“ใบเตย เพลงที่มีงู”โดนโจ๋ฮือปาน้ำแข็งหน้าบนเวที ‘ดีเจแม็กกี้’ ถูกตื้บซ้ำคาผับดัง(มีคลิป)

วันที่ 26 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนพัฒน์ นุชเทศ หรือดีเจแม็กกี้ เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนและ “น้องใบเตย” เจ้าของท่าเต้นสุดฮิตโลกโซเชี่ยล “เพลงที่มันมีงูออกมา” ถูกทำร้ายร่างกายที่ผับแห่งหนึ่งย่านวังทองหลาง ขณะนี้ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีแล้วโดย นายธนพัฒน์ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของใบเตย เผยว่า “ผมเองก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดครับ เรื่องเกิดจาก ใบเตยเต้นอยู่บนเวทีอยู่ดีๆ โดนกลุ่มผู้ชายเอาน้ำแข็งก้อนใหญ่ปาใส่ทั้งหัว ทั้งหน้า ทั้งท้อง จนต้องเต้นไปด้วยเอามือปิดหน้าไปด้วย เพราะโดนน้ำแข็งปา กลุ่มผู้ชายที่ทำร้ายไม่พอใจที่ผมไปต่อว่า เลยพาพวก 6 คนขึ้นมารุมผมบนบูทดีเจ ต่อหน้าคนอีก 500 คนในร้าน ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นกันหมดทุกคน คลิปจากหลายร้อยคนที่ถ่ายอยู่ในตอนนั้นมันมี ขอให้ทุกๆ อย่างเป็นไปตามความยุติธรรมแล้วกันครับ ใครที่มีคลิปกรุณาส่งให้ผมทุกคลิปที”

ทั้งนี้ นายธนพัฒน์หรือ ดีเจแม็กกี้ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว “ข่าวสด” ว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.30 น. ของวันนี้ ขณะที่ตนกำลังทำหน้าที่เป็นดีเจที่ผับแห่งหนึ่ง และน้องใบเตยกำลังเต้นอยู่บนเวที มีกลุ่มชายประมาณ 5-6 คน ปาน้ำแข็งก้อนขึ้นมาบนเวทีโดนตัวใบเตยจนแทบล้มจากเวที โดยใบเตยยังเต้นต่อไปแต่เอามือมาปิดไว้ไม่ให้โดนใบหน้า เมื่อตนเห็นท่าไม่ดีจึงประกาศผ่านไมค์ว่า ให้การ์ดจับตัวเอาไว้

ใบเตย

ดีเจแม็กกี้กล่าวต่อว่า “พอพูดเสร็จ กลุ่มนั้นก็ยกพวกขึ้นมาบนเวทีมาทำร้ายผม ดีเจคนอื่นที่เข้ามาห้ามก็โดนลูกหลงด้วย จนมีการ์ดเข้ามาแยกผมจากชายกลุ่มนั้น” ดีเจคนดังเล่าต่อว่าระหว่างถูกทำร้าย ชายกลุ่มนี้ได้พูดขึ้นด้วยว่า “กูใหญ่พอตัวละกัน แจ้งตำรวจไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครทำอะไรกูได้” จากนั้นการ์ดจึงนำตัวตนขึ้นรถและตนได้ไปแจ้งความทันทีที่ สน.วังทองหลาง

 

ดีเจแม็กกี้
ทั้งนี้ ดีเจแม็กกี้ ยืนยันว่า ไม่เคยมีปัญหากับใครมาก่อน และไม่รู้จักคนกลุ่มนี้ แต่จะอย่างไรก็ตามไม่ควรทำร้ายผู้หญิง ตอนนี้ทั้งตนและน้องใบเตยรู้สึกไม่ปลอดภัย และตอนนี้จะหยุดงานไปสักพักก่อนจะมีความคืบหน้าอื่นๆ ต่อไป

ดูคลิป!

สุดยอด! ปลูกลองกองแบบเกษตรอินทรีย์


วันนี้DPSNews จะมานำเสนอเกี่ยวกับการปลูกลองกอง เทคนิคการปลูกลองกองแบบเกษตรอินทรีย์ ได้กระปุกยาว ผลดก ราคาดี

การเลือกต้นพันธุ์ลองกองที่จะนำมาปลูก

ต้นกล้า (จากการเพาะเมล็ด) ควรคัดเมล็ดจากต้นแม่พันธุ์ที่มีทรงพุ่มแข็งแรง ออกดอก สม่ำเสมอ ผลดกมีรสชาติดี

ต้านทานต่อโรคและแมลงซึ่งการปลูกด้วยต้นเพาะเมล็ดจะให้ผลผลิตช้ากว่า การขยายพันธุ์แบบไม่ใช้เพศ

ต้นพันธุ์ที่ได้จากการขยายพันธุ์ไม่อาศัยเพศ

* การทาบกิ่ง โดยใช้ต้นตอลางสาดหรือดูกู ซึ่งนิยมใช้ วิธีการทาบกิ่งแบบฝานบวบแปลง

* การเสียบกิ่งมี 2 แบบ การเสียบข้าง และการเสียบยอด ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน ใช้ต้นตอเป็นลองกอง

* การติดตา (Budding)

* ต้นกล้าที่ปลูกควรมีอายุ 1-1.5 ปี และควรมีใบแก่ทั้งต้น เพราะจะทำให้ ลองกองสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี

* หลังจากปลูกแล้วควรทำร่มเงาพรางแสง และควรคลุมโคนต้นด้วยเศษ หญ้าหรือใบไม้

* การเลือกพื้นที่ปลูกควรเป็นดินร่วนระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ท่วมขัง

* ระยะปลูกที่เหมาะสม 4×6, 6×6 และ 6×8 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่นั้น ๆ แต่แนวแถวควรอยู่ในแนวทิศเหนือ-ใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงการบังแสงจากต้นข้างเคียง

ขั้นตอนการปฏิบัติในสวนลองกอง

การปลูกและการดูแลรักษาลองกองก่อนออกดอก

การเตรียมพื้นที่ปลูก

เลือกพื้นที่ปลูก ควรเป็นพื้นที่ราบ น้ำไม่ท่วมขัง ดินเป็นดินร่วน ระบายน้ำได้ดี
กำหนดระยะปลูกที่เหมาะสม 4×6 เมตร หรือ 6×6 เมตร หรือ 6×8 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่
วางแผนเกี่ยวกับการวางระบบน้ำ

การเตรียมต้นเพื่อปลูกและช่วงเวลาควรปลูก

ควรใช้ต้นกล้าที่มีอายุ 1-1.5 ปี และมีใบแก่ทั้งต้น
เลือกต้นที่แข็งแรง สมบูรณ์
ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
ทำร่มเงาพรางแสงหลังจากปลูก

การตัดแต่งกิ่งเพื่อสร้างทรงพุ่ม

ต้นลองกองหลังจากปลูก ตัดยอดเมื่อต้นสูงประมาณ 1.-1.5 เมตร

ตัดกิ่งที่ไม่ต้องการ รวมทั้งส่วนยอดที่สูงกว่า 1.5 เมตร ออก

เลือกกิ่งแขนงที่แข็งแรง 4 -6 กิ่ง กิ่งที่อยู่ต่ำสุดควรสูงจากพื้นดิน 80 เซนติเมตร

เลือกกิ่งที่ทำมุมกว้าง ตัดแต่งให้ทรงพุ่มโปร่ง และตัดกิ่งที่ทำมุมแคบกับลำต้นออก

ตัดกิ่งยอดและกิ่งกระโดงที่แตกขึ้นมาใหม่

กำหนดแนวทรงพุ่มให้อยู่ในกรอบของ 4 เมตร หรือแนวทรงพุ่มที่ต้องการ

 

การให้น้ำ

– การให้น้ำปีแรกที่ปลูกควรให้อย่างสม่ำเสมอ เมื่ออายุ 2-3 ปี ควรให้สัปดาห์ ละ 2 ครั้ง

การให้ปุ๋ย (ปุ๋ยอินทรีย์หรือน้ำหมักชีวภาพ)

ใช้ มีเฮ น้ำหมักชีวภาพ ได้ตั้งแต่เริ่มบำรุงต้น (ปลูกใหม่หรือหลังเก็บเกี่ยว) ใบ, เตรียมตาดอกและให้ผล โดยผสมมีเฮ 1 ลิตรต่อน้ำ 1,000 ลิตร ฉีดพ่นทั้งใบ, ต้น และลงดิน บริเวณทรงพุ่มเป็นประจำ โดยใช้ 10-15 วันต่อ 1 ครั้ง แล้วให้น้ำตาม หรือ ราดมีเฮลงบริเวณทรงพุ่มขณะให้น้ำต้นละ 20-30 ซีซี

การตัดแต่งช่อดอก

 

ตัดช่อดอกครั้งแรกเมื่อช่อดอกยาว 3-5 เซนติเมตร เหลือ 1-2ช่อดอกต่อ กลุ่มตาดอก

ตัดแต่งระยะห่างช่อดอก 20-30 เซนติเมตร

อัตราช่อดอกต่อกิ่ง

– เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ไว้ดอก 3-5 ช่อ

– เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว ไว้ดอก 10-15 ช่อ

ขอบคุณที่มา https://goo.gl/KmjUoT เรียบเรียงโดยDPSNews

15 เรื่องน่ารักๆ ของหมอปลาวาฬ “ในไทบ้านเดอะซีรีย์”


วันนี้DPSNews จะพามาดูนางเอกสาวตัวเล็ก ยิ้มหวาน จากภาพยนตร์ที่หลายๆคนชอบดู “ไทบ้านเดอะซีรีย์” กับบทบาทคุณหมอปลาวาฬ สาวเรียบร้อย พูดน้อยแต่กลับผิดหวังในเรื่องของความรัก หลายคนคงอยากจะรู้จักสาวน้อยคนนี้แล้วว่าเป็นใครมาจากไหน เราไปรู้จักตัวตนของ “ฟิฟิม-สิริอมร อ่อนคูณ” ให้มากขึ้นกันดีกว่า 

รู้จักกับ คุณหมอปลาวาฬ “ไทบ้านเดอะซีรีย์”

ประวัติส่วนตัว คุณหมอปลาวาฬ

ชื่อ : ฟิฟิม-สิริอมร อ่อนคูณ

กำลังศึกษา : ชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาการสารสนเทศ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

เกิดวันที่ :  21 พฤษภาคม 2539 เป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด

ส่วนสูง : 165 ซม.

น้ำหนัก : 44 กก.

อาชีพในฝัน : จริงๆ แล้วฟิฟิมฝันอยากฝันเป็นหลายอาชีพมากเลยค่ะ แต่ว่าตอนนี้ฟิฟิมอยากจะทำอาชีพนักแสดงให้ดีที่สุดเสียก่อนค่ะ

งานอดิเรกสุดโปรด : ชอบดูภาพยนตร์ค่ะ

เป้าหมายในอนาคต : อยากมีฐานะที่มั่นคง สามารถเลี้ยงครอบครัวได้

คติประจำตัว : สติ

ผลงาน : ภาพยนต์ไทบ้านเดอะซีรีย์

15 เรื่องน่ารักๆ ของ “ฟิฟิม สิริอมร” นางเอกสาวจาก “ไทบ้านเดอะซีรีย์”

1. สเป็ค ชอบผู้ชาย สูง ยิ้มน่ารัก ตลก ใส่ใจ กวนนิดๆ ไม่เจ้าชู้

2. สิ่งที่อยากทำกับเพื่อน คืออยากไปทะเล เล่นสกีน้ำ ตีบอลเล่ย์ ริมทรายหาด กับแก๊งค์เพื่อนสาว

3. วิชาที่ชอบ ชอบวิชาที่ได้ลงพื้นที่ปฏิบัติงานจริงๆ แต่ที่ไม่อยากเรียนเลยสักนิดคงเป็นวิชาภาษาอังกฤษ

4. เรื่องโก๊ะ จำได้ขึ้นใจเลยค่ะ ตอนนั้นเราไปเรียนช้าเลยรีบวิ่งกับเพื่อนเข้าไปในห้องเรียน แล้วค่อยๆ เดินแบบรีบมุดหลบชิดมุมผนังห้องไป ดันหัวชนกับกล่องไฟดังตุ๊มมม!! คือคนเยอะมาก หัวเราะกันทั้งห้อง ขำทั้งคลาสเรียน ทั้งตลกตัวเอง ทั้งเจ็บตัว ทั้งอาย

5. ความรัก รักแรกพบ? ไม่เคยมีรักแรกพบ แฟนแต่ละคนไม่ใช่คนที่เจอกันปุ๊บเฮ้ย! ชอบคนนี้รักคนนี้เลย ไม่เคยมีเลยค่ะ ส่วนมากเขาเข้ามาคุยเอง หรือไปหาหยอกๆ หยอดๆ เล่นๆ ขำๆ จุดเริ่มต้นของความรักฟิฟิมต้องศึกษากันก่อน ไม่ใช่มองตาแล้วรักกันเลย

6. จำได้ว่าในสมัยก่อนนะคะ เราก็จะแอบเจ้าชู้หน่อย คุยเล่นไปเรื่อยๆ ไม่ใส่ใจใครสนใจใครมาก แต่เชื่อมั้ยคะ เวลาตกลงคบใครฟิฟิมต้องอดทนสูงนะ จะดูไปเรื่อยๆ คบไปเรื่อยๆ ดูว่าใครคนไหนจะมีความอดทนมาก อดทนน้อย “ระยะเวลาเป็นตัวช่วยสำคัญในการคบกันนะคะ”

7. มีเหตุการณ์ที่จำฝังใจที่สุดๆ คงเป็นพี่จับไปประกวด BG หนุ่มสาวร้อยเอ็ด คือเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยนะคะ ที่จะไปประกวด ความสามารถอะไรก็ไม่ได้เตรียม ช่วงโชว์ความสามารถเราไปยืนโชว์เต้นหลีดซะงั้น ท่าเต้นกับเพลงมันตลกมากเลยนะคะ ที่ไม่คาดฝันมาก่อนคงเป็น ฟิฟิลม์ชนะเลิศของการประกวด

8. ที่เที่ยวหน้าร้อน อยากไปอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา อยากไปทะเลสวยๆ ไปกับเพื่อนๆ กับครอบครัวไปเล่นน้ำทะเลดับร้อนกัน คงจะสนุกมากเลยนะคะไปช่วงหน้าร้อนแบบนี้

9. เป็นคนขี้เหงามาก ติดเพื่อนมากๆ ถ้ามีแฟนก็ติดแฟนมากๆ ไม่ให้ห่างเลย กลัวไม่มีใครสนใจ กลัวไม่มีใครคุยด้วยค่ะ

10. ชอบเวลาแฟนเซอร์ไพรส์ ที่ผ่านมาล่าสุดคือช่วงวาเลนไทน์ค่ะ ปลื้มมากประทับใจที่สุด ก็ไม่มีอะไรมากนะคะ แค่อ้อนเเฟนให้ทำกับข้าวให้กิน ทำตัวเหมือนลูกแมวต้องมีเเม่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ วันนั้นฟิฟิมมีความสุขมากจริงๆ เลยค่ะ

11. เรื่องงานเป็นยังไงบ้าง? ตอนนี้มันเหนื่อยเกินจะรับไหว แต่เราเป็นผู้หญิงทึก ฮึด แข็งแรงแค่นี้สบายมากสำหรับเราค่ะ

12. ครอบครัวมีพี่น้องสองคนค่ะ เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ฟิฟิมเป็นคนโตค่ะ

13. อาชีพในฝัน คิดว่าในอนาคตอยากทำงานรับราชการเหมือนคุณแม่ค่ะ อยากทำงานกับแม่ค่ะ เป็นผู้คุมกรมราชทัณฑ์

14. ครูในดวงใจ ชื่อคุณครูอัญชัญ สอนนาฎศิลป์ อยู่ รร.สตรีศึกษา จ.ร้อยเอ็ด

15. เวลาว่างสิ่งที่ฟิฟิมชอบที่สุด คงเป็นการได้มารวมตัวกันครบกับแก๊งค์เพื่อนๆ นั่งเมาท์ ชวนกันเล่นเกมหาของกินอะไรอร่อยๆ ตกตอนกลางคืนก็ชวนกันดูหนังผีกอดกันตัวกลมเพราะกลัวพี่ด้วยกันทั้งกลุ่มมันน่าสนุกดีนะคะ

 

รวมภาพความน่ารักของฟิฟิม ในชุดนักศึกษา

ขอบคุณที่มา http://campus.campus-star.com/star/32167.html

เรียบเรียงโดย DPSNews

“จั๊กจั่น อคัมย์สิริ”น้ำตาคลอ! เปิดใจครั้งแรกหลังไม่ต่อสัญญาช่อง 7(ดูคลิป)


หลังจากที่ทางช่อง 7  ร่อนจดหมายด่วน ระบุว่านางเอกสาว  “จั๊กจั่น อคัมย์สิริ สุวรรณศุข”  ได้สิ้นสุดสัญญาการเป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 7 แล้ว ซึ่งกลายเป็นข่าวฮือฮา  ล่าสุด   “จั๊กจั่น อคัมย์สิริ ” ออกมาเปิดใจครั้งแรก  ผ่านรายการ “สนามบันเทิง ” ซึ่งบรรยากาศในห้องส่งวันนั้น พี่น้องนักข่าวมารวมตัวกันมากมาย โดยเฉพาะรายการเส้นทางบันเทิง ทีมกล้องและพีอาร์ หลั่งน้ำตามาบอกลากันเป็นครั้งสุดท้าย 

โดยผู้จัดการส่วนตัวสาวจั๊กจั่นเผยว่า คนดูทางบ้านอาจจะงงว่าทำไมจั๊กจั่นตาแดงก่ำ ตาบวมตอนให้สัมภาษณ์ แต่ทุกคนที่อยู่ในห้องส่งสตูฯ7วันนี้คงเข้าใจดี เริ่มตั้งแต่ทีมงานแจ้งว่าจะเตรียมสถานที่ให้จั่นเปิดใจพร้อมทำแบคดร็อปไว้ให้ น้องๆเส้นทางบันเทิงบอกจะตั้งแถวรอคุณแม่จั่นกัน จนตอนเช้าตรู่ที่พาจั่นไปนั่งแต่งหน้าทำผมที่ตึก 1 หลายคนแวะเข้ามาจั่นในห้องแต่งตัวแต่เช้า เดินโอบเดินจูงจั่นไปเข้ารายการที่สตู7 ทีมงานมายืนรอกันจริงๆ มากันทั้งแผนกแม้กระทั่งหัวหน้าอย่างพี่จุ๋ม พี่ยุ้ยปาป้าก็มา มาโอบมากอดบอกลาจั่น แบบนี้ใครมันจะทนได้ล่ะ? สารภาพจากใจว่า รู้ว่าเรารักกัน แต่ไม่คิดว่าจะทำให้ประทับใจและซาบซึ้งใจได้ขนาดนี้ ขอบคุณทุกความรู้สึกดีๆ ทุกความเป็นครอบครัวที่ชาว 7 สีมีให้ชะนีน้อยนะคะ ประทับใจมากจริงๆ❤️❤️ อาติดแท็กไม่ครบก็ช่วยๆกันแปะนะ ขอบอกลาก้อย แก้ว โตโต้ด้วยนะคะ วันนี้ไม่ได้เจอกัน …. #จนกว่าจะพบกันใหม่

ทั้งนี้จั๊กจั่น เผยเหตุผลของการไม่ต่อสัญญาว่า  “อยู่ในวงการมา 15 ปี  ทำงานที่ช่อง7 เกือบ10 ปีแล้ว   อาชีนักแสดง ต้องมีอาชีพเสริมควบคู่ เพราะอาชีพนักแสดง เป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง เลยมาทำธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งทำมา2 ปีแล้ว ธุรกิจนี้ เป็นธุรกิจที่ช่วยทำการตลาด ช่วยโปรโมทสินค้า ออกสื่อพรีเซ้นท์สินค้าที่รับมา โดยต้องออกโปรโมทตามช่องต่างๆ  ด้วยความที่เป็นนักแสดงช่อง7 และโลโก้ดาราช่อง7 ค่อนข้างชัด ก็เลยเกรงใจช่อง7 หากต้องไปโปรโมทสินค้าที่ช่องอื่น  และที่สำคัญช่องอื่นๆ ก็ไม่สะดวกใจที่จะให้ดาราช่อง7 เข้าไปโปรโมท ก็โดนปฏิเสธมาหลายครั้ง การตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับช่อง7 เป็นเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรในใจแน่นอน  ยังจำวันแรกที่มาทำงานที่ช่อง7  ได้ตอนนั้น เรื่องแรก สู่แสงตะวัน ยังจำบรรยากาศเก่าๆได้   จั่นไม่เซ็นต์กับช่องไหนแล้ว ถ้าไม่ใช่ช่อง7 เป็นนักแสดงอิสระ ต้องขอบคุณผู้จัดละครหลากหลายค่ายที่ติดต่อมาหลังจากมีข่าวว่าตนไม่ต่อสัญญาเผยแพร่ไป ถ้าช่อง7 มีงานอะไรให้รับใช้ ติดต่อมาจะพิจารณาช่อง7เป็นที่แรก “

ชมคลิป

ข้อมูลจาก : http://www.thaijobsgov.com/jobs/137550 

เรียบเรียงโดย DPSNews

เลี้ยงปูนา แบบง่ายๆสบายรายได้ดี วิธีการเลี้ยงปูนาในบ่อปูน


ปูนาเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับเราคนไทยมาช้านานน่ะค่ะ เพราะว่าปูนาหาง่ายในสมัยก่อน และในปัจจุบันเมนูของปูนาก็มีมากมายที่หลายๆท่านนำมาทำเป็นอาหาร ทั้งต้ม,ปี้ง,ย่าง หรือเมนูที่ผู้เขียนโปรดปรานก็จะเป็นยำปูนาใส่มะม่วงรสแซ่บๆเผ็ดๆพูดมาแล้วน้ำลายไหลเลยค่ะ ปูนาทุกวันนี้ไม่ได้อยู่แต่ในนาเหมือนชื่อแล้วล่ะค่ะ ทุกวันนี้มีการเพาะเลี้ยงปูนาไว้เป็นอาหารและก็ทำเป็นอาชีพกันมากมาย ผู้เขียนก็เลยมีเคล็ดลับและวิธีการเลี้ยงปูนาแบบง่ายๆ วิธีการเลี้ยงปูนาในบ่อปูน หรือเลี้ยงปูนาในบ่อดิน เลี้ยงในบ้านที่มีพื้นที่น้อยๆมาฝากกันครับ

ในอดีตตั้งแต่สมัยยังเด็กๆของผู้เขียนหรือผู้อ่านหลายท่านที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด จะคุ้นเคยกับปูนาตัวเล็กๆที่พ่อแม่เก็บมาจากไร่จากสวนจากทุ่งนามาฝาก เอามาปี้งย่างหรือเอามาดองเก็บไว้ใส่ส้มตำก็แซ่บน้ำตาไหลเลยล่ะค่ะ คิดถึงแล้วก็นึกถึงวันวาน

ในปัจจุบันปูนาที่อยู่ในท้องนาจริงๆก็ยังมีให้เห็นน่ะค่ะ แต่ว่าจะน้อยกว่าแต่ก่อนนิดหน่อยเพราะว่าเจอสารเคมีจากปุ๋ยหรือเจอยาปราบศัตรูพืชบ่อยๆก็ลดน้อยถอยลงไปบ้าง ปัจจุบันก็มีชาวบ้านหรือเกษตรกรที่มีพื้นที่ได้ปรับพื้นที่ทำการเพาะพันธ์ุเลี้ยงปูนาเพื่อจำหน่าย และราคาะปูนาก็น่าสนค่ะ เพราะปูนาเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่องจึงไม่เป็นที่น่าห่วงสำหรับผุ้เพาะเลี้ยงว่าจะไม่มีตลาดรองรับ ทั้งขายแบบปูนาเป็นๆ หรือจะดองเป็นปูดองไปขายก็ได้ราคาเพิ่มขึ้่นอีก


สำหรับท่านที่มีพื้นที่น้อย หรืออยากลงทุนเลี้ยงปูนาแบบไม่ใช้ต้นทุนสูงมากนักและทำให้การดูแลรักษาง่ายอีกด้วยค่ะ การเลี้ยงปูนามีวิธีการเลี้ยงได้หลายวิธีด้วยกันค่ะ
การเลี้ยงปูนาในบ่อซีเมนต์เลี้ยงได้ทั้งในบ่อกลมและบ่อสี่เหลี่ยมผืนผ้า

ข้อดีของการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ก็คือ ดูแลง่ายปูนาไม่ไต่หนีใช้พื้นที่ไม่มากมีแค่พื้นที่เล็กๆ ก็สามารถเพาะเลี้ยงได้แล้ว

การเลี้ยงปูนาในบ่อดิน

สำหรับการเลี้ยงปูนาในบ่อดิน ค่าใช้จ่ายจะมากกว่าการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์และก็ต้องมีพื้นที่เพื่อที่จะขุดบ่อเพราะพื้นที่ในการเลี้ยงปูนาแบบบ่อดินนั้น ต้องมีอวนมุ้งตาถี่ล้อมรอบบ่อเพื่อป้องกันปูนาไต่หนี แต่ข้อสำคัญของบ่อเลี้ยงปูนาแบบในบ่อดินคือ ประมาณ 3ใน4 ของพื้นที่ของบ่อดินควรเป็นดินสูงประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อให้ปูนาได้ขุดรูอยู่ด้วยค่ะ ส่วนที่เป็นพื้นที่ดินนี้จะลาดเข้าหาอีกส่วนหนึ่งที่เป็นน้ำ

มาดูเคล็ดลับการเลี้ยงกันเลยน่ะค่ะ การเตรียมบ่อเลี้ยงปูนา แบบเลี้ยงในบ่อปูนกลมหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า

สำหรับท่านที่เลี้ยงในบ่อปูนกลมหรือสี่เหลี่ยมที่มีความกว้าง 2เมตรยาว 3 เมตร สูง 1 เมตร ให้หาท่อพีวีซี จำนวน 2 ท่อ มาใส่ไว้ในบ่อเพื่อทำเป็นที่ระบายน้ำออกจากบ่อด้วยน่ะค่ะ
ในกรณีที่ทำบ่อใหม่ให้ใส่น้ำลงไปเพื่อลดความเค็มจากปูนซีเมนต์ในบ่อแช่น้ำไว้ประมาณ 1-2 วันแล้วถ่ายน้ำออก ใส่ต้นกล้วยลงไปแช่น้ำในบ่อทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน ใส่เกลือสินเทาลงไปในบ่อด้วยก็ได้ค่ะ หรือน้ำส้มสายชูประมาณ 2-3 ถ้วย แล้วถ่ายน้ำทิ้ง
หลังจากนั้นให้นำดินมาใส่ลงไปในบ่อปูนให้มีความสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร หรือใส่ได้ตามปริมาณของบ่อหรือสภาพพื้นที่ค่ะ
ควรตั้งบ่อไว้ในที่ร่มเพราะปูนาไม่ชอบอากาศที่ร้อน ถ้าอากาศร้อนมากๆจะทำให้ปูตายได้แต่ถ้าไม่มีที่ร่มก็ให้ทำตาข่ายพรางแสงหรือหลังคาใส่ตรงบ่อ
ใส่ท่อหรือแผ่นกระเบื้อง,อิฐบล๊อคเพื่อให้ปูจะได้มีแหล่งที่ซ่อนตัวและหลบภัยเพราะว่าปูนานั้นมีนิสัยชอบทำร้ายกันเอง
ทำตาข่ายปิดปากบ่อเพื่อป้องกันไม่ให้ปูปีนหนี

วิธีเลี้ยงปูนา

สำหรับบ่อใหม่ให้แช่ต้นกล้วยและเกลือ20-30 วันจะเป็นการลดความเค็มของปูน(เทคนิคคล้ายๆกับการเลี้ยงกุ้งฝอย)

ใส่ดินโคลนและวางท่อหรืออิฐไว้ให้ปูได้หลบซ่อนตัว
สำหรับการเตรียมบ่อเลี้ยงปูนาในบ่อดิน
หากท่านใดมีบ่อเก่าที่เคยใช้งานมาก่อนแล้วเช่นเคยขุดบ่อเลี้ยงกบหรือเลี้ยงปลาก่อนหน้านั้นก็สามารถนำมาเลี้ยงปูนาได้โดยไม่ต้องขุดบ่อใหม่ จัดการบ่อให้มีสภาพแวดล้อมเลียนแบบธรรมชาติมากที่สุด เช่นปลูกข้าว,ผักบุ้ง,หญ้า,จอกแหน,สาหร่าย ปูนาจะได้มีแหล่งอาหารทางธรรมชาติและก็จะได้เป็นที่หลบซ่อนของปูได้อีกด้วย
ใส่น้ำที่ใส่ดินโคลนลงไปแล้วประมาณ 30 เซนติเมตร

วิธีเลี้ยงปูนา

บ่อนี้เป็นบ่อเดิมที่เคยใช้งานก็ทำความสะอาดแล้วก็ใส่ดินแล้วก็ปลูกพืชน้ำใส่เลียนแบบธรรมชาติก็สามารถเลี้ยงปูนาได้แล้ว

ปลูกพืชน้ำใส่เพื่อเป็นอาหารของปูและเป้นที่หลบซ่อนให้ปูนาไปในตัว
 เคล็ดลับการดูแลและวิธีการเลี้ยงปูนา

สำหรับท่านที่ต้องการคัดพ่อพันธ์ุแม่พันธ์ุปูนา ให้นำปูนาที่ได้มาจากแหล่งแม่น้ำธรรมชาติโดยเลือกขนาดความยาวของปูนาที่มีลำตัวประมาณ 4 เซนติเมตร คัดเอาแต่ตัวที่แข็งแรงและมีขาที่ครบสมบูรณ์มาปล่อยลงในบ่อที่เตรียมไว้ ให้ใช้ปูนาตัวผู้ 25 ตัวและปูนาตัวเมีย 25 ตัวต่อบ่อ
การให้อาหารปูนา ให้อาหารสัปดาห์ละ 3 ครั้งอาหารที่ใช้เลี้ยงปูนาได้แก่ ข้าวสุกจะเป็นข้าวสวยหรือข้าวเหนียวก็ได้ ปลาให้สับเป็นชิ้นเล็กๆกุ้งฝอย,ผักสดเช่นผักบุ้งหรือผักกาด
ไม่ควรให้อาหารปูมากเกินไปและต้องคอยหมั่นสังเกตุดูว่าให้อาหารแค่ไหนปูถึงจะกินหมดเพราะถ้ามีอาหารเหลือก็จะทำให้อาหารเน่าเสียได้ หากอาหารเหลือให้เก็บออกอย่าทิ้งไว้ให้เน่าคาบ่อเพราะจะทำให้ปูไม่แข็งแรงทำให้เป็นโรคได้
การระบายน้ำนั้นต้องระบายน้ำออกจากบ่อและเปลี่ยนน้ำใหม่ประมาณ 2-3 ครั้งต่อเดือน


วิธีการเลี้ยงและดูแลปูนาที่อยู่วัยเจริญพันธ์ุและลูกปู

ปูนาจะผสมพันธ์ุกันในช่วงฤดูฝน แม่ปู 1 ตัวจะมีไข่ประมาณ 500-700 ฟอง ดังนั้นปูนา 1 ตัวจะออกลูกได้ประมาณ 500-700 ตัว
การเจริญพันธ์ุปูนาจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือนจึงจะโตเต็มที่
กรณีที่ลูกปูเริ่มตั้งแต่นำเลี้ยงใส่ในบ่อ ให้อาหารโดยลูกปูที่มีช่วง 15 วันแรกควรให้ไรแดง,หนอนแดง,เทา หรือไข่ตุ๋น กินเป็นอาหาร
หลัง 15 วันให้ปลาสับหรือกุ้งฝอย,อาหารเม็ดที่ใช้เลี้ยงลูกปลาดุก
เมื่อลูกปูมีอายุได้ 30 วันก็สามารถนำไปปล่อยเลี้ยงในบ่อดินหรือบ่อปูนเพื่อให้มีขนาดโตเต็มวัย
ถ้ามีเนื้อที่ ที่ทำเป็นบ่อดินหรือบ่อปูนที่มีขนาดใหญ่สามารถปล่อยลงเลี้ยงได้ทีละปริมาณ 10,000 ตัวต่อเนื้อที่ 1 ตารางเมตร
ปูนามีการลอกคราบเหมือนสัตว์น้ำชนิดเดียวกันเหมือนกับกับสัตว์จำพวกกุ้งหรือปูชนิดอื่น หลังจากฟักเป็นตัวแล้วปูนาจะทำการลอกคราบประมาณ 13-15 ครั้ง ก็จะโตเป็นปูนาเต็มวัย สามารถได้ขนาดตามที่ท้องตลาดต้องการระยะเวลาก็จะอยู่ประมาณ 6-8 เดือนขึ้นไป

วิธีเลี้ยงปูนา

แม่ปูกำลังมีไข่เต็มท้อง แม่ปูตัวหนึ่งสามารถมีลูกปูได้มากถึง 500-700 ตัว

วิธีเลี้ยงปูนา

ปูนาตามแหล่งธรรมชาติตัวเล็กตัวใหญ่สามารถคัดมาเลี้ยงตอนเป็นลูกปู ตัวใหญ่ก็คัดแยกมาเป็นแม่พันธ์ุได้
วิธีการสังเกตการลอกคราบของปูนา

ปูนาที่จะมีการลอกคราบให้เราสังเกตได้จากรอยต่อทางส่วนท้ายของกระดองจะกว้างมากกว่าปกติ เมื่อใกล้จะลอกคราบปูจะนิ่งและเหยียดขาออกไปทั้งสองข้าง จากนั้นรอยต่อทางส่วนท้ายของกระดองก็จะเปิดออก
ส่วนท้ายพร้อมกับขาเดินคู่สุดท้ายของปูนาจะออกมาก่อนส่วนอื่นๆ ขาคู่ถัดมาจะค่อยๆโผล่ออกมาตามลำดับส่วนก้ามคู่แรกจะโผล่ออกมาเป็นอันดับสุดท้าย ปูนาจะใช้ระยะเวลาในการลอกคราบโดยประมาณ 1 ชั่วโมง

ขอบคุณที่มา: https://goo.gl/7cteH3 เรียบเรียงโดยDPSNews

R.I.P. “น้องโจ” นักเรียนไทย สละชีวิตช่วยเพื่อน…จนตัวเองเสียชีวิต ที่อเมริกา

ครอบครัวรับศพ "น้องโจ" นักเรียนไทยสละชีวิต ช่วยเพื่อนที่อเมริกาครอบครัวน้องโจ นักเรียนแลกเปลี่ยนโรตารี รับศพมาบำเพ็ญกุศลที่จังหวัดพิษณุโลกหลังจาก เสียสละชีวิตช่วยเพื่อนจมน้ำ จนตัวเองต้องเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา 

(23 มิ.ย.) เมื่อเวลา 17.00 น ที่วัดธรรมจักร อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เดินทางมาร่วมพิธีและให้กำลังใจแก่ นายเจษฏา และนางวรวิจิตร จันทบุรานันท์ พ่อและแม่ของนายสิรวิชญ์ จันทบุรานันท์ หรือโจ อายุ 17 ปี เด็กนักเรียนโครงการแลกเปลี่ยนสโมสรโรตารี ที่เสียชีวิตหลังจากช่วยเหลือเพื่อนที่กำลังจะจมน้ำ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560

จากนั้นเวลา 17.15 น. ขบวนเคลื่อนย้ายศพน้องโจที่เดินทางมาสนามบินสุวรรณภูมิ ได้เดินทางมาถึงจังหวัดพิษณุโลก พ่อแม่ของน้องโจ พร้อมด้วยญาติ และเพื่อนๆ จากโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม และสโมสรโรตารี 3360 พุทธชินราช พิษณุโลก ได้จัดขบวนรอต้อนรับศพของโจอย่างสมเกียรติ ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของน้องโจ ซึ่งเกิดจากความเสียสละที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนไม่ให้จมน้ำ แต่ตนเองกลับไม่สามารถขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย

พ่อกับแม่ของน้องโจเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า จะมีพิธีรดน้ำศพ พร้อมกับสวดพระอภิธรรมเป็นการส่วนตัวของคนในครอบครัวและญาติสนิทเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 24-30 มิถุนายน และจะมีพิธีฌาปนกิจในวันที่ 1 กรกฏาคมนี้ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ทราบข่าวจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์เช่นเดียวกับที่สื่อท้องถิ่นรายงาน ด้านเพื่อนสนิทของน้องโจ บอกว่า โจเป็นคนที่ให้เพื่อนเต็มร้อย ไม่เคยทิ้งเพื่อน ทุกคนจึงภาคภูมิใจในตัวเขาและจะรักเขาตลอดไป

ส่วนเพื่อนที่น้องโจ ว่ายน้ำเข้าไปช่วยนั้น พ่อของน้องโจบอกว่า เด็กคนนั้นชื่อ แม็กซ์ เป็นชาวเบลเยี่ยม เป็นเพื่อนสนิทที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ซึ่งดูได้จากภาพถ่ายที่เพื่อนๆ ของโจที่สหรัฐอเมริกาได้รวบรวมทำอัลบั้มและส่งมาให้เพื่อแสดงความอาลัยต่อการจากไปของน้องโจ

บรรยากาศภายในศาลาธรรมสังเวช วัดธรรมจักร ถูกตกแต่งด้วยรูปภาพของน้องโจที่เพื่อนๆ ส่งมาให้ ล่าสุดพลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงห์แก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ส่งพวงหรีดเป็นต้นปีบ มาร่วมแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องโจด้วย

ขอบคุณที่มมา http://news.sanook.com/2517910/ เรียบเรียงโดยDPSNews

8 ศัตรูของมะเร็ง ที่รู้แล้วชีวิตจะดีขึ้นแน่นอน!


วันนี้DPSNewsจะมานำเสนอเกี่ยสกับมะเร็ง มะเร็ง หรือ เนื้องอกร้าย มีสาเหตุของโรคที่ค่อนข้างหลากหลาย วันนี้เราแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับ “ศัตรูของมะเร็ง” อีกหนึ่งวิธีป้องกันการเกิดมะเร็งที่คุณเองก็สามารถทำได้ เพียงแค่รับประทานอาหารต่อไปนี้…

1. ศัตรูของมะเร็งกระเพาะอาหารคือ กระเทียม

2. ศัตรูของมะเร็งตับคือ เห็ด 

3. ศัตรูของมะเร็งตับอ่อนคือ บร็อคโคลี่ 

 

4. ศัตรูของมะเร็งปอดคือ ผักโขม 

5. ศัตรูของมะเร็งลำไส้คือ หน่อไม้น้ำ

6. ศัตรูของมะเร็งเต้านมคือ สาหร่ายทะเล 

7. ศัตรูของมะเร็งผิวหนังคือ หน่อไม้ฝรั่ง 

8. ศัตรูของมะเร็งปากมดลูกคือ ถั่วเหลือง

15 ข้อควรปฏิบัติ ช่วยให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง!!

1. ดื่มน้ำที่สะอาดและเพียงพอ เพื่อลดสารก่อโรคมะเร็งวิธีหนึ่ง มีศึกษาที่เพิ่มค้นพบใหม่จากสถิติของสถาบันมะเร็งพบว่า การดื่มน้ำสะอาดจากเครื่องกรองจะดีกว่าการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกที่มีคุณภาพน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน และจากการศึกษาของสมาคมสิ่งแวดล้อมพบว่าการเก็บรักษาน้ำในเหยือกแก้ว หรือภาชนะสเตนเลส จะดีกว่าการเก็บรักษาในภาชนะพลาสติก และไม่ลืมที่จะดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างพอเพียงสามารถลดความเข้มข้นของการขับถ่ายปัสสาวะได้ และลดมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นกับกระเพาะปัสสาวะได้ด้วย ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันหรือให้ปริมาณปัสสาวะมีสีเจือจางเมื่อขับถ่ายทุกครั้ง

2. ไม่ควรสูดดมหรือสัมผัสก๊าซขณะเติมน้ำมันรถ เพราะสารพิษที่อยู่ในอากาศสามารถเข้าสู่ปอด และหากกระเด็นสู่ผิวหนังอาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งได้

3. ลดการกินอาหารปิ้ง-ย่าง โดยเฉพาะเนื้อแดง การกินอาหารประเภทปิ้งย่างนั้น หากมีการไหม้จะก่อสารมะเร็ง หรือมีเศษสีดำของการเผาของถ่านติดอยู่ก็จะทำให้เกิดมะเร็งได้ แนะนำให้มีการหมักเนื้อสัตว์ก่อนการปรุงอาหารด้วยสมุนไพรเครื่องเทศต่างๆ เช่น พริกไทย โรสแมรี่ ใบออริกาโน่ ฯลฯ งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Kansas พบว่าการหมักเนื้อสัตว์เหล่านั้นก่อนการปิ้งย่างอย่างน้อยประมาณ 1 ชั่วโมงสามารถลดสารก่อมะเร็งจากการปิ้งย่างเผาได้ถึง

4. รับประทานผักผลไม้สีเขียวให้มาก เพราะสารแมกนีเซียมจากพืช ผักสีเขียวช่วยลดมะเร็งลำไส้ได้ ซึ่งดีต่อผู้หญิงเป็นอย่างมาก อีกทั้งการได้รับสารแมกนีเซียมที่เพียงพอ จะช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานอย่างปกติ การรับประทานผักขมครึ่งถ้วยต่อวันให้ปริมาณแมกนิเซียม 75 มิลลิกรัม ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย

5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีอันตรายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสารจำพวกยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซิน เนื่องจากเต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง ง่ายๆ ด้วยการจำกัดหรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเหล่านี้ในบ้าน หรือที่ทำงาน ย่อมเป็นการลดโอกาสในการสัมผัสกับสารก่อมะเร็งได้

6. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ซึ่งไม่เพียงช่วยป้องกันการตั้งครรภ์โดยที่ไม่ตั้งใจ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก เชื่อกันว่าประมาณร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูก มีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) ที่สำคัญเชื้อ HPV นี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ทวารหนักและอวัยวะเพศอีกด้วย แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV ได้ในระดับหนึ่ง โดยต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์

7. ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพแข็งแรง เป็นที่รู้กันดีว่าการออกกำลังกายช่วยส่งเสริมให้อวัยวะในร่างกายได้พัฒนา และแข็งแรง ป้องกันการเจ็บป่วย และต่อสู้กับอนุมูลอิสระหรือเชื้อโรคต่างๆ อย่างได้ผล อีกทั้งออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเผาผลาญไขมัน ดังนั้นการออกกำลังกายโดยการเดินเร็วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ช่วยลดการเกิดมะเร็งเต้านมได้ถึง 18%

8. ลดการส่งเสื้อผ้าไปซักแห้ง จากการวิจัยของ National Academies of Science เมื่อต้นปี 2010 ระบุว่าการซักแห้งหรือซักน้ำมันโดยสาร perc (perchloroethylene) จะมีผลให้เกิดการก่อสารมะเร็งต่อปอด ไตและตับได้เมื่อสูดดมเป็นเวลานาน ดังนั้นการใช้สารซักแห้ง ซักน้ำมันที่ทำให้ผ้าเรียบอาจไม่ปลอดภัยจนเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งร้ายได้

9. หลีกเลี่ยงการผ่านสารรังสีโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการฉายแสงตรวจดูมะเร็งเต้านมประจำปี การทำแมมโมแกรม เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งถึง 4-5 เท่าเลยทีเดียว การตรวจมะเร็งโดยใช้วิธีคลำหา และไม่ผ่านรังสีอาจช่วยลดความเสี่ยงภาวะการเกิดมะเร็งได้ดีกว่า

10. ไม่ใช้ควรโทรศัพท์มือถือแนบหูเป็นเวลานานๆ เนื่องจากมีการพบว่าสัญญาณโทรศัพท์มีคลื่นที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้โทรศัพท์นานๆ โดยมีอุปกรณ์เสริมจะลดผลกระทบต่อระบบประสาทและสมองได้

11. กินอาหารที่สะอาดถูกหลักอนามัย หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ ที่ปนเปื้อนสารปฏิชีวนะและฮอร์โมน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นที่น่าสงสัยว่า จะมีส่วนก่อให้เกิดปัญหาต่อมไร้ท่อรวมทั้งโรคมะเร็งอีกด้วย รวมถึงผักผลไม้ที่มีสารกำจัดศัตรูพืช แม้จะเป็นการหลีกเลี่ยงได้ยาก แนะนำให้เลือกซื้อเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ไว้วางใจ และต้องล้างพืชผักทุกครั้งก่อนบริโภค

12. หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดอันรุนแรง  เพราะแสงยูวีจากแสงอาทิตย์มีทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนัง และเป็นสาเหตุก่อให้เกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งผิวหนัง แดดที่ควรเลี่ยงคือช่วงเวลา 10.00-16.00 น. โดยประมาณ แต่หากว่าจำเป็นต้องเผชิญแสงแดดเวลาดังกล่าวนั้น ควรสวมเสื้อผ้าปกปิด และทาโลชั่นกันแดดเสมอ

13. เลือกรับประทานอาหารจำพวกธัญพืชให้มากขึ้น อาหารประเภทแป้งควรเลือกทานจำพวกขัดสีน้อย ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ฯลฯ แป้งข้าวสาลีดีกว่าขนมปังขาวทั่วๆ ไป และทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ด้วยมีสารอาหารวิตามินที่มีประโยชน์อยู่ในส่วนที่เป็นกาก และใยอาหารที่ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล ช่วยให้อิ่มง่ายและขับถ่ายได้สะดวก มีการศึกษาพบว่าอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงจะทำให้การเพิ่มน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่-ทวาร ได้

14. ใส่ใจกับความเจ็บปวดต่างๆ อาการเจ็บป่วยต่างๆ ไม่ว่าจะอาการมากหรือน้อย หากเป็นบ่อยๆ เป็นเรื้อรัง ไม่ว่าจะท้องอืด ปวดบริเวณช่องท้อง ปวดหัว หรือภาวะเร่งด่วนเกี่ยวกับการขับปัสสาวะ ฯลฯ ควรรีบพบแพทย์หาสาเหตุและรักษาให้หายขาด เพราะอาการเหล่านี้อาจส่งสัญญาณเกี่ยวกับมะเร็ง หรือก่อให้เกิดมะเร็งได้

15. ไม่สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ ทำให้เกิดการตายจากมะเร็งปอดได้ถึง 87% ซึ่งมะเร็งปอดนั้นจัดว่าเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญจากโรคมะเร็งทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย เพราะในบุหรี่มีสารก่อมะเร็งมากมาย อันเป็นสาเหตุก่อให้เกิดมะเร็งตามอวัยวะที่ควันบุหรี่ผ่านด้วย เช่น มะเร็งกล่องเสียง, มะเร็งช่องปาก, มะเร็งคอหอย, มะเร็งหลอดอาหาร, มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ, มะเร็งไต, มะเร็งตับอ่อน, มะเร็งปากมดลูก, มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเม็ดเลือดขาว และไม่ได้ส่งผลเพียงแค่คนที่สูบบุหรี่เท่านั้น ยังส่งผลต่อผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ เพียงแต่สูดดมควันพิษจากบุหรี่เข้าไปก็เสี่ยงต่อมะเร็งได้เช่นกัน

ที่มา https://goo.gl/6h8LQR

รีบอ่าน!“สายเมา ขาดื่ม”เช็คตับตัวเองด่วน ว่าเราเป็นถึงขั้นไหนแล้ว (ระวังสายเกินแก้)


เรื่องของการดื่ม หากดื่มน้อย กินแต่พอดี ก็เป็นยาได้ แต่ถ้าหากว่ากินเยอะเกินไป กินเอาเมา แบบนั้นเรามีอาหารเสี่ยงเป็นโรคได้มากมายเลย แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า เราจะเป็นหรือเปล่า

วันนี้เรามีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากทุกคนกันว่า อาการของโรคตับนั้น มันมีอะไรบ้าง เราจะได้เตรียมตัวถูก และถ้าให้ดี ก็ไม่ควรจะดื่มเลยจะดีกว่า ทั้งดีต่อสุขภาพ และประหยัดเงินเราอีกด้วย มาดูว่าตับเราถึงขั้นไหนแล้ว กับ 10 วิธีเช็คอาการของโรคตับ

ตับตั้งอยู่บนด้านขวาของหน้าท้องคุณ มันถูกคลุมด้วยซี่โครงของคุณมันเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ หน้าที่หลักของตับคือช่วยกำจัดสารพิษที่เป็นอันตรายออกไปจากร่างกาย ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะทำให้ระบบของร่างกายเสียหาย

มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ครวจะรู้ถึงสัญญาณเริ่มของตับว่าเกิดปัญหาร้ายแรง

ในขณะที่ตับมีความเสี่ยงกับโรคต่างๆ มากกว่า 100 ชนิด และโรคของแต่ละคนอาจมีอาการแปลกๆ แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้มีผลต่อตับในลักษณะที่คล้ายกันในช่วงเริ่มต้น

โรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตับ ประกอบด้วย

โรคตับอักเสบ
โรคตับแข็ง
โรคไขมันในตับ
โรคตับจากแอลกอฮอล์

นี่คือ 12 อาการเริ่มต้นของความเสียหายของตับที่คุณควรระวัง

1.ปวดท้องบ่อย
เมื่อคุณเกิดอาการปวดท้องอยู่บ่อยๆ และมีอาการคลื่นไส้ ในบางครั้งมีการอาเจียนร่วมด้วยคุณควรออกไปตรวจร่างกายทันที เพราะอาการคลื่นไส้เป็นผลมาจากการสะสมสารพิษในร่างกายและยากที่จะกำจัดมันออกไป

2.เบื่ออาหาร

ตับผลิตน้ำดีที่ช่วยในการย่อยอาหาร เมื่อตับของคุณผิดปกติการผลิตน้ำดีจะลดลง และการเผาผลาญอาหารของคุณก็จะลดลงด้วย ดังนั้นคุณจะรู้สึกอิ่มอยู่ตลอดเวลาและทำให้คุณไม่อยากอาหาร

3.ร่างกายรู้สึกเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า และอ่อนเพลีย
เมื่อมีการสะสมสารพิษมากเกินไปในร่างกาย คุณจะรู้สึกเหนื่อยบ่อยขึ้นแม้หลังจากที่ได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว เป็นเพราะสารพิษที่ตับได้รับอากาศมันจะแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดและมีผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเช่น สมอง กล้ามเนื้อหัวใจ เนื้อเยื่อ และอวัยวะส่วนอื่นๆ

4.มีปัญหาในการย่อยอาหาร
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ตับผลิตน้ำดีที่ช่วยย่อยอาหารเมื่อมันอ่อนแอการผลิตน้ำดีก็จะลดลงและเป็นผลให้อาหารที่คุณกินเข้าไปไม่ถูกย่อยอย่างสมบรูณ์นำไปสู่ปัญหาท้องผูก

5.การเปลี่ยนแปลงในสีอุจจาระ
น้ำดีที่ผลิตโดยตับจะช่วยให้อุจจาระของคุณเป็นสีน้ำตาลเข้ม เมื่อคุณมีปัญหาเกี่ยวกับตับ จะทำให้ตับผลิตน้ำดีน้อยลง จะทำให้อุจจาระเหนียวและมีสีเทา สีซีด และสีเหลือง
ดับบิลิรูบินในกระแสเลือดของคุณ ซึ่งไตได้ผลิตออกมาจากนั้นตับจึงต้องขจัดออกไป

ปัสสาวะสีเข้มยังอาจเป็นสัญญาณของการใช้ยาปฏิชีวนะ การคายน้ำหรือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินบี คุณจึงควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

7.มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นโรคดีซ่าน
เมื่อบิลิรูบินอยู่ในกระแสเลือดของคุณเพิ่มมากขึ้น เป็นผลมาจากการทำงานที่ล้มเหลวของตับที่ไม่สามารถกำจัดมันออกไป คุณจึงมีแนวโน้มที่จะตัวเหลืองซึ่งมักจะเกิดขึ้นที่ผิว ปลายนิ้ว ตา และลิ้นของคุณ

8.การกักเก็บของเหลว
เมื่อตับของคุณมีปัญหามันจะกักเก็บของเหลว เท้าและข้อเท้าของคุณจะขยายบวม คุณจะต้องพบแพทย์เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริง

9.การเปลี่ยนแปลงในช่องท้องของคุณ
เมื่อตับมีปัญหาจะมีภาวะเกิดน้ำในช่องท้อง นี้เป็นอาการเริ่มต้นของความเสียหายในตับที่มีการสะสมของของเหลวในช่องท้อง จะทำให้ท้องป่อง

10.การระคายเคืองผิวเรื้อรัง
ผิวของคุณจะไวต่อสิ่งกระตุ้นเมื่อถูกสัมผัส และมีแนวโน้มที่จะเกิดสะเก็ดและอาการคัน รวมทั้งจะมองเห็นเส้นเลือดดำได้อย่างชัดเจน เมื่อตับของคุณมีปัญหา

11.โรคท้องร่วงและมีเลือดออกในลำไส้
เมื่อตับของคุณมีปัญหาจะมีอาการท้องผูกบ่อยขึ้น และจะมีอาการท้องเสียร่วมอยู่ด้วยหรือแม้กระทั่งมีเลือดออกในลำไส้ หากคุณพบอาการเหล่านี้ควรไปพบแพทย์ของคุณทันที

12.เป็นตะคริวบ่อยและมีอาการปวดท้อง

คุณจะรู้สึกเจ็บปวดบริเวณท้องด้านขวาบนของคุณ เมื่อตับมีปัญหาตับ เพราะบริเวณนี้จะไวต่อการสัมผัส

เมื่อคุณพบอาการต่างๆ เหล่านี้อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ของคุณทันที

ข้อมูลจาก teenee


สาวน้อยเงินล้าน! น้องธันย์ เหยื่อรถไฟฟ้าทับขาขาด ล่าสุดเงินเดือนเธอ 1,000,000 บาท เธอทำอะไรมาดูกัน!


จากกรณีที่น้องธันย์ ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ นักเรียนไทยที่เดินทางไปศึกษาด้านภาษาตอนช่วงปิดเทอม ฤดูร้อน เหยื่อรถไฟฟ้าสิงคโปร์ทับขา จนต้องตัดทิ้งทั้ง 2 ข้าง เมื่อปี 2554 จนทำให้เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาลแต่อย่างไรก็ตามด้วยความรักจากครอบครัว และความคิดที่เป็นบวกของเธอทำให้ได้รับโอกาสจากสังคม

ล่าสุด น้องธันย์ ในวัย 20 ปี ได้ออกมาเผยเรื่องราวที่ทำให้คนไทยถึงกับยินดีไปด้วย เพราะเธอผู้ที่ได้รับตำแหน่ง “ผู้สำรวจความสุขคนไข้” เจ้าของเงินเดือนสูงถึงหนึ่งล้านบาท

โดยเธออกมาโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ค น้องธันย์ สาวน้อยคิดบวก ข้อความระบุว่า

24.06.60 : ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วนะคะ ธันย์รอวันที่รายการออนแอร์ก่อน ถึงจะออกมากล่าวขอบคุณได้อย่างเต็มปาก ที่ผ่านมาก็เก็บคำขอบคุณที่มากมายไว้ในใจตลอดมา โอกาสที่ได้รับในครั้งนี้ช่างมีคุณค่าและบรรยายเป็นคำพูดออกมาไม่หมดกับความรู้สึกนี้ ก่อนอื่นขอบคุณตนเองที่ให้โอกาสตัวเองไปสมัครใน Best Job in Thailand คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจอันคลิปและส่งไปสมัครในวันนั้น ขอบคุณครอบครัวค่ะที่มอบโอกาสให้ไปสัมภาษณ์และไปพบพี่ๆอีก11ท่านรวมถึงทีมงานของทางโรงพยาบาล WORLD MEDICAL HOSPITAL (WMC) โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ขอบคุณพี่ทั้ง11ท่าน ได้แก่ พี่กอล์ฟ,พี่เอ็ดดี้,พี่แอ้,พี่โอ๋,พี่จอย,พี่มายมุก,พี่เจ,พี่วิว,พี่ต่วน,พี่เอ็กซ์,พี่อวยค่ะ ที่คอยแนะนำน้องสาวคนเล็กคนนี้ ทั้งแนะนำแนวทางเรื่องราวดีตลอดมา ตั้งแต่ที่เราได้รู้จักกันแม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้นแต่พวกเราก็เหมือนครอบครัว ธันย์มีความสุขมากๆเลยค่ะที่ได้รู้จักพี่ๆทุกๆท่าน ธันย์ขอขอบคุณคณะกรรมการค่ะ ที่ให้โอกาสเด็กผู้หญิงคนนี้มาทำหน้าที่อันสำคัญนี้ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทรงคุณค่าตำแหน่งหนึ่ง อายุและร่างกายไม่ใช่อุปสรรคเสมอไป ขอบคุณพี่ๆทีมงานทุกท่านทั้งพี่ๆทีมงานทางโรงพยาบาลและพี่ๆทีมงานทางรายการตีสิบค่ะ ขอบคุณทุกท่านสำหรับทุกๆกำลังใจ แรงใจแรงเชียร์ที่คอยสนับสนุนเด็กผู้หญิงคนนี้เสมอมา ธันย์จะตั้งใจ มุ่งมั่นและพัฒนาตนเองเสมอ ให้เหมาะสมกับงานที่ได้รับมอบหมายนี้นะคะ ที่สำคัญเมื่อธันย์ได้รับโอกาส ธันย์จะไม่มีวันลืมตอบแทนสังคมที่ทำให้ธันย์เป็นธันย์อย่างทุกวันนี้
เมื่อธันย์ประสบความสำเร็จในทุกๆครั้งไม่ว่าเรื่องราวนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ธันย์ขอกราบขอบพระคุณผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณทุกท่าน ที่คอยสั่งสอนเด็กคนนี้พร้อมมอบโอกาสในทุกๆด้าน ธันย์ไม่สามารถจะเติบโตเป็นคนที่สมบูรณ์แบบได้หากขาดผู้แนะนำแนวทางที่ดี คอยตักเตือนในเรื่องราวที่ไม่เหมาะสม ทำให้ธันย์ได้แก้ไขจุดบกพร่องได้
-น้องธันย์-

ที่มา http://www.siamnews.com/view-2124.html

ฮือฮา!บ้าไปเเล้ว! เอายาบ้ายัดใส่ในเม็ดพริกแห้ง? (มีคลิป)


ฮือฮาในโลกโซลเซียลไม่เคยพบเจอมาก่อน เอายาบ้ายันในเม็ดพริกแห้ง เป็นวิธีการใหม่จริงๆ ช่างสรรหามาได้ กับเทคนิคซ่อนยาบ้า ที่ต้องเรียกว่า โอ้โห! คิดได้ยังไง กับการยัดยาบ้าในพริก หรือพริกใส่ไส้?! ฮือฮาในโซเซียลเป็นอย่างมากกับการเผยแพร่คลิปกระบวนการยัดยาบ้าในพริก ความพยายามเป็นเลิศมาก แต่ใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง

สมาชิกเฟซบุ๊ก Lenin Chekov ทำการแชร์เรื่องราวซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเทคนิคซ่อนยาบ้าเพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ ด้วยกระบวนการที่แยบยล โดยการยัดยาบ้าใส่พริกแห้ง รวมกันในถุงใหญ่ คาดว่าเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกตุต่อการตรวจค้น เรียกได้ว่า เมื่อคลิปถูกเผยแพร่ออกไปก็สร้างความแปลกใจและอึ้งให้กับบรรดาชาวเน็ตจริงๆ และวิพากย์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

 

ทั้งนี้คลิปที่ปรากฎนั้นคาดว่าเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นที่เมืองไทย แต่เกิดที่ต่างประเทศ อย่าได้เอามาทำเป็นแบบอย่างนะ เพราะนอกจากจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีแล้วยังผิดกฎหมายด้วย ส่วนข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร โปรดใช้วิจารณญาณ


ชมคลิป


ที่มา :Lenin Chekov

https://goo.gl/TCzeYB เรียบเรียงโดยDPSNews