อินเตอร์เน็ตไทยเร็วที่สุดอันดับ 8 ของโลก! ฟิลิปปินส์ช้าที่สุดในเอเชียแปซิฟิค


วันนี้จะมานำเสนอข่าว เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ทของไทยเร็วที่สุดอันดับ 8 ของโลก! โดยผลการจัดอันดับความเร็วในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทในประเทศต่างๆทั่วโลกล่าสด จากรายงาน Akamai Technologies’ Global State of the Internet Report  พบว่าประเทศไทยมีความเร็วอินเตอร์เน็ทในช่วง Peak Connection เร็วที่สุดอันดับ 8 ของโลก ที่ 106.0 Mbps และมีความเร็วเฉลี่ยในการเชื่อมต่ออยู่ที่อันดับ 21 ของโลก ที่ 16.0 Mbps โดยฟิลิปปินส์เป้นประเทศที่ความเร็วอินเตอร์ช้าที่สุดในเอเชียแปซิฟิค ที่ค่าเฉลี่ย 5.5 Mbps ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยจากทั่วโลกที่ 7.2 Mbps อันดับ1 สิงคโปร์ 184.5 MBPS

ข้อมูลจาก: goo.gl/eWMxn7


ไอเดียเจ๋ง“ไอติมจากน้ำเสีย” สะท้องสังคมไต้หวัน (มีคลิป)


เมืองไทยเป็นเมืองโคตรร้อน วันนี้มีไอติมรสชาติใหม่มานำเสนอครับ เป็นไอติมที่ถูกผลิตขึ้นอย่างปราณีตบรรจงจากนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะแห่งไต้หวัน (National Taiwan University of Arts) ไอติมแท่งนี้ผลิตขึ้นจากน้ำเน่าเพียวๆ 100% เก๋มั้ยล่ะ

ไอติมน้ำเน่า จากแหล่งน้ำเสียจากทั้งประเทศไต้หวัน 100 แห่ง

นักศึกษาที่ทำโปรเจ็คต์นี้เริ่มจากการตั้งตำถามว่า “ไต้หวันเป็นประเทศที่สวยงาม ทำไมน้ำถึงเน่าแบบนี้” จนทำให้เกิดการเก็บรวบรวมมาจากแหล่งน้ำเสียจากทั้งประเทศไต้หวัน 100 แห่ง เพือผลิตเป็นไอติมแท่ง 100 แท่งที่หน้าตา รสชาติ และ ใส่ซองที่แตกต่างกันในชื่อโปรเจ็คต์ว่า “100% Pure Sewage Ice Works”

ไอติมบางแท่งมีสาวนผสมของพลาสติคโพลีเอสเตอร์ บางแท่งมีก้างปลา เศษหมากฝรั่ง ก้นบุหรี่ หอยทาก ยางล้อรถ เศษโซฟา ซากรองเท้า ฯลฯ

ไอติมหลายแท่งกำลังสะท้อนภาพปัญหาทางมลภาวะที่ชาวไต้หวันมองข้ามไปในทุกวันที่ใช้ชีวิต หลายครั้งเราใช้ชีวิตกับขยะ จนเกิดความเคยชิน และไม่มองเห็นว่ามลภาวะเหล่านี้เป็นปัญหาอีกต่อไป

ไอติมบางแท่ง มีส่วนผสมของหอยเชอรี่ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มารุกรานทำลายสภาพทางนิเวศวิทยาของไต้หวัน แน่นอนว่าเรามองข้ามไป บางแท่งประกอบขึ้นมาจากน้ำเสียที่โรงงานทิ้งลงแม่น้ำแต่เราก็ยังมองไม่เห็นว่าเป็นปัญหา

เราดื่มกินโดยละเลยสารพิษซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพของคนในสังคมไปอีกเป็นเวลานาน สารพิษอาจสะสมจนส่งผลให้เราเป็นโรคร้ายแรงในที่สุด แต่เราก็จำยอมอยู่กับสิ่งปฏิกูลอย่างไร้ทางเลือก

โปรเจ็คต์นี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Young Pin Design Award และถูกจัดแสดงในนิทรรศการ New Generation of Design Exhibition เมื่อวันที่ 19-22 พฤษภาคม ที่ผ่านมาที่ Taipei World Trade Center

มาดูคลิปไอเดียของนักศึกษากันเลย

ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นไอติมจากน้ำสกปรก ดูๆ แล้วน่ากินดีเนอะ ถ้าเป็นไอติมของกรุงเทพมหานครละคะ ไม่อยากจะคิดเลยจ้า อิอิ

ขอบคุณข้อมูลจาก : taiwannews   qz.com  globalcitizen campus.campus-star.com

“เอมอร วรศิริ”มิสแกรนด์สงขลา 2017 อาจลาออกจากตำแหน่งเพราะ โดนคนดูถูกด่าเรื่องความจน

เอมอร วรศิริ มิสแกรนด์สงขลา 2017 อาจลาออกจากตำแหน่ง ก่อนที่กองประกวดจะแถลงว่ายังไม่สละสิทธิ์ แจงสาเหตุนางงามเครียดหนัก โดนคนดูถูก-ด่าเรื่องความจน
เรียกว่าปีนี้การประกวดนางงามของเวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ดราม่าหนักเลยทีเดียว มีปัญหาหลากหลายเรื่องทั้งการปลดนางงาม, ปลดพีดี, นางงามขอสละสิทธิ์เอง และเรื่องสุดเศร้ามิสแกรนด์อุทัยธานี 2017 เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ ขณะเดินทางมาปฏิบัติภารกิจที่กรุงเทพฯ

ล่าสุด (1 มิถุนายน 2560) ก็มีข่าวแว่ว ๆ มาอีกแล้วว่า เอมอร วรศิริ มิสแกรนด์สงขลา 2017 อาจจะสละสิทธิ์อีกคน  เนื่องจากต้องช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านที่ลำบาก แม่มีอาชีพคัดพลอยขายได้ค่าแรงเพียงวันละ 300 บาท จึงไม่เพียงพอที่จะเป็นค่าเดินทางมาฝึกซ้อมที่กรุงเทพฯ และอาจทำให้ไม่สามารถปฏิบัติภาระกิจในการประกวดครั้งนี้ได้
กองประกวดยัน มิสแกรนด์สงขลา ไม่สละสิทธิ์

อย่างไรก็ตามที่แฟนเพจ มิสแกรนด์สงขลา ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า กรณีที่น้องเอมอร มิสแกรนด์สงขลา 2017จะขอสละตำแหน่งนั้น ทางกองได้สอบถามพูดคุยกับน้องเอมอร มาแล้ว สาเหตุมาจากมีแฟนนางงามบ้างกลุ่มเข้าไปต่อว่าด่าน้องเรื่องความยากจนและดูถูกน้องจนน้องและคุณแม่เกิดอาการเครียด ล่าสุดทางกองมิสแกรนด์สงขลา ขอประกาศว่า นางสาวอรอุมา วรสิริ น้องเอมอร ยังคงได้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สงขลาเหมือนเดิมทุกอย่าง ทุกประการ และจะดูแลค่าใช้จ่ายในการประกวดทุกอย่างและขอขอบคุณกองประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ที่แนะนำและให้คำปรึกษาทุกประการ จึงเรียนมาเพื่อทราบทั่วกัน

กองประกวดยัน มิสแกรนด์สงขลา ไม่สละสิทธิ์

กองประกวดยัน มิสแกรนด์สงขลา ไม่สละสิทธิ์

กองประกวดยัน มิสแกรนด์สงขลา ไม่สละสิทธิ์

กองประกวดยัน มิสแกรนด์สงขลา ไม่สละสิทธิ์

กองประกวดยัน มิสแกรนด์สงขลา ไม่สละสิทธิ์

กองประกวดยัน มิสแกรนด์สงขลา ไม่สละสิทธิ์

ภาพจาก เฟซบุ๊ก มิสแกรนด์สงขลา
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
tvpoolonline.com

รู้หรือไม่? “เซเว่น อีเลฟเว่น”ที่คนไทยใช้จับจ่ายทุกวัน ประเทศใดคือต้นกำเนิด

เซเว่นอีเลฟเว่น ถือกำเนิดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2470 โดย บริษัท เซาท์แลนด์ ไอซ์ จำกัด (เซาท์แลนด์ คอร์ปอเรชั่น) เริ่มต้นกิจการผลิต และจัดจำหน่ายน้ำแข็ง ที่เมืองดัลลัส รัฐเทกซัส สหรัฐ ในปีเดียวกัน ทางบริษัทฯ ได้นำสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มาจำหน่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า จึงเปลี่ยนชื่อเป็น Tote’m Store ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น เซเว่นอีเลฟเว่น (7-Eleven) เพื่อรองรับการขยายกิจการนี้ ซึ่งในระยะแรก เปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 07.00-23.00 น. ของทุกวัน อันเป็นที่มาของชื่อ เซเว่น อีเลฟเว่น นั่นเอง

ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1980 บริษัทเริ่มประสบปัญหาทางการเงิน และได้รับความช่วยเหลือจากอิโต-โยคะโดซึ่งเป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์รายใหญ่ที่สุด บริษัทญี่ปุ่นมีอำนาจควบคุมบริษัทในปี พ.ศ. 2534 ในปี พ.ศ. 2548 อิโต-โยคะโดก่อตั้งบริษัทเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์และเซเว่น อีเลฟเว่นก็กลายเป็นบริษัทลูกของเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ตั้งแต่นั้นมา

7-Eleven ในประเทศไทย

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ บมจ.ซีพี ออลล์ (ชื่อเดิม: บมจ.ซีพีเซเว่นอีเลฟเว่น) ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้บริหารแฟรนไชส์เซเว่นอีเลฟเว่นในประเทศไทย จากการลงนามในสัญญา ซื้อสิทธิประกอบกิจการ จากเจ้าของสิทธิ์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2512 ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ 283 ถ.สีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ถนนสาทรใต้ กรุงเทพมหานคร

โดยมี นายพิทยา เจียรวิสิฐกุล เป็นประธานกรรมการบริหาร นายพิทยา เจียรวิสิฐกุล เป็นรองประธานกรรมการบริหาร นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล เป็นรองประธานกรรมการบริหาร นายธานินทร์ บูรณมานิต เป็นกรรมการบริหาร ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  เซเว่นอีเลฟเว่น สาขาแรกในประเทศไทย คือสาขาถนนพัฒน์พงศ์ ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนพัฒน์พงศ์ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 ซีพีออลล์ขยายสาขาเซเว่นอีเลฟเว่น ไปยังสถานีบริการน้ำมัน ปตท.เกือบทุกแห่ง เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ทั้งในรูปแบบทั่วไป ระดับสูง และในสวน ปตท. (PTT Park) ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการมากกว่า 4 ล้านคนต่อวัน และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 บริษัทฯ เปลี่ยนไปใช้ชื่อปัจจุบัน

ในปัจจุบัน เซเว่นอีเลฟเว่นในประเทศไทย จำนวนสาขาเซเว่น อีเลฟเว่น 9,252 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 4,129 สาขา (45%) ขณะที่ต่างจังหวัด 5,123 สาขา (55%) โดยเฉลี่ยเซเว่น อีเลฟเว่น ประเทศไทย เปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 600 – 700 สาขาต่อปี

ข้อมูลจาก wikipedia

ยืนยันแล้ว! E-Sport ได้รับการบรรจุเป็นหนึ่งในกีฬาเอเชียนเกมส์ปี 2018 และ 2022


ถ้าพูดเกมกีฬาที่นิยมและกำลังได้รับการจับตามองจากทั่วโลกในตอนนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นกีฬาประเภท Electronic Sports หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า E-Sports อย่างแน่นอน

ล่าสุดทางสำนักข่าวบีบีซี ได้รายงานว่าทาง The Olympic Council of Asia (OCA) บอกว่าพวกเขาต้องการที่จะตอบสนองต่อความต้องการของกีฬาชนิดนี้ที่เติมโตและพัฒนาจนยอดนิยมอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ และบรรจุมันลงไปในเอเชียนเกมส์ที่จะถึงนี้

การแข่งขัน E-Sports ในเอเชียนเกมส์จะเริ่มครั้งแรกในปี 2018 ที่จะจัดในกรุงจากาต้า ประเทศอินโดนีเซีย โดยจะจัดในรูปแบบของการแข่งขันกีฬาสาธิต เพื่อให้ผู้คนเห็นและเข้าใจในกีฬาชนิดนี้ก่อน และจะจัดอย่างเต็มรูปแบบในปี 2022 ที่หางโจว ประเทศจีน

แต่การแข่งขันขันระดับภูมิภาคร่วมกับกีฬาปกติจริงๆ อย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นที่งาน Asian Indoor and Martial Arts Games (AIMAG) ที่กำลังจะจัดขึ้นที่ประเทศเติร์กเมนิสถาน ในปี 2017 นี้

 

ส่วนประเภทของเกมที่จะใช้แข่งขันในงานแน่ ก็จะเป็นเกม Fifa 2017 และคาดว่าน่าจะมีเกมประเภท MOBA อย่าง Dota หรือ League of Legend ตามมาอย่างแน่นอน รวมถึงเกมแนว RTA  ที่อาจจะเป็นเกมแนวยิงหรือเกมแนววางแผนที่ต้องคิดและตอบโต้ทันทีก็เป็นได้

นอกจากการลงความเห็นของทาง OCA แล้ว เรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากทาง Alibaba จนทำให้เกิดเป็น Alisports ขึ้นมานั่นเอง

ที่สำคัญ Alibaba ยังตัดสินใจจะลงทุนกับวงการนี้เพื่อพลักดันให้เกิด World Electronic Sports Games ขึ้นมาอีกด้วย

ส่วนถ้าใครที่มีคำถามว่า E-Sports มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ!? ก็ต้องมองย้อนกลับไปถึงผลประกอบการและความนิยมที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากันก่อน

E-Sports สามารถทำรายได้รวมทั่วโลกไปเป็นเงิน 493 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราวๆ 16,000 ล้านบาท) ในปี 2016 และรายได้ก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 696 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราวๆ 23,000 ล้านบาท) ในปี 2017

แน่นอนว่าสาเหตุใหญ่ที่ Alibaba สนใจในกีฬาชนิดนี้ก็เพราะว่า 15% จากรายได้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาจากจีน แถมเงินรางวัลที่ได้สุงที่สุดที่เกิดขึ้นจากการแข่งขัน E-Sport ในปีที่ผ่านมาอย่างงาน Dota 2 The International 2016 ก็เป็นทีมจากจีนอีกด้วย ซึ่งคว้าแชม์ปและกวาดเงินรางวัลไปถึง 9 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราวๆ 300 ล้านบาท)

ในส่วนของความนิยมนั้น การแข่งขันใหญ่ๆ ก็ล้วนจะมีผู้ชมออนไลน์พร้อมกันมากถึงแสนคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขผู้ชมที่เยอะและน่าพอใจเป็นอย่างมาก อย่างเมื่อปี 2014 ก็ได้มีงาน League of Legends World Championship finals ทีจัดขึ้นในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ก็มีคนเข้าดูภายในงานมากถึง 40,000 คน

เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอต่อสาเหตุหลักๆ ในการบรรจุ E-Sport เข้าไปอยู่ในงานใหญ่ๆ ระดับโลกอย่างเอเชียนเกมส์แล้ว ที่สำคัญตอนนี้หลากหลายชาติก็พร้อมที่จะผลักดันและส่งนักกีฬาเข้าร่วมแล้วด้วย

ส่วนทางบ้านเราจะตัดสินใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้ยังไง ก็คงต้องรอดูกันต่อไป

 

 

ที่มา bbc,techinasia

เด็กรุ่นใหม่ไม่ง้องานประจำ หันทำธุรกิจ 1 ปี มีเงินซื้อบ้านหลังละ 5 ล้านกว่า


ธุรกิจนี้เกิดจากความชอบทั้ง 2 อย่างของเรา คือชอบใส่ “รองเท้าแตะ” มากๆ ชอบความสบายเวลาใส่ กับอีกอย่างหนึ่งคือ ชอบเปลี่ยน “เคสโทรศัพท์” บ่อยๆ เลยบอกคุณแม่ว่า อยากได้เคสโทรศัพท์ที่เป็น “รองเท้าแตะ”

แรงบันดาลใจในการทำธุรกิจ การลาออกจาก “งานประจำ” น่าจะเป็นทางเลือกอันดับท้ายๆ ที่มนุษย์เงินเดือนจะนึกถึง แต่สำหรับ จู๊ส ลฎาภา ยิ้มละมัย ถือได้ว่า เธอเป็นตัวอย่างของเด็กรุ่นใหม่ ที่อายุเพียง 26 ปี แถมยังมีดีกรีจบการศึกษาระดับปริญญาโท ที่เลือกเดินออกจากงานประจำ และ กล้า ที่จะเลือกทำ ธุรกิจ เพื่อสานความฝันของตัวเอง

จู๊ส ลฎาภา เปิดเผยกับทีมงานสมาร์ทเอสเอ็มอีว่า การทำธุรกิจเป็นความใฝฝันไว้ตั้งแต่ก่อนเรียนจบ โดยจบปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ จบปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยรามคำแหง  ก็เริ่มเปิดบริษัทของตัวเองชื่อว่า TS Line Innovation ซึ่งเป็นธุรกิจออแกไนซ์ ต่อยอดจากธุรกิจของครอบครัวที่รับทำตรายางแบบต่างๆ แต่เป็นการนำสินค้าที่มี มาขยายให้โอกาสเปิดกว้างขึ้น เมื่อมีกำไรก็นำมาแบ่งให้ธุรกิจของที่บ้านตามรูปแบบของบริษัท ซึ่งยังเป็นธุรกิจที่ทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

จู๊ส-ลฎาภา ยิ้มละมัย เจ้าของแบรนด์ Jude Cade

น้องจู๊ส เล่าย้อนถึงที่มาที่ไปของแบรนด์ Jude Case ให้ทีมงานฟังว่า ธุรกิจเคสมือถือ จะเรียกว่าเป็นโอกาสที่เข้ามาโดยบังเอิญก็ว่าได้ ซึ่ง ก่อนจะทำตามธุรกิจส่วนตัวตามที่ตั้งใจไว้ เราต้องทำสิ่งที่ทางบ้านขอไว้ คือให้ลองทำงานประจำดูก่อน 1 ปี ค่อยมาดูกันอีกทีว่าแบบไหนเหมาะสม จึงตัดสินใจสอบเข้าทำงานที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ปรากฎว่าสอบผ่าน ก็เลยทำงานประจำจนครบกำหนด 1 ปี จากนั้นจึงไม่รอช้าที่จะก้าวออกมาสู่โลกของก่ารทำธุรกิจอย่างเต็มตัว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ที่บอกว่าเป็นความบังเอิญ เพราะธุรกิจนี้เกิดจากความชอบทั้ง 2 อย่างของเรา คือชอบใส่ “รองเท้าแตะ” มากๆ ชอบความสบายเวลาใส่ กับอีกอย่างหนึ่งคือ ชอบเปลี่ยน “เคสโทรศัพท์” บ่อยๆ เลยบอกคุณแม่ว่า อยากได้เคสโทรศัพท์ที่เป็น “รองเท้าแตะ” แรกๆ คุณแม่ก็งงว่าจะทำได้ยังไง แต่เราก็อ้อนจนคุณแม่ยอมทำให้  โดยเอารองเท้าแตะของเราจริงๆ มาตัด/แต่ง เป็นงานแฮนด์เมด ทำด้วยมือ จนได้เคสโทรศัพท์ชิ้นเดียวในโลกแบบไม่ซ้ำใคร….สมใจเลย”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“พอเราเอาไปใช้ ก็มีคนเข้ามาถามว่าสั่งที่ไหน ยังไง บางครั้งเอารูปมาโพสต์ลงในไอจีส่วนตัวก็มีคนมาสั่งออเดอร์ พอเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นก็เลยลองให้คุณพ่อติดต่อโรงงานที่เรามี Contact อยู่แล้ว โชคดีที่โรงงานเค้ายินดีทำให้ ความพิเศษ จู๊สว่ามันไม่ได้อยู่ที่ Design อย่างเดียว แต่มันสามารถตั้งวางได้ ใช้สะดวก วัสดุเราทนทาน ทำให้มีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง”

ครั้งแรกที่สั่งทำคือจำนวน 200 ชิ้น ได้รับการตอบรับดี แต่ก็ยังขายไม่หมดในทีเดียว เราก็เริ่มเอามาโพสต์ขายใน Facebook กับ Instagram เพื่อกระจายสินค้า จากนั้นก็เริ่มบูมขึ้นมา มีคนแชร์ไปตามเพจต่างๆ จน AD Facebook ไปถึงประเทศลาว คนที่ลาวเค้าก็โทรมาติดต่อขอรับเราสินค้าไปขาย คนไทยที่อยู่ในประเทศเกาหลีเค้าเห็นสินค้าก็ติดต่อมา จนตอนนี้เรากลายเป็นผู้ผลิต แล้วก็มีตัวแทนจำหน่ายแบบที่เราไม่ต้องขายเอง

Key Success ของจู๊ส คือ ถ้าเรามีโอกาส ต้องรีบคว้าไว้ก่อน เมื่อได้ทำแล้วก็ต้องทำให้ต่อเนื่องจึงจะสำเร็จ….

“สำหรับแผนการตลาดของ  JUDE Case ตอนนี้ถ้าในระยะใกล้ๆ นี้เรามีแผนจะทำรองเท้าแตะที่เป็นดีไซน์แบบอื่น ส่วนในระยะยาวเราอาจจะทำเคสมือถือในรูปแบบที่แปลกๆ ไม่เหมือนใคร (ขออุบไว้ก่อน) อย่าลืมติดตามกันค่ะ”

และนี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของเด็กรุ่นใหม่ ที่ไม่กลัวการเริ่มต้น แต่กลัวที่จะไม่มีโอกาสให้ลองทำ เมื่อทำจนสำเร็จก็คิดต่อยอดไปเรื่อยๆ แบบไม่ให้หลุดมือ เป็นอีกหนึ่ง SME ตัวเล็กๆ ที่ไอเดีย ความคิด และความสามารถของเธอ ไม่เล็กเลยทีเดียว…..

ที่มา : https://www.smartsme.tv/content/68877

ดูเลย!คลิปเปรี้ยว ไลฟ์สด ก่อนออกไปหั่น “น้องแอ๋ม” ฝังดิน

ดูคลิป เปรี้ยว ไลฟ์สด ก่อนออกไปหั่น “น้องแอ๋ม” ฝังดิน

คดีฆ่าหั่นศพน้องแอ๋ม นางสาววริศรา กลิ่นจุ้ย สาวร้านคาราโอเกะวัย 22 ปี กระจ่างมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา (30 พฤษภาคม 2560) เจ้าหน้าที่ได้ตัว นายวศิน นามพรม อายุ 22 ปี จิ๊กซอว์ตัวสำคัญ เป็น 1 ใน 4 ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและปิดบังซ่อนเร้นทำลายศพ โดยจับกุมตัวได้ที่ สปป.ลาว ใกล้ชายแดนประเทศไทย

ในเวลาต่อมา เพจอีจัน ได้เผยรายละเอียดเพิ่มเติมจากการสอบปากคำเบื้องต้นของนายวศิน โดยเจ้าตัวรับสารภาพว่า อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นจริง แต่ไม่ได้ลงมือฆ่าและหั่นศพน้องแอ๋ม คนที่ฆ่าคือ เปรี้ยว ปรียานุช เนื่องจาก เปรี้ยว มีความแค้นส่วนตัวกับผู้ตาย เพราะแอ๋มเคยเป็นสายชี้เป้าให้ตำรวจจับกุมตัวเปรี้ยวในคดียาเสพติด เปรี้ยวจึงหาโอกาสแก้แค้น โดยไปเช่ารถซีอาร์-วีให้ตนขับ จากนั้นก็ไปลักพาตัวแอ๋ม

นายวศิน บอกอีกว่า ระหว่างที่อยู่ในรถ เปรี้ยวใช้ถุงพลาสติกคลุมหัวแอ๋ม แล้วซ้อมในรถ ด้านน้องแอ๋ม พูดออกมาว่า ซ้อมเลย ถ้ารอดไปได้จะมาเอาคืน ทำให้ เปรี้ยว บันดาลโทสะซ้อมจนน้องแอ๋มขาดใจตายบนรถ จากนั้น เปรี้ยว ได้ให้ขับรถมุ่งหน้าไปที่ที่ดินของตัวเองในพื้นที่เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น เพื่อนำศพไปฝัง ซึ่งระหว่างทางได้แวะซื้อเลื่อยเพื่อหั่นศพ ยืนยันว่า เปรี้ยวเป็นคนหั่นศพน้องแอ๋มเอง ตนเพียงแค่รับหน้าที่ขับรถเท่านั้น

เฟซบุ๊กของผู้หญิง 2 คน ที่มีชื่อตรงกับ น.ส.ปรียานุช และ น.ส.กวิตา ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ พบว่า ในวันเกิดเหตุ 23 พ.ค. ทั้งคู่ได้เช็กอินที่ อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นอำเภอเดียวกับที่พบศพน้องแอ๋ม ที่ถูกฆ่าหั่นและถูกคนร้ายฝังดินเอาไว้

นอกจากนี้ ยังโพสต์ภาพขับรถเก๋ง ฮอนด้า ซีอาร์วี ในวันเดียวกัน ซึ่งตรงกับข้อมูลการสืบสวนของตำรวจที่ระบุว่า น้องแอ๋ม ได้ขึ้นรถซีอาร์วีคันหนึ่ง หลังจากกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มแลัวหายตัวไป กระทั่งมาพบศพเมื่อวันที่ 25 พ.ค.

 

“เปรี้ยว” เบี้ยวค่าห้องหั่นศพ800บาท แม่บ้านแฉห้อง เอ4 กลิ่นคาวเลือดคลุ้ง พนง.หลอนผีหลอก!

วันที่ 30 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน บก.สส.ภ.4, ชุดสืบสวน สภ.เขาสวนกวางและชุดสืบสวน ภ.จว.ขอนแก่น ทำการควบคุมตัว นายวศิน นามพรหม อายุ 22 ปี ผู้ต้องหา 1 ใน 4 ที่ถูกออกหมายจับในคดีผู้ต้องหาตามหมายจับของ ศาลจังหวัดขอนแก่น ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตาย ปล้นทรัพย์ และรับของโจร มาทำแผนชี้จุดประกอบคำรับสารภาพ ภายในรีสอร์ทชื่อดังแห่ง หนึ่ง ที่ บ.หัวถนน เขตเทศบาลนครขอนแก่น ท่ามกลางความสนใจของชาวชุมชนและผู้ที่ติดตามข่าวการฆาตกรรมดังกล่าวนี้อย่างมาก

ซึ่งจากการสอบถาม น.ส.กฎกร ทาทองบุญ อายุ 20 ปี ผู้ดูแลรีสอร์ตที่เกิดเหตุ บอกว่า เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 23 พ.ค. โดยป้าเป็นคนออกไปรับลูกค้า โดยป้าบอกว่า มีแขกขอเช่าห้องพักรายวัน ขับรถฮอนด้าซีอาร์วี ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน โดยเป็นผู้หญิงผมสั้น 2 คน ผู้หญิงผมยาว 1 คน รูปร่างหน้าตาดี สวย หุ่นดี ก่อนที่จะมอบกุญแจห้องพัก เอ 4 ให้ พร้อมกับบอกราคา 800 บาท
“คนที่มาจองห้องชื่อเปรี้ยวซึ่งป้ายืนยันว่าเป็นคนคนเดียวกัน ซึ่งบอกกับป้าที่ไปรับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวว่ายังไม่จ่ายเงินเดี๋ยวจะจ่ายให้ทีหลัง ทางป้าก็ยินยอม จนกระทั่งช่วงบ่ายวันเดียวกันไม่พบลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ในห้องแล้ว ซึ่งคิดว่าเดี๋ยวก็คงจะกลับมาเพราะยังไม่ค่ำ และยังคงนำกุญแจห้องติดตัวไปด้วย”
น.ส.กฎกร กล่าวต่ออีกว่า ช่วงเย็นวันที่ 23 พ.ค. น.ส.เปรี้ยวได้โทรศัพท์มาเช็คเอ้าท์ และขอเลขบัญชีธนาคาร บอกจะโอนเงินค่าห้องให้ ซึ่งได้บอกไปและให้แม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดภายในห้องพักเพื่อรอรับลูกค้ารายอื่น ซึ่งหลังจากแม่บ้านทำความสะอาดบอกว่า ภายในห้องเหม็นคาวอย่างมาก ต้องให้น้ำยาถูพื้นหลายรอบกว่าจะหายเหม็น แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอื่นๆ นอกจากกลิ่นเหม็นคาว และจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับเงินจากน.ส.เปรี้ยวแต่อย่างใด และหลังจากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาขอตรวจสอบภายในห้องพักจึงทราบว่าเกิดเหตุฆาตกรรมกันขึ้น ทำให้พนักงานทุกคนต่างผวากลัวโดนผีหลอก

 

เวลา 01.00 น. วันที่ 30 พฤษภาคม 2560 มีรายงานว่า นักท่องเน็ตจำนวนมาก ต่างแห่รุมกันเข้าไปเขียนข้อความในเฟซบุ๊ก เปรี้ยว แสนดี สวยสามจี อัปปีทั้งชาติ เพื่อรุมประณาม น.ส.ปรียานุช หรือ “เปรี้ยว” หนึ่งในผู้ต้องหาคดีฆ่าโหดหั่นศพ “น้องแอ๋ม” น.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย สาวคาราโอเกะ วัย 22 ปี ซึ่งมีผู้พบศพเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2560 โดยศพของผู้ตายถูกหั่นเป็น 2 ท่อน นำยัดใส่ถุงดำและใส่ถังดำไปฝังไว้ในพื้นที่บ้านโนนสง่า อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น สภาพใบหน้าถูกทำร้ายบวมช้ำ คอถูกรัดด้วยถุงดำ มีแผลถูกตัดด้วยเลื่อยบริเวณใต้ชายโครงจนขาด แขนถูกมัดเอาไว้ โดยที่แขนซ้ายถูกตัดบริเวณข้อศอก

 

ล่าสุด ตรวจสอบพบด้วยว่า เมื่อประมาณ 16 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ในเฟซบุ๊กของน.ส.เปรี้ยว ได้มีความเคลื่อนไหวโดยมีโพสต์เขียนข้อความระบุว่า “#ขอโทษ ที่หนูทำคนที่หนูรักเสียใจ” อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า น.ส.เปรี้ยว เป็นคนโพสต์เองหรือไม่ และการโพสต์เกี่ยวข้องกับคดีฆ่าน้องแอ๋มหรือไม่ ส่วนภาพกิจกรรมประจำวันต่าง ๆ น.ส.เปรี้ยว ยังไม่ได้ลบออกจากเฟซบุ๊กแต่อย่างใด

นอกจากนั้น ในเฟซบุ๊กของ น.ส.เปรี้ยว ยังพบว่าชอบโพสต์ภาพของ “ชัคกี้” ตุ๊กตาผีสิงสุดสยองในภาพยนตร์สยองขวัญชื่อดัง “Child’s Play แค้นฝังหุ่น” อีกด้วย

 

นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงการฆาตกรรมคนท้อง  ทำให้นักท่องเน็ต ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้ต้องหาคนนี้อาจจะเคยก่อเหตุลักษณะดังกล่าวกับคนท้องหรือไม่อย่างไร  และจากการติดตามเฟซบุ๊คดังกล่าว ปรากฏว่ามีตัวละครเพิ่มขึ้นมาใหม่ ที่อาจจะมีส่วนรู้เห็นกับบการฆาตกรรมในครั้งนี้

 

 

ขอบคุณข่าวจาก กระปุกดอทคอม

สุดยอด!เด็กกาฬสินธุ์ สอบติดมหาวิทยาลัยอันดับ 1 จีน พร้อมกันถึง 6 คน


วันนี้จะมานำเสนอข่าวที่น่ายินดีกับคนกาฬสินธุ์เเละคนไทยทุกคน เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 60 รายงานเด็กนักเรียนโรงเรียนเนินยางประชาสามัคคี สามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศจีนได้ถึง 6 คน สร้างความภูมิใจให้การศึกษากาฬสินธุ์ ซึ่งทางโรงเรียนเนินยางประชาสามัคคีเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำตำบลเนินยาง ที่ห่างจากอำเภอเมืองกว่า 70 กิโลเมตร แต่ด้วยการใส่ใจในการเรียนการสอน จึงส่งผลให้นักเรียนจากโรงเรียนเนินยางประชาสามัคคีสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับโลกได้ ถึง 6 คน ประเทศจีนถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่กำลังต้องการเปิดรับนักเรียนต่างชาติเข้ามาเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบการศึกษา และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในเวทีโลกซึ่งนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในประเทศจีน

นักเรียทั้ง 6 คน โรงเรียนเนินยางประชาสามัคคี ประกอบด้วย
1. นาย อิสรา ทะนาจันทร์ ศึกษาต่อที่ Beijing Language and Culture University

2. นางสาว กันตพร เสริฐแสนดี  ศึกษาต่อที่ Xiamen University

3.นาย จักรินทร์ ภูติโส ศึกษาต่อที่ Capital Normal University

4. นางสาว พัชรินทร์ ศรียะเมือง ศึกษาต่อที่ Tianjin Normal University

5. นางสาว ศิริลักษณ์ เครือลัดดา  ศึกษาต่อที่ Shandong University

6. นาย ธนพล นามวงศ์  ศึกษาต่อที่ Guanxi University For Nationalities


ด้านนายประยงค์ โมคภา รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้กล่าว .องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้จัดมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียน เพื่อเป็นการสนับสนุนการพัฒนาการจัดการศึกษาของโรงเรียนในสังกัด และสนับสนุนให้นักเรียนในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นคนในท้องถิ่นได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี โดยผู้ที่ได้รับทุนจะต้องเป็นนักเรียนที่เรียนดี มีฐานะยากจน มีความขยันหมั่นเพียร โดยได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการของโรงเรียน และคณะกรรมการองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับทุนการศึกษามาแล้วจำนวน 254 ทุน โดยมอบทุนการศึกษา ทุนละไม่เกิน 33,000 บาทต่อปีการศึกษา”

พร้อมทั้งขอแสดงความยินดีกับนักเรียนทุกท่านที่ได้ทุนการศึกษาต่อ ดร.เมืองคร สิริสาร ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ (ค.ศ.4) ผู้อำนวยการโรงเรียนเนินยางประชาสามัคคี ได้กล่าวถึงการเรียนการสอนของโรงเรียนว่า ทางโรงเรียนได้มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นหลัก มีการจัดทำการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนทุกคน จึงส่งผลสัมฤทธิ์สูงสุดสำหรับการเรียนการสอน จนทำให้นักเรียนของโรงเรียนสอบรับทุนการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยระดับโลก และมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับประเทศ และได้กล่าวแสดงความยินดีและชื่นชมกับนักศึกษาที่ได้รับทุน และขอให้นำความรู้ความสามารถกลับมาพัฒนาประเทศ

ตัวแทนนักเรียนผู้ที่ได้รับทุน กล่าวถึงการปฏิบัติตนในการเตรียมตัวว่า เริ่มหาข้อมูลในสาขาวิชาที่เราจะเรียนต่อในอนาคต และดูคุณสมบัติที่ทุนฯ กำหนดไว้ จากนั้นก็อ่านหนังสือและทำทีละขั้นตามลำดับ เมื่ออ่านหนังสือแล้วให้ทบทวนบทนั้นหลายๆ รอบอย่างน้อย 3 รอบขึ้นไปและทำเป็นสรุปเป็นของเราเอง เพราะเมื่อเราเขียนสรุปเป็นของตัวเองแล้วเราจะเข้าใจและจำเร็ว และดีใจอย่างมากที่ได้รับทุนการศึกษาในครั้งนี้.

ขอบคุณข้อมูลจากไทยรัฐ เรียบเรียบงโดยDPS

พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกผักตามแนวพระราชดำริในหลวง สร้างรายได้เดือนละเกือบครึ่งแสน

วันนี้นำเสนอข่าว สองผัวเมียเกษตรกรชาวจ.สงขลา หันมาทำเกษตรแบบผสมผสานตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นเกษตรอินทรีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแค่1 ไร่แต่กลับมีรายได้เดือนละ 5-6 หมื่นบาท แม้ต้องใช้เวลาถึง14 ปี แต่สิ่งที่ได้รับคุ้มค่ากับการรอคอยผลผลิตมีราคาสูงกว่าที่จำหน่ายตามท้องตลาดกว่า1 เท่าตัว

24.jpg

วันที่ 27 มิ.ย. 59 ที่ จ.สงขลา นายคำนึง สร้อยสีมาก อายุ 48 ปี และนางยุพิน สร้อยสีมาก อายุ 48 ปี สามีภรรยาชาวบ้านในพื้นที่ หมู่2 บ้านดีหลวง ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา ซึ่งหันมาประกอบอาชีพทำเกษตรแบบผสมผสานตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นเกษตรอินทรีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อหรือไม่ว่าแม้จะใช้เนื้อที่เพียงแค่1ไร่แต่สามารถมีรายได้ถึงเดือนละ 5-6 หมื่นบาทเลยทีเดียว

ภายในแปลงเกษตรอินทรีย์ซึ่งมีเนื้อที่เพียงแค่1 ไร่ แต่ถูกเนรมิตให้เป็นสวนผักที่มีพืชผักเกือบครบทุกชนิดที่นิยมบริโภคและตลาดต้องการ ทั้งผักกินใบและผักสวนครัวรวมทั้งพืชสมุนไพร เช่น ผักคะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง มะเขือ ถั่วฝักยาว แตงกวา ผักขมแดงผักขมเขียว โหรพา แมงลัก กระเพา ขิงข่า พริก มะนาว หรือแม้แต่ดอกชมจันทร์ เป็นต้น เรียกว่ามีครบจบภายในสวนเดียวและทุกอย่างเป็นผักปลอดสารพิษ ผ่านการรับรองจากกระทรวงเกษตรที่ส่งเจ้าหน้าที่ลงมาตรวจสอบทั้งดิน น้ำ และผลผลิต ซึ่งเป็นเกษตรอินทรีย์ปลอดภัย100 เปอร์เซ็นต์

คุณพี่คำนึง และคุณพี่ยุพิน บอกว่า สวนเกษตรอินทรีย์แห่งนี้ช่วยกันลงแรงทำกันเพียง2 คน ด้วยความอดทดและกว่าจะเป็นเกษตรอินทรีย์100 เปอร์เซ็นต์และให้ผลผลิตเต็มที่ต้องใช้เวลาถึง 14 ปี โดยจะเริ่มเห็นผลชัดเจนในช่วง7 ปีหลังเนื่องจากดินจะค่อยๆปรับสภาพให้สมบูรณ์ขึ้นและต้นทุนน้อยมากเพราะไม่ใช้สารเคมี ส่วนปุ๋ยก็จะใช้ปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพเป็นหลัก  เรื่องศรัตรูพืชซึ่งเป็นปัญหาใหญ่จะใช้ตัวห้ำและตัวเบียนซึ่งเป็นแมลงที่กินแมลงทุกชนิด มาปล่อยในแปลงผักเพื่อเป็นเพชฌฆาตในการปราบปรามและควบคุมแมลงไม่ให้ทำลายผลผลิต และใช้วิธีสับเปลี่ยนหมุนเวียนปลูกพืชผักในแต่ละแปลงไม่ให้ซ้ำกัดเพื่อตัดวงจรการขยายพันธุ์ของแมลง

คุณพี่คำนึง และคุณพี่ยุพิน กล่าวว่า การทำเกษตรอินทรีย์แม้จะใช้เวลานานกว่าการทำเกษตรปรกติ แต่ผลที่ได้รับคุ้มค่ากว่ามากเพราะราคาพืชผักจากแปลงเกษตรอินทรีย์จะสูงกว่าพืชผักธรรมดาที่ปลูกกันทั่วๆไป กว่า1 เท่าตัว เช่น ผักคะน้ากิโลกรัมละ 100 บาท ผักบุ้งกิโลกรัมละ 50 บาท ผักกวางตุ้งกิโลกรัมละ 50 บาท แตงกว่า 40 บาท มะเขือยาว 50 และดอกชมจันทร์ 30ดอก20บาท

สำหรับผลผลิตจากสวนแห่งนี้จะส่งขายที่ตลาดเกษตรมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หาดใหญ่ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น และแต่ละอาทิตย์จะเก็บขายเพียงแค่3 วัน ส่วนอีก4 วันจะดูแลสวนหรือปลูกพืชผักใหม่ๆ และแม้จะมีพื้นที่เพียงแค่1 ไร่แต่มีรายได้จากการเก็บพืชผักขายวันละ 5-6 พันบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 5-6 หมื่นบาทเลยทีเดียว ที่สำคัญการทำเกษตรอินทรีย์จะทำให้ดินและสภาพแวดล้อมดีขึ้นเรื่อยๆและผลผลิตที่ได้ก็จะมีคุณภาพ ต่างจากเกษตรที่ใช้สารเคมีแม้จะเห็นผลได้ระยะสั้นแต่ระยาวส่วนใหญ่ต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นและดินเสื่อมสภาพและต้องพึ่งปุ๋ยเคมีและยาเป็นหลักถึงจะได้ผล

สำหรับสวนเกษตรอินทรีย์แห่งนี้ปัจจุบันยังกลายเป็นสถานที่ศึกษาดูงานการทำเกษตรแบบผสมผสานของเกษตรกรและหน่วยงานต่างๆ โดยเป้าหมายของคุณพี่คำนึงและพี่ยุพา คือต้องการขยายเครือข่ายการทำเกษตรอินทรีย์ไปยังเกษตรกรรายอื่นๆหรือผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพการเกษตร เพราะแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ผลจริงๆ ผู้ที่สนใจการทำเกษตรอินทรีย์แบบคุณคำนึงและคุณยุพิน ติดต่อได้ที่หมายเลข 087-2953494

27.jpg23.jpg

ชาวบ้านเเห่เก็บเห็ดปลวก(โคน) ล่าสุดกิโลกรัมละ 500-700 สร้างรายได้หลายพันบาทต่อวัน


ตอนนี้เข้าหน้าฝนเเล้ว ทางภาคอีสานเห็ดปลวก (โคน)เริ่มออก ชาวบ้านเริ่มทะยอยไปเก็บมากินมาขาย ล่าสุดตกกิโลกรัมล่ะ 500-700 บาท  ถือว่าเเพงมาก ชาวบ้านไปเก็บมาขายสร้างรายได้หลายพันบาทต่อวันเลยทีเดียว ล่าสุดที่จังหวัดกาฬสินธุ์เห็ดปลวกเริ่มออกเเล้วชาวบ้านไปเก็บตามป่าตามเขาเพราะเเถวภาคอีสาน ยังมีป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด ทำให้เกิดเห็นหลายชนิด เห็ดปลวกชาวบ้านขายตามท้องตลาดขายเป็นชุดละ 100 บาทบ้าง ขายเป็นกิโลบ้าง สร้างรายได้หลายพันบาทต่อวันเลยทีเดียว

เห็ดปลวก (โคน)  เป็น เห็ดชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ Termitophilae เป็นเห็ดป่าเติบโตได้ดีในสภาพธรรมชาติ ความชื้นและอุณหภูมิที่พอเหมาะ มีรูปร่างเหมือนเห็ดทั่วไปคือมีก้านเห็ดและหมวกเห็ด ดอกใหญ่ โคนอวบหนา มีกลิ่นเฉพาะตัว มักเกิดตามจอมปลวก จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เห็ดปลวก มีการอพยพของปลวกที่เราเรียกว่า แมลงเม่า ออกจากรังปลวกเดิม เพื่อสร้างรังใหม่ การที่ฝนตกชุกจนมีความชุ่มชื้นเหมาะสม เมื่อปลวกในรังปลวกมีปริมาณลดลง ตุ่มดอกเห็ดเล็กๆ สามารถมีโอกาสที่จะเจริญเติบโตเป็นดอกเห็ดที่มีความชุ่มชื้นออกมาได้

โดยสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายชนิด ประกอบกับการที่เห็ดโคนเองมีรสชาติที่น่ารับประทาน จึงจัดเป็นเห็ดหายากจะต้องหาตามป่าเขาห่างไกลความเจริญ ซึ่งเห็ดโคนนั้นมีรสหวานอร่อยกว่าเห็ดอื่นๆ ปรุงง่ายเพียงต้มกับเกลือก็ได้น้ำต้มเห็ดรสหวานตามธรรมชาติ นอกจากนำไปต้มกับน้ำเกลือแล้วเราอาจนำเห็ดโคนไปประกอบอาหารที่หลากหลายได้ นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยเจริญอาหาร บำรุงกำลัง แก้บิด แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ การทดลองทางเภสัชศาสตร์พบว่าน้ำที่สกัดจากเห็ดโคนสามารถยับยั้งเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อไทฟอยด์ได้ จึงเป็นที่นิยมกันมาก ซึ่งมีวางขายเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น ประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคมและจะมีให้รับประทานเพียงปีละ 1 ครั้ง