอย่างไร่อ้อยนี่เราจำหน่ายได้แค่ปีละครั้ง มันนานกว่ากุ้งอีก” คุณอรอนงค์ กล่าวถึงข้อดีของการเลี้ยงกุ้ง

การเลี้ยงกุ้ง เป็นอาชีพหลักที่ดี หากเรียนรู้ และตั้งใจทำ

เมื่อเอ่ยถามคุณอรอนงค์ว่าตั้งแต่เลี้ยงกุ้งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน คิดว่ากุ้งยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับคนที่มองหาเพื่อเป็นอาชีพสร้างรายได้หรือไม่

“ในด้านการทำเป็นอาชีพ กุ้งนี้ต้องบอกเลยว่าสามารถเลี้ยงเป็นอาชีพหลักได้นะ แต่ก่อนที่จะมาเลี้ยงอยากให้คนที่สนใจถามตัวเองก่อนว่า เขาเลี้ยงกันแบบนี้ เราสามารถทำได้ไหมถ้ามาเลี้ยงเอง คือถ้าเราอยากได้เงินแบบเห็นผล กุ้งนี้ก็น่าจะเป็นคำตอบ เพราะว่าก็ไม่ได้เลี้ยงยากอะไร ขอให้มีที่สำหรับเลี้ยงติดคลอง ติดแหล่งน้ำชลประทาน สถานที่เหมาะสม แหล่งน้ำสะดวก การเลี้ยงนี่ก็ถือว่ายั่งยืน”

“อย่างตัวเราเองนี่ จากวันนั้น เมื่อ ปี 41 อีกไม่กี่ปีก็จะ 20 ปีแล้วที่ทำมา ก็อยากแนะนำว่า ถ้าเราเรียนรู้ อยากทำให้ทำเลย อย่าไปรอเวลาเลย เราเริ่มเมื่อไหร่เราก็มีความหวังเมื่อนั้น สำหรับใครที่มีที่ดินไม่มาก เลี้ยงได้ 1-2 ไร่ ก็ขุดบ่อเท่านี้ก่อน ยังไม่ต้องทำมาก พอเลี้ยงสำเร็จเราก็ค่อยๆ ขยายไป เลี้ยงออกมายังไง ก็จำหน่ายได้อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวเรื่องการตลาด” คุณอรอนงค์ กล่าวแนะนำ

จะเห็นได้ว่าการประกอบสัมมาอาชีพ หากศึกษาเรียนรู้ข้อมูลอย่างจริงจัง ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินที่มนุษย์อย่างเราๆ ฝันถึง เหมือนเช่น คุณอรอนงค์ ที่ยอมปรับเปลี่ยนความคิดจากทำไร่อ้อยที่ได้ผลผลิตเพียงปีละ 1 ครั้ง หันมาเลี้ยงกุ้งก้ามกรามที่สร้างรายได้ให้กับเธอทุกเดือน โดยคิดเพียงแต่ว่าสิ่งที่เริ่มใหม่ต้องสดใสและงดงามเสมอหากไม่ยอมแพ้ และตั้งใจจริง

เรียบเรียงโดย DPSNews


โอ้โห! ปลูกส้ม 20 ไร่ รายได้หลายล้านบาท/ปี


อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ขึ้นชื่อว่ามีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงและเป็นศูนย์กลางของความเจริญในเขต จ.เชียงใหม่ตอนบน  มีประชากรเป็นอันดับสองของ จ.เชียงใหม่ แล้วยังเป็นต้นกำเนิดของ “ ส้มสายน้ำผึ้ง ” และเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของ อ.ฝาง นอกจากนี้สวนส้มที่นี่ยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว สวนส้มเชียงใหม่ กันเป็นจำนวนมากต่อปี สวนส้ม สายน้ำผึ้ง ของเกษตรกรฝีมือดีคนหนึ่งที่มีกระบวนการดูแล สวนส้ม ให้ได้ผลผลิตทั้งปี ผลผลิตรวม 4,000-5,000 ตะกร้า สร้างรายได้อย่างงามภายใต้ประสบการณ์ที่ทำ สวนส้ม มานานกว่า 16 ปี

คุณอนงค์ ชุมภูทัน หรือ ป้านงค์  เกษตรกรชาวสวนส้มที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเกษตรกรต้นแบบที่เดินหน้าพัฒนาสวนส้มบนพื้นที่ 20 กว่าไร่ เน้นปลูกสายพันธุ์สายน้ำผึ้งและนัมเบอร์วันไว้ร่วม 1,000  กว่า ต้นส้ม เนื่องจากส้มทั้ง 2 สายพันธุ์ ซึ่งในช่วงแรกของการสร้างสวนส้มนั้นต้องลงทุนค่อนข้างมากทั้งเรื่องการเตรียมพื้นที่ การเตรียมต้นพันธุ์ การบำรุงดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 4 ปี ต้นส้ม จึงจะสามารถให้ผลผลิตได้

สำหรับ วิธีปลูกส้ม และการดูแลรักษา สวนส้ม ป้านงค์จะเน้น การปลูกส้ม ในระยะ 3×5 เมตร มีการวางระบบน้ำให้กับ ส้ม ทุกต้นแบบมินิสปริงเกลอร์ มีแหล่งน้ำที่สมบูรณ์เนื่องจากพื้นที่ของ อ.ฝาง มีแหล่งน้ำใต้ดินที่ตื้นกว่าที่อื่น หากต้นพันธุ์สมบูรณ์และมีการดูแลที่ดีจะทำให้ ต้นส้ม บางต้นออกลูกได้เป็นครั้งแรกเมื่อมีอายุตั้งแต่ 2 ปีเต็มขึ้นไป เพื่อฝึกให้ต้นส้มเรียนรู้ที่จะติดดอกออกผลผลิตได้และให้ผลผลิตได้ในปริมาณมากขึ้นเมื่อมีอายุครบ 3 ปี เน้นป้องกันเพลี้ยไฟทำลายยอดด้วยสารเคมีอิมิดาโคลพริดที่จะทำให้ต้นส้มแคระแกรนและไม่คอยโตได้ แต่ ต้นส้ม จริงๆแล้วจะเริ่มให้ผลผลิตได้เต็มที่ เมื่อต้นส้มมีอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไปที่สามารถเก็บผลผลิตขายในเชิงการค้าได้ทั้งรสชาติและคุณภาพผลผลิตที่ออกมาสู่ตลาด

ต้นส้มสายน้ำผึ้งที่ดูแลและจัดการสวนด้วยตนเอง
การปลูกส้ม สายน้ำผึ้ง

วิธีปลูกส้ม การดูแลและบำรุงรักษา ต้นส้ม จะมีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งปีหลังจากที่เริ่มเก็บผลผลิตได้ในครั้งแรก โดยจะเริ่มต้นจากการตัดแต่งกิ่งหลังจากฤดูการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยตัดแต่งกิ่งส้มจะเลือกกิ่งแขนงที่ไม่สมบูรณ์  ตัดกิ่งที่อ่อนแอ กิ่งที่มีใบน้อยทิ้งไปตัดยอดเพื่อให้ต้นส้มเตี้ยลง เน้นตัดแต่งกิ่งให้โปร่งประมาณ 4-5 ส่วน/ต้น เพื่อง่ายต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิต ประหยัดค่าแรงและแรงงานในการเก็บผลผลิต หลังตัดแต่งกิ่งได้ประมาณ 7 วันจะฉีดพ่นอาหารเสริมพืชเพื่อให้ต้นส้มเริ่มแตกตาดอก 3-5 วัน ก่อนที่ดอกจะบานใช้เวลาไม่ถึงเดือน เพราะดอกส้มจะออกเร็ว 3-5 วัน หลังดอกบานได้ประมาณ 5 วัน ดอกก็จะร่วง จึงต้องดูแลในส่วนนี้ให้มากกว่าช่วงที่เป็นผลอ่อนเพราะถ้าผลผลิตจะเสียก็จะเสียตอนออกดอกนี้เอง

ทางสวนจึงต้องดูแลให้ดีเป็นอย่างมากช่วงออกดอก เพราะช่วงออกดอกนั้นจะทำให้เกิดไรแดงได้ง่าย จึงต้องดูแลเป็นอย่างดี  หลังจากนั้นส้มจะเริ่มแตกใบอ่อนที่จำเป็นต้องรักษาใบอ่อนด้วยการใส่ปุ๋ยดิน ฉีดพ่นทางด้วยปุ๋ยเกล็ดและสาหร่ายจะช่วยให้ส้มมีใบและดอกที่แข็งแรงและสมบูรณ์ขึ้น มีการใช้สารเคมีป้องกันหรือกำจัดเพลี้ยไฟและไรแดงจำพวกที่ชอบเข้าทำลายใบอ่อน ดอกส้มและผลอ่อนของส้มอยู่เป็นประจำ การป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่าแก้ปัญหาภายหลังที่ทำได้ค่อนข้างยากลำบากกว่า  เน้นใส่ปุ๋ยคอกหรือขี้หมูที่ได้จากการเลี้ยงหมูขุนเอาไว้เพื่อให้ได้ขี้หมูใส่ต้นส้มทุกปี  ใส่ปุ๋ยอินทรีย์เม็ดเพื่อปรับสภาพดินให้ดี ใส่ปุ๋ยเคมีเพื่อบำรุงต้นและใบให้สมบูรณ์  มีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละ 15 นาที  จะทำให้ต้นส้มมีใบอ่อนที่สมบูรณ์เปลี่ยนเป็นใบแก่ที่พร้อมจะแทงช่อดอกออกมาเมื่อต้นส้มได้รับน้ำและได้สัมผัสกับอากาศที่เหมาะสม ก่อนบำรุงช่อดอกด้วยปุ๋ยคอก ฮอร์โมนและอาหารเสริมทางใบ ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 เพื่อบำรุงทางดินเดือนละ 1 ครั้ง เพราะส้มจะมีลักษณะการกินโดยใช้รากฝอยหากินลงไปไม่ลึกจากหน้าดิน การฉีดพ่นสารเคมีป้องกันเชื้อราและเพลี้ยไฟเข้าทำลายช่อดอกให้เสียหาย

“ถ้าดูแลใบให้ดี ดูแลช่อดอกให้ดีต้นส้มจะโตเร็ว เจริญเติบโตได้ค่อนข้างดี ส้มต้องตัดแต่งกิ่ง ทำทรงพุ่ม ถ้าไม่ตัดแต่ง กิ่งทรงพุ่มก็ไม่สวย ยอดใหม่ก็ไม่มี เพราะการตัดแต่งกิ่งจะทำให้เกิดยอดใหม่  เกิดใบใหม่ ส่วนใบแก่ก็จะร่วงทิ้งไปและเน้นทำช่อดอกให้มันดีที่สุด ช่วงช่อดอกสำคัญมากต้องดูแลให้ดี ”  ป้านงค์ให้เหตุผลและความสำคัญของการตัดแต่งกิ่ง

ผลผลิตที่เป็นของฝากชั้นดีให้กับทุกท่านและทีมงานนิตยสารเมืองไม้ผลและพืชสุขภาพ
ผลผลิตและราคา ส้มสายน้ำผึ้ง ทำให้ผลผลิตในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 4,000-5,000 ตะกร้า ในราคาเฉลี่ย 35 บาท/กก. มีรายได้หลายล้านบาทต่อปี ส่วนราคาในปีนี้คุณอนงค์บอกว่า น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว ผลผลิตคละไซซ์อยู่ที่ 40-50 บาท/กก.

ที่สำคัญ สวนส้มเชียงใหม่ แห่งนี้เน้นใช้แรงงานในครอบครัวซึ่งทิศทางการตลาดของ ส้ม ในอนาคตนั้นน่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งส้มฝางมี จุดแข็งคือให้ผลผลิตที่ดีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เกิดจากสภาพดินที่ดี มีพื้นที่เหมาะสม มีภูมิอากาศที่ดี ทำให้ต้นส้มติดดอกออกผลง่าย ให้ผลผลิตที่ดีทั้งรสชาติ สีสันและขนาดที่ดีกว่าที่อื่น ส่วนจุดอ่อนนั้นคงอยู่ที่การตลาดของที่นี่เกษตรกรต้องทำผลผลิตให้มีคุณภาพ ต้องวางแผน การปลูกส้ม และดูแลให้เหมาะสม  “คนบางคนมองว่าทำไมเรามี วิธีปลูกส้ม ทำส้มลูกใหญ่ ทำไมไม่ทำส้มลูกเล็ก แต่ป้าเป็นเกษตรกร ป้าก็ต้องทำส้มให้ลูกใหญ่ไว้ก่อน ถึงอย่างไรลูกเล็กก็ขายได้กิโลกรัมละ 20 บาท แต่ลูกใหญ่ขายได้กิโลกรัมละ 25 บาท ใช้แรงงานเราเองเพียงไม่กี่คนจะเก็บได้เพิ่มอีก 5 บาท” ป้านงค์ย้ำถึงจุดยืนในการปลูกส้ม ซึ่งข้อดีของการทำ สวนส้ม คือ ส้มให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี  สร้างเนื้อสร้างตัวได้ก็เพราะส้ม เพราะทำ สวนส้ม จึงมีวันนี้ได้และอยากฝากถึงเกษตรกรที่กำลังปลูกสวนส้มอยู่ว่า

“ใครที่ทำส้มอยู่ตอนนี้จะดี เพราะเดี๋ยวนี้อากาศเริ่มดีขึ้น แต่สมัยก่อนส้มแย่ แก้ปัญหาไม่ได้  แต่ในสมัยนี้เราแก้ปัญหาได้แล้ว ใครจะทำก็ทำได้ ใครจะ การปลูกส้ม ยินดีด้วย แต่ราคาคงจะไม่ตกต่ำเหมือนสมัยก่อน เพราะบางคนก็ท้อแท้แต่ผลผลิตอะไรที่เราทำด้วยตัวเองนั่นแหละมันจะดี และมั่นคงที่สุด ” ป้านงค์กล่าวในตอนท้าย

ขอบคุณที่มา https://goo.gl/e7RWvrเรียบเรียงโดย DPSNews

ฮือฮาปลูก”กล้วยมังกร” ฝังดิน รดน้ำทิ้งไว้ 2 เดือน พอเอาขึ้นมาผ่าทำเอาตะลึง!! จริงเหรอเนี่ย? (มีคลิป)


คลิปเด็ด มาอีกแล้วกับคลิปวิธีการปลูกผลไม้ที่เป็นการปลูกแบบผสม ซึ่งกำลังเป็นที่ยอดฮิตกันอยู้ในทุกวันนี้ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้นั้นมีคนปล่อยคลิปวิธีการปลูกกล้วยและกีวี่เข้าด้วยกันทำยอดวิวพุ่งสูงปรี๊ดไปถึง 100 ล้านกว่าวิว

และวันนี้เราก็มีอีกหนึ่งคลิปที่เกี่ยวกับการปลูก แต่เป็นการปลูกผลไม้สองชนิดเข้าด้วยกันนั่นก็คือ “กล้วยและแก้วมังกร” จากนั้นก็นำไปฝังดินรดน้ำปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2 เดือนจนรากงอกออกมา แล้วทำการผ่าดูซึ่งที่เห็นข้างในนั้นคือกล้วยที่มีการยัดไส้แก้วมังกรอยู่นั่นเอง

ชาวเน็ตเลยสงสัยว่าคลิปนี้จะเป็นคลิปที่ถูกทำขึ้นมาอีกแน่ๆ เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ที่กล้วยที่ถูกตัดไปแล้วนั้นจะออกมาเต็มลูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็จริงเพราะมันเป็นไปไม่ได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามคลิปนี้ก็สามารถทำยอดวิวพุ่งทะลุกว่า 5 ล้านวิว เป็นที่เรียบร้อยหลังจากปล่อยออกมาได้เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น

โดยทางเราได้สัมภาษณ์ไปทางเจ้าของเพจ “ครูซ่าส์ท้าเต้น” เจ้าของคลิปคนไทยที่สร้างคลิปนี้ขึ้นมา ซึ่งทางครูซ่าส์ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับทางเราว่าสาเหตุที่จัดทำคลิปนี้ขึ้นมานั้น ก็เพื่อสะท้อนสังคมให้กล้าคิด กล้าทำ ในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ อยากให้คนไทยมีความคิดสร้างสรรค์แปลกๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นการปลุกใจผู้คนอย่างหนึ่งให้กล้าลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั่นเอง” 

(คลิปนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแรงผลักดันให้คนกล้าคิดกล้าแสดงออก และความบันเทิงเท่านั้น!!)

ผ่าแก้วมังกรออก

ผ่ากล้วย

นำมาประกบกัน

รดน้ำฝังดิน

ปล่อยให้เป็นแบบนี้นานกว่า 2 เดือน

นำขึ้นมา

แล้วดูผลลัพธ์ที่ได้

alt=”” width=”600″ />

ชมคลิป

ขอบคุณที่มา https://helen.co.th/12634/

เคยเห็นไหม?? องุ่นบราซิล ลูกออกตามต้น!


องุ่นบราซิล, องุ่นต้น หรือ ฌาบูชีกาบา  เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ชมพู่ (Myrtaceae) เป็นไม้โตช้า ไม่ผลัดใบ เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา ใบเดี่ยว ใบอ่อนเป็นสีแดง แก่แล้วเป็นสีเขียว ดอกเป็นดอกช่อ สีขาว ผลมีลักษณะคล้ายองุ่น กลมรี ออกเป็นกระจุกแน่นตามลำต้น และกิ่งก้าน ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่เป็นสีม่วงเกือบดำ ลักษณะคล้ายผลตะขบไทย มีเมล็ดอยู่ข้างใน

ผลสุกใช้แปรรูปเป็นน้ำผลไม้ วิสกี้ ไวน์ และแชมเปญ และรับประทานสดเป็นผลไม้ในตลาดบราซิล นิยมรับประทานสด ใช้ทำแยม ทาร์ต พบสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านมะเร็งในผล

ชื่อองุ่นต้นบราซิล เป็นไม้ยืนต้น เนื้อแข็ง สูง 10-15 เมตร ลำต้นใหญ่ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเทา  แตกกิ่งก้านต่ำเป็นพุ่มกว้าง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ เป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ใบดกให้ร่มเงาดีมาก โดยเฉพาะตอนแตกใบอ่อน ใบจะเป็นสีแดงสดก่อนเปลี่ยนเป็นสีเขียวทำให้ดูงดงามสดใสยิ่งนัก นักเลงบอนไซในบ้านเรานิยมนำเอาต้นไปทำเป็นไม้แคระ หรือบอนไซสวยงามมาก “องุ่นต้นบราซิล” จริงๆว่าเปรี้ยวปนหวาน มีเนื้อหุ้มเมล็ด 1 เมล็ด แบบฉ่ำน้ำชุ่มคอดีมาก ซึ่งเพื่อนได้บอกอีกว่า “องุ่นต้นบราซิล” ปลูกแล้วโตเร็ว ติดผลดกมาก สามารถเก็บผลไปแปรรูป ทำน้ำผลไม้ หมักทำเหล้าวิสกี้ ไวน์ และ แชมเปญ ได้คุ้มค่า และมีผลทั้งปี จึงนำเสนอในคอลัมน์อีกครั้งตามระเบียบ

องุ่นต้นบราซิล เป็นไม้ยืนต้น เนื้อแข็ง สูง 10-15 เมตร ลำต้นใหญ่ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเทา แตกกิ่งก้านต่ำเป็นพุ่มกว้าง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ เป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ใบดกให้ร่มเงาดีมาก โดยเฉพาะตอนแตกใบอ่อน ใบจะเป็นสีแดงสดก่อนเปลี่ยนเป็นสีเขียวทำให้ดูงดงามสดใสยิ่งนัก นักเลงบอนไซในบ้านเรานิยมนำเอาต้นไปทำเป็นไม้แคระ หรือบอนไซสวยงามมาก

ดอกเป็นสีขาว ออกตามลำต้นและกิ่งก้าน ดอกเป็นฝอยๆ หรือเป็นพู่คล้ายดอกพู่จอมพล เวลามีดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูแปลกมาก “ผล” เป็นรูปทรงกลม ผลโตเต็มที่ประมาณผลตะขบป่า หรือประมาณปลายนิ้วหัวแม่มือผู้ใหญ่ ผลสุกเป็นสีม่วง หรือ ม่วงดำ คล้ายสีของผลหว้า แต่เปลือกของผล “องุ่นต้นบราซิล” จะเหนียวและหนากว่า เวลารับประทานเนื้อในต้องใช้ เล็บจิก หรือฉีกให้เปลือกขาดจึงจะกินได้ เนื้อในเป็นสีขาวหุ้มเมล็ด เป็นปุยเหมือนเนื้อของกระท้อน รสชาติเปรี้ยวนำปนหวานนิดๆคล้าย รสชาติของผลหว้าอร่อยมาก เวลาติดผลจะเป็นพวงหรือเป็นกลุ่มกระจายตามลำต้นและกิ่งก้านน่าชมยิ่ง เหมือนกับไข่ปลาหรือไข่กบสีดำติดกระจายอยู่บนต้นไม้แปลกมาก ดอกและผลมีตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอนกิ่ง

องุ่นต้นบราซิล ยังมีสรรพคุณทางสมุนไพรด้วย โดยในประเทศบราซิลถิ่นกำเนิดของต้นไม้ชนิดนี้ ใช้ เปลือกหรือผิวของลำต้น ไปทำยารักษาโรคหืด โรคท้องร่วง และ ลดการอักเสบเรื้อรังของต่อมทอนซิลได้ดีมาก (วิธีรับประทาน ใช้ต้มน้ำดื่มกะจำนวนไม่มากนัก ดื่มวันละหลายครั้ง) และจากสรรพคุณดังกล่าว “องุ่นต้นบราซิล” จึงเป็นไม้น่าปลูกเป็นอย่างยิ่งครับ.


ปลูกองุ่นริมรั้ว ปลูกในเมืองได้ ง่ายนิดเดียว ผลผลิตเป็นกอบเป็นกำ!!!


การปลูกองุ่นริมรั้ว นอกจากจะมีผลผลิตให้ได้ทาน หรือสร้างรายได้แล้ว ยังเป็นความเพลิดเพลิน และสร้างความร่มเย็นให้กับบริเวณบ้านอีกด้วย สำหรับการปลูกองุ่นริมรั้ว เริ่มจาก การหาทำเลที่ปลูกภายในรั้วบ้าน ซึ่งองุ่นต้องการแสงแดดส่องอย่างน้อยครึ่งวัน หากปลูกในที่ร่มองุ่นจะไม่ออกผลหลังจากนั้น หากิ่งพันธุ์องุ่น เลือกปลูกพันธุ์ที่ทนต่อสภาพอากาศร้อน และทนต่อโรคได้ดี และควรมีใบสวยงาม การปลูกตามบ้านเรือนมักจะมีปัญหาเรื่องพื้นที่จำกัด มีพื้นที่ให้องุ่นเลื้อยน้อย ดังนั้นควรเลือกพันธุ์ที่มีข้อสั้น คือมีระยะห่างระหว่างใบน้อย หากเป็นพันธุ์ข้อยาวจะเลื้อยออกนอกค้างเร็วมาก

การเตรียมพื้นที่ปลูก เช่น หลุมปลูก หรือกระถางต้นไม้ก็ได้ แต่ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องพื้นที่ควรปลูกลงดินเพราะในดินมีแร่ธาตุอาหารมาก ทำให้ง่ายต่อการดูแล ลืมรดน้ำก็ไม่ตาย ไม่ใส่ปุ๋ยให้มันก็หาดูดเอาจากในดิน หากปลูกลงกระถางจะต้องดูแลมาก หากปลูกลงดินควรเตรียมหลุมปลูกโดยขุดดินเดิมออกมาก่อน ขุดให้ได้ขนาดหลุม กว้าง 2 คืบ ลึก 2 คืบ ใส่ปุ๋ยคอกรองที่ก้นหลุมเยอะๆ จากนั้นนำดินดีผสมกับปุ๋ยคอกเททับลงไป นำต้นกล้าวางลงแล้วกลบด้วยดินดีผสมปุ๋ยคอก รดน้ำให้ชุ่ม ไม่ต้องทำร่มให้ต้นกล้า ช่วงแรกรากยังน้อยดูดน้ำไม่เก่งควรรดน้ำปล่อยๆ ทั้งเช้าและเย็น

ระยะแรกที่ปลูก ถ้ายังไม่พร้อมทำค้าง(ซุ้ม) ให้มันเลื้อย ให้ใช้ไม้ปัก หรือใช้เชือกขึงให้องุ่นไต่ขึ้นไปแทน หากมีค้างแล้วก็ผูกเชือกไปที่ค้าง เมื่อเลื้อยขึ้นร้านได้แล้ว ให้ตัดแต่งกิ่งก้านให้สวยงามตามทิศทางที่ต้องการ อย่าเพิ่งเร่งให้ออกผล เมื่อต้นองุ่นสมบูรณ์แล้ว ให้ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอธรรมดาอย่าง 15-15-15 หรือสูตรที่ดีกว่านี้ ก็สามารถติดดอกออกผลได้ กิ่งองุ่นจะออกดอกติดผลพร้อมกัน ผลสุกในเวลาไล่เลี่ยกันให้จัดสรรผลผลิตให้ดีๆ หากปลูกเพื่อความเพลิดเพลินไม่ได้เชิงพาณิชย์ ก็สามารถนำไปแบ่งเพื่อนบ้าน หรือแจกจ่ายญาติพี่น้องได้

ที่มา:  https://news.mthai.com/economy-news/453403.html เรียบเรียงโดยDPSNews

10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน มีอะไรบ้างมาดูกัน


วันนี้DPSNews จะพาเพื่อนๆไปพบกับเรื่องของ 10 ข้อที่ควรรู้เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ว่าต้องควรปฎิบัติอย่างไรซึ่งหลายๆท่านอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อน และหากมีการปฎิบัติที่ผิดขั้นก็อาจจะมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดตามมาได้เช่นกัน เดี๋ยวเราไปชมกันเลยครับกับเกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันนี้

เรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนนั้นถือว่า มีประโยชน์อย่างมากในการทำตาม เพราะถ้าหากมีการปฎิบัติที่ไม่ถูกต้องก็อาจจะส่งผลตามมาได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนมีดังนี้

1.ควรหยุดรถทันที

ควรทำการหยุดรถทันทีเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็ตาม และไม่ควรเคลื่อนย้ายรถหากว่ายังไม่ได้มีการตกลงกันในเรื่องอุบัติเหตุว่าใครเป็นผู้ที่ผิด ทางทีดีควรรอจนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาตีเส้นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุในที่เปลี่ยวก็ควรที่จะเลื่อนรถไปจอดในที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันการถูกจี้ปล้นในที่เปลี่ยว

2.อย่าพูดขอโทษ

เรื่องของการพูดขอโทษเมื่อเกิดอุบัติเหตุถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแต่การพูดขอโทษในบางครั้งอาจจะเป็นการยอมรับว่าคุณได้เป็นฝ่ายกระทำผิด ซึ่งอาจจะทำให้เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

3.ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

เมื่อเกิดอุบัติเหตุควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณให้ละเอียด แก่ประกันภัยของคู่กรณีหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ

4.ขอข้อมูล
หลังจากที่เราได้ให้ข้อมูลดังกล่าว ไปแล้วเราก็ควรข้อข้อมูลรถคู่กรณีด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากคู่กรณีไม่ให้ข้อมูล ก็ควรจดเลขทะเบียนและรูปพรรณของรถเอาไว้

5.แจ้งตำรวจ
เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะเล็กหรือน้อย ก็ตามควรที่จะแจ้งตำรวจทุกครั้งหากเกิด อีกฝ่ายนึงไปแจ้งความภายหลังคุณอาจจะกลายเป็นผู้ที่หลบหนีได้ จะทำให้เป้นฝ่ายผิดทุกกรณี

6.หาพยาน

ซึ่งพยานนั้นสามารถหาได้จากบริเวณดดยรอบที่เกิดเหตุ หากเขายินยอมเป็นพยานก็ควร ขอ ชื่อ-ที่อยู่ไว้เพื่อทำการติดต่อ

7.ไปโรงพยาบาล
หากสงสัยว่าเกิดอาการบาดเจ็บ ควรไปหาหมอเพื่อทำการตรวจร่างกาย แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้การเรียกร้องค่าเสียหายนั้นยากขึ้น

8.ต้องรีบแจ้งความ
เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตต้องรีบแจ้งความทันที เพราะบริษัทประกันภัยจะไม่มีการับใบแจ้งความย้อนหลัง

9.ตกลงเรื่องค่าเสียหายให้ดี
เมื่อเจ้าหน้าที่ประกันภัยมาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จะแนะนำคุณในเรื่องของค่าเสียหายว่าจะให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้ชดใช้หรือจะรับผิดชอบเองเพราะในบางกรณีนั้น ที่ให้บริษัทประกันภัยเป้นผู้ชดใช้อาจจะสงผลให้ค่าเบี้ยประกันเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัทประกันภัย แต่ถ้าหากเป็นผู้ชดใช้เองจะทำให้เสียเงินน้อยกว่า ค่าเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้น

10.อย่ารีบรับข้อเสนอ

          เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หากอีกฝ่ายเป็นผู้ยอมรับผิดอย่าพึ่งรีบรับขอสนอให้ทำการยอมความ เพราะถ้าหากเกิดบาดเจ็บแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน จะทำให้เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ยาก
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันที่ทางทีมงานได้นำมาให้เพื่อนๆได้ชมกันเกี่ยวกับเรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ซึ่งเพื่อนๆสามารถนำไปใช้ได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ขอบคุณที่มา http://car.boxzaracing.com/knowledge/5783 เรียบเรียงโดยDPSNews